คำสั่งคำร้องที่ ท. 270/2567
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 216, 220, 221, 223
โจทก์ฎีกาขอให้ศาลฎีกามีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งงดสืบพยานโจทก์ ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 1 แล้วมีคำสั่งให้ย้อนสำนวนให้ศาลชั้นต้นสืบพยานโจทก์และจำเลยทั้งห้าและมีคำพิพากษาใหม่ตามรูปคดีต่อไป เป็นฎีกาคำสั่งระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้นในปัญหาข้อเท็จจริง มิใช่เป็นฎีกาในเนื้อหาของประเด็นแห่งคดีที่จะให้ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าจำเลยทั้งห้ากระทำความผิดตามฟ้อง ไม่อยู่ในบังคับ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 220 โจทก์จึงฎีกาได้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 216 โดยไม่ต้องขอให้ผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาหรือลงชื่อในคำพิพากษาอนุญาตให้ฎีกา ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 221 การที่โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์อนุญาตให้ฎีกา และผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ไม่อนุญาตให้ฎีกา กับทั้งศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของโจทก์จึงเป็นไปโดยผิดหลง ชอบที่ศาลชั้นต้นจะรับฎีกาของโจทก์ไว้ดำเนินการ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 216 วรรคสอง และมาตรา 223 ต่อไป
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งห้าตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 175 และนับโทษจำเลยที่ 5 ต่อจากโทษของจำเลยที่ 1 ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ 380/2563 ของศาลชั้นต้น
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2565 วันสืบพยานโจทก์ ศาลชั้นต้นเห็นว่าพยานหลักฐานในชั้นไต่สวนมูลฟ้องและข้อเท็จจริงที่คู่ความแถลงรับกันทั้งเอกสารที่โจทก์และจำเลยทั้งห้าอ้างส่งเพิ่มเติมแล้ว คดีพอวินิจฉัยได้ จึงให้งดสืบพยานโจทก์และพยานจำเลย คดีเสร็จการพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกาพร้อมกับยื่นคำร้องขอให้ผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 1 อนุญาตให้ฎีกา ผู้พิพากษาดังกล่าวพิจารณาแล้วไม่อนุญาต ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกา
โจทก์ยื่นคำร้องนี้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้โจทก์ฎีกาว่าศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดสืบพยานโจทก์เป็นการตัดสิทธิโจทก์มิให้นำพยานหลักฐานเข้าสืบว่าจำเลยทั้งห้าร่วมกันกระทำความผิดตามฟ้อง เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 174 ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืนโดยไม่ได้วินิจฉัยจากพยานหลักฐานในสำนวน การพิพากษายกฟ้องโดยอ้างว่าจำเลยที่ 1 ขาดเจตนา ต้องเป็นการรับฟังพยานหลักฐานทั้งโจทก์และจำเลย มิใช่พิเคราะห์เพียงคำบรรยายฟ้อง คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 จึงไม่ชอบ ขอให้ศาลฎีกามีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งงดสืบพยานโจทก์ ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 1 แล้วมีคำสั่งให้ย้อนสำนวนให้ศาลชั้นต้นสืบพยานโจทก์และจำเลยทั้งห้าและมีคำพิพากษาใหม่ตามรูปคดีต่อไปนั้น ฎีกาของโจทก์เป็นฎีกาคำสั่งระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้นในปัญหาข้อเท็จจริง มิใช่เป็นฎีกาในเนื้อหาของประเด็นแห่งคดีที่จะให้ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าจำเลยทั้งห้ากระทำความผิดตามฟ้อง ไม่อยู่ในบังคับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 โจทก์จึงฎีกาได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 216 โดยไม่ต้องขอให้ผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาหรือลงชื่อในคำพิพากษาอนุญาตให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 221 การที่โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์อนุญาตให้ฎีกา และผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ไม่อนุญาตให้ฎีกา กับทั้งศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของโจทก์จึงเป็นไปโดยผิดหลง ชอบที่ศาลชั้นต้นจะรับฎีกาของโจทก์ไว้ดำเนินการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 216 วรรคสอง และมาตรา 223 ต่อไป
หมายเลขคดีดำศาลฎีกา ท.788/2566
แหล่งที่มา หนังสือคำพิพากษาศาลฎีกา