คำพิพากษาศาลฎีกา ปี 2545

คำสั่งคำร้องที่ 76

คำสั่งคำร้องที่ 76/2545

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 106, 107, 108

ความว่า จำเลยยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งศาลอุทธรณ์ภาค 3 ขอให้ศาลฎีกาอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวในระหว่างอุทธรณ์

คำสั่ง

พิเคราะห์แล้ว อนุญาตให้ปล่อยจำเลยชั่วคราวในระหว่างอุทธรณ์ตีราคาค่าประกันสามแสนบาท ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาหลักประกันแล้วดำเนินการต่อไป

คำสั่งคำร้องที่ 75

คำสั่งคำร้องที่ 75/2545

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 42

ความว่า เนื่องจากจำเลยถึงแก่ความตายแล้ว ผู้ร้องเป็นสามีโดยชอบด้วยกฎหมายมีความประสงค์ขอเข้าเป็นคู่ความแทนที่จำเลย เพื่อดำเนินคดีต่อไป

หมายเหตุ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากที่ดินของโจทก์โฉนดเลขที่ 7820 ตำบลวัดชลอ (บางกรวยฝั่งใต้) อำเภอบางกรวย(บางใหญ่) จังหวัดนนทบุรี ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายเดือนละ 5,000 บาท นับตั้งแต่วันที่15 สิงหาคม 2540 เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากที่ดินของโจทก์ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก

ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน

จำเลยฎีกา (อันดับ 58 แผ่นที่ 2)

คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา

ผู้ร้องยื่นคำร้องนี้ ศาลชั้นต้นสอบผู้ร้องแล้วยืนยันว่าจำเลยถึงแก่ความตายจริงและเป็นสามีของจำเลยตามกฎหมาย ทนายโจทก์ไม่ค้าน (อันดับ 65,69)

คำสั่ง

อนุญาตให้ผู้ร้องเข้าเป็นคู่ความแทนที่จำเลยผู้มรณะได้ตามคำร้อง

คำสั่งคำร้องที่ 73

คำสั่งคำร้องที่ 73/2545

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 229, 234, 247

ความว่า จำเลยทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า จำเลยทั้งสองฎีกาขอให้ศาลฎีกามีคำพิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4 จึงต้องนำเงินค่าธรรมเนียม ซึ่งจะต้องใช้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งตามคำพิพากษาหรือคำสั่งมาวางศาลพร้อมฎีกา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 229 ประกอบมาตรา 247 แต่จำเลยทั้งสองไม่ดำเนินการดังกล่าว จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงไม่รับฎีกา

จำเลยทั้งสองเห็นว่า จำเลยทั้งสองฎีกาคำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้จำเลยทั้งสองเลื่อนคดีและงดสืบพยานจำเลยเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา จำเลยทั้งสองมีหน้าที่เพียงแต่วางเงินค่าขึ้นศาลตามที่กฎหมายกำหนด การที่ศาลชั้นต้นสั่งให้จำเลยปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 229 จึงเป็นการไม่ชอบ โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยทั้งสองไว้พิจารณาต่อไป

หมายเหตุ สืบเนื่องจากศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้จำเลยทั้งสองเลื่อนคดี และให้งดสืบพยานจำเลยทั้งสอง แล้วพิพากษาให้จำเลยทั้งสองชำระเงินจำนวน 21,501,116.21บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 19.75 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 15,000,000 บาท นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 21 กรกฎาคม 2541) จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ทั้งนี้หากมีการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยและประกาศของโจทก์ให้คิดอัตราตามประกาศฉบับใหม่ แต่ไม่ให้เกินอัตราร้อยละ 19.75 ต่อปี ฯลฯ

จำเลยทั้งสองอุทธรณ์คำสั่งที่ไม่อนุญาตให้เลื่อนคดี

ศาลอุทธรณ์ภาค 4 วินิจฉัยว่า จำเลยทั้งสองมิได้นำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งตามคำพิพากษาหรือคำสั่งมาวางศาลพร้อมอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 229 จึงเป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายพิพากษายกอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสอง คืนค่าธรรมเนียมศาลชั้นอุทธรณ์ทั้งหมดแก่จำเลยทั้งสอง ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ

จำเลยทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 136)

จำเลยทั้งสองจึงยื่นคำร้องนี้ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าเป็นกรณีที่จำเลยทั้งสองอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234 ประกอบมาตรา 247 จึงมีคำสั่งให้จำเลยทั้งสองนำเงินค่าฤชาธรรมเนียมทั้งปวงมาวางศาล และนำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาลชั้นต้นภายในกำหนด 15 วันจำเลยทั้งสองไม่ดำเนินการดังกล่าว ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งให้ส่งสำนวนไปศาลฎีกา(อันดับ 138)

คำสั่ง

คดีนี้ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายกอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองคืนค่าธรรมเนียมศาลชั้นอุทธรณ์แก่จำเลยทั้งสอง ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ จึงไม่มีเงินค่าฤชาธรรมเนียมที่จำเลยทั้งสองต้องนำมาวาง และไม่มีเงินตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4 ที่จำเลยทั้งสองต้องนำมาชำระหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาล พร้อมคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234 ประกอบมาตรา 247 จึงให้รับคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยทั้งสองไว้พิจารณา

พิเคราะห์แล้ว ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4 ดังกล่าวข้างต้น ไม่ปรากฏว่ามีเงินค่าฤชาธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่คู่ความอีกฝ่ายตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4ที่จำเลยทั้งสองต้องนำมาวางศาลพร้อมฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 229 ประกอบมาตรา 247 ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาเพราะเหตุจำเลยทั้งสองไม่ดำเนินการตามบทบัญญัติดังกล่าว ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ให้รับฎีกาของจำเลยทั้งสอง ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการต่อไป

คำสั่งคำร้องที่ 72

คำสั่งคำร้องที่ 72/2545

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 106, 107, 108

ความว่า ผู้ประกันยื่นคำร้องขอให้ปล่อยจำเลยที่ 1 ชั่วคราวในระหว่างฎีกา โดยขอใช้หลักประกันเดิม

คำสั่ง

พิเคราะห์แล้ว อนุญาตให้ปล่อยจำเลยที่ 1 ชั่วคราวในระหว่างฎีกาตีราคาประกันหกแสนบาท ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาหลักประกันแล้วดำเนินการต่อไป

คำสั่งคำร้องที่ 71

คำสั่งคำร้องที่ 71/2545

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 218 วรรคหนึ่ง

ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ฎีกาของจำเลยเป็นปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง จึงมีคำสั่งไม่รับฎีกาจำเลย

จำเลยเห็นว่า ฎีกาของจำเลยที่ว่าพยานหลักฐานโจทก์มีเหตุอันควรสงสัย จึงต้องยกผลประโยชน์แห่งความสงสัยให้กับจำเลยนั้น เป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดรับฎีกาของจำเลยในข้อดังกล่าวไว้พิจารณาต่อไป

หมายเหตุ โจทก์รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 87)

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297ลงโทษจำคุก 1 ปี ข้อหาอื่นให้ยก

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับดังกล่าว (อันดับ 82 แผ่นที่ 2)

จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 87)

คำสั่ง

คดีนี้ ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย 1 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนคู่ความจึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง ฎีกาของจำเลยเป็นฎีกาโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐาน และดุลพินิจในการลงโทษของศาลอุทธรณ์จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามบทบัญญัติดังกล่าวที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยจึงชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง

คำสั่งคำร้องที่ 70

คำสั่งคำร้องที่ 70/2545

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 219

ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ฎีกาของโจทก์ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 จึงมีคำสั่งให้รับฎีกาไปโดยผิดหลง จึงให้เพิกถอนคำสั่งรับฎีกาเป็นมีคำสั่งไม่รับฎีกา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15

โจทก์เห็นว่า ฎีกาของโจทก์ที่ว่า การที่จำเลยโอนที่ดินของตนไปเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้อื่น เป็นการเบียดบังซ่อนเร้น ทำให้โจทก์เสียเปรียบและไม่สามารถบังคับคดีเอากับจำเลยได้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 350 นั้น เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย โปรดรับฎีกาของโจทก์ไว้พิจารณาต่อไป

หมายเหตุ จำเลยยังมิได้รับสำเนาคำร้อง

ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว คดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 350จำคุก 1 ปี จำเลยให้การรับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 6 เดือน

ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้กำหนด 2 ปีนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับดังกล่าว (อันดับ 77)

โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 86)

คำสั่ง

พิเคราะห์แล้ว คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกจำเลยมีกำหนด 6 เดือนศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปีโจทก์ฎีกาว่าขอให้ศาลฎีกาไม่ให้รอการลงโทษแก่จำเลย จึงเป็นฎีกาโต้แย้งดุลพินิจ ในการกำหนดโทษของศาล ส่วนฎีกาของโจทก์ที่ว่าจำเลยไม่ผ่อนชำระหนี้ตามข้อตกลงในคดีแพ่งแก่โจทก์ทั้งโอนทรัพย์สินของตนไปเป็นของบุคคลอื่น โจทก์ไม่สามารถบังคับชำระหนี้เอาจากทรัพย์ของจำเลยนั้น ก็เป็นเรื่องการผิดนัดไม่ชำระหนี้ในทางแพ่งไม่ได้เกี่ยวพันกับการกระทำความผิดในคดีนี้ ฎีกาของโจทก์ดังกล่าวล้วนแล้วแต่เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงทั้งสิ้น จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 219 ศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาของโจทก์ชอบแล้ว

คำสั่งคำร้องที่ 68

คำสั่งคำร้องที่ 68/2545

พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 ม. 118 พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 ม. 54

ความว่า โจทก์อุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งว่า อุทธรณ์ที่ว่า ศาลสั่งงดสืบพยานขัดกับข้อเท็จจริงตามรายงานฯ ลงวันที่ 3 กรกฎาคม 2544 ที่ว่าคู่ความไม่สืบพยาน โดยให้วินิจฉัยจากปากคำพยานเอกสารหมาย ล.1 จึงเป็นอุทธรณ์ฝืนข้อเท็จจริงในสำนวน ส่วนอุทธรณ์อื่นล้วนเป็นอุทธรณ์ข้อเท็จจริง จึงไม่รับอุทธรณ์โจทก์

โจทก์เห็นว่า อุทธรณ์ของโจทก์ประเด็นที่ว่า ศาลชั้นต้นมีคำสั่งงดสืบพยาน โจทก์จึงไม่มีโอกาสนำสืบข้อเท็จจริงให้ศาลเห็นตามที่กล่าวอ้าง การที่ศาลสอบข้อเท็จจริงโดยไม่ให้โจทก์ซักค้านในศาลแล้วจดลงในรายงานกระบวนพิจารณาโดยคู่ความไม่ได้ยอมรับการสอบปากคำดังกล่าวว่าได้กระทำโดยชอบหรือไม่ ข้อความที่สอบไว้นั้นถูกต้องชัดแจ้งหรือไม่ เป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมายวิธีพิจารณาความ ประเด็นที่ว่าโจทก์โอนลูกจ้างจากบริษัทโจทก์ไปยังอีกบริษัทหนึ่ง เมื่อลูกจ้างยินยอมที่จะโอนไปและให้นับอายุงานต่อเนื่องกันถือว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการเลิกจ้างลูกจ้างตามฟ้องหรือไม่นั้น ล้วนเป็นข้อกฎหมาย โปรดรับอุทธรณ์ของโจทก์ไว้พิจารณาต่อไป

หมายเหตุ จำเลยได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 38)

โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งของจำเลยในฐานะพนักงานตรวจแรงงานที่ 161/2543

ศาลแรงงานกลางพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งไม่รับดังกล่าว (อันดับ 32)

โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 36)

คำสั่ง

พิเคราะห์แล้ว คดีนี้ศาลแรงงานกลางสอบข้อเท็จจริงจากคู่ความ คู่ความแถลงรับข้อเท็จจริงพร้อมเอกสารต่อศาลแรงงานกลาง แล้วคู่ความขอให้ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยข้อเท็จจริงจากสำนวนโดยคู่ความไม่สืบพยาน ศาลแรงงานกลางได้พิจารณาข้อเท็จจริงในสำนวนแล้ว วินิจฉัยว่าโจทก์โอนนางศรีสมควรกับพวกรวม 120 คน ซึ่งเป็นลูกจ้างไปทำงานกับนายจ้างใหม่ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2543 โดยลูกจ้างต้องสมัครงานใหม่และเริ่มนับอายุงานใหม่ กรณีจึงถือได้ว่าโจทก์ไม่ให้ลูกจ้างทำงานต่อไปและไม่จ่ายค่าจ้างให้ เนื่องจากโอนกิจการให้บุคคลภายนอก จึงเป็นการเลิกจ้างตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 118 วรรคสอง โจทก์อุทธรณ์ว่าศาลแรงงานกลางสั่งให้งดสืบพยานโดยเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้นั้นไม่ถูกต้อง ความจริงข้อเท็จจริงยังไม่พอที่จะวินิจฉัยคดี หากศาลแรงงานกลางสืบพยานโจทก์ต่อไปข้อเท็จจริงก็จะฟังได้ว่า โจทก์โอนลูกจ้างไปทำงานกับนายจ้างใหม่โดยลูกจ้างยินยอมและนับอายุงานต่อเนื่อง จึงมิใช่เป็นการเลิกจ้างลูกจ้าง โจทก์ไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยนั้น เห็นว่าที่โจทก์อ้างว่าศาลแรงงานกลางสั่งงดสืบพยานโจทก์และจำเลยนั้น เป็นการอ้างข้อเท็จจริงขึ้นใหม่ที่ไม่ตรงกับข้อเท็จจริงในสำนวน และเท่ากับเป็นการโต้เถียงว่าศาลแรงงานกลางไม่ควรวินิจฉัยข้อเท็จจริงในสำนวนตามที่คู่ความขอ จึงเป็นการโต้แย้งการใช้ดุลพินิจของศาลแรงงานกลาง ถือเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 54วรรคหนึ่ง อุทธรณ์โจทก์ข้อต่อมาจึงไม่เป็นสาระแก่คดี ศาลแรงงานกลางสั่งไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์นั้นชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง

คำสั่งคำร้องที่ 66

คำสั่งคำร้องที่ 66/2545

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 106, 107, 108

ความว่า จำเลยยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งศาลอุทธรณ์ภาค 5 ขอให้ศาลฎีกาอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวในระหว่างอุทธรณ์

คำสั่ง

อนุญาตให้ปล่อยจำเลยชั่วคราวในระหว่างอุทธรณ์ ตีราคาค่าประกันสี่แสนบาท ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาหลักประกันแล้วดำเนินการต่อไป

คำสั่งคำร้องที่ 50

คำสั่งคำร้องที่ 50/2545

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 106, 107, 108

ความว่า ผู้ประกันยื่นคำร้องขอให้ปล่อยจำเลยชั่วคราวในระหว่างฎีกา โดยขอใช้หลักประกันเดิม

คำสั่ง

พิเคราะห์ตามพฤติการณ์แห่งคดี ประกอบกับจำเลยให้การรับสารภาพและศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลยขั้นต่ำแล้ว ไม่มีเหตุสมควรที่จะปล่อยชั่วคราวในระหว่างฎีกา ไม่อนุญาต ให้ยกคำร้อง

คำสั่งคำร้องที่ 47

คำสั่งคำร้องที่ 47/2545

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 106, 107, 108

ความว่า ผู้ประกันยื่นคำร้องขอให้ปล่อยจำเลยชั่วคราวในระหว่างฎีกา โดยขอใช้หลักประกันเดิม

คำสั่ง

พิเคราะห์ถึงความหนักเบาแห่งข้อหาแล้ว ในชั้นนี้ยังไม่สมควรให้ปล่อยจำเลยชั่วคราว ให้ยกคำร้อง แจ้งเหตุไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวให้จำเลยทราบโดยเร็ว

»
ติดต่อเราทาง LINE