คำพิพากษาศาลฎีกา ปี 2539
คำสั่งคำร้องที่ 973/2539
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 248
โจทก์ยื่นคำร้องถึงส.ซึ่งเป็นผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนในศาลชั้นต้นขอให้รับรองฎีกาและส.ไม่รับรองฎีกาให้โจทก์ โดยโจทก์ไม่ได้ระบุขอให้ผู้พิพากษาอื่นให้รับรองด้วย ถือได้ว่าโจทก์สละสิทธิที่จะขอให้ผู้พิพากษาอื่นรับรอง ศาลชั้นต้นไม่จำต้องแจ้งถึงการไม่รับรองให้โจทก์ทราบก่อน มีคำสั่งไม่รับฎีกา
คำสั่งคำร้องที่ 972/2539
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 248
คดีที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์จำนวน 200,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันฟ้อง จะนำ ดอกเบี้ยในอนาคตนับแต่วันฟ้องมารวมคำนวณเป็นทุนทรัพย์ ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาด้วยไม่ได้ คดีจึงมีทุนทรัพย์ที่พิพาทกัน ในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท ต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง จำเลยยื่นคำร้องขอให้ผู้พิพากษา ที่นั่งพิจารณาในศาลชั้นต้นหรือ ศาลอุทธรณ์รับรองและอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงและผู้พิพากษาคนหนึ่งที่ได้นั่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นได้พิจารณาแล้วไม่อนุญาตให้ฎีกา ก็ต้องถือว่าตรงตาม ความประสงค์ตามที่ปรากฏในคำร้องแล้ว ไม่ต้องส่งคำร้องไปให้ผู้พิพากษาคนอื่นรับรองอีก
คำสั่งคำร้องที่ 2442/2539
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 146, 271
คดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยให้รับผิดตามเช็คอ้างว่าจำเลยสั่งจ่ายเช็คจำนวน1,400,000บาทให้โจทก์เป็นการชำระหนี้บางส่วนตามสัญญาจะซื้อขายที่ดินพิพาทแต่โจทก์เรียกเก็บเงินตามเช็คไม่ได้ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินตามเช็คแก่โจทก์คดีถึงที่สุดส่วนคดีแพ่งของศาลจังหวัดมีนบุรีที่ท.สามีจำเลยเป็นโจทก์ฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นจำเลยอ้างว่าโจทก์ผิดสัญญาจะซื้อขายที่ดินพิพาทขอให้ชำระมัดจำคืนจำนวน1,800,000บาทศาลฎีกาวินิจฉัยว่าคู่กรณีต่างได้บอกเลิกสัญญาจะซื้อขายที่ดินพิพาทกันแล้วจึงต้องกลับคืนสู่ฐานะเดิมพิพากษาให้โจทก์คืนมัดจำจำนวน1,800,000บาทแก่ท.ตามคำพิพากษาดังกล่าวมีความหมายว่าโจทก์คดีนี้จำต้องคืนเช็คให้แก่ท.ด้วยแต่เนื่องจากจำเลยคดีนี้ได้มีคำสั่งระงับการจ่ายเงินแล้วท.จึงมิได้มีคำขอคืนเงินเกี่ยวกับเช็คหรือให้คืนเช็คดังนี้ถือว่าคำพิพากษาคดีทั้งสองเรื่องเกิดจากมูลหนี้ตามสัญญาจะซื้อขายที่ดินฉบับเดียวกันต่างกล่าวถึงการปฏิบัติชำระหนี้อันแบ่งแยกจากกันไม่ได้ที่ศาลชั้นต้นคดีนี้พิพากษาให้จำเลยชำระเงินตามเช็คซึ่งเป็นการชำระราคาที่ดินพิพาทบางส่วนจึงขัดกับคำพิพากษาฎีกาในคดีดังกล่าวซึ่งวินิจฉัยว่าสัญญาจะซื้อขายที่ดินพิพาทอันเลิกกันแล้วและคู่สัญญาจะต้องกลับคืนสู่ฐานะเดิมจึงต้องถือตามคำพิพากษาศาลฎีกาซึ่งเป็นศาลที่สูงกว่าตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา146วรรคหนึ่งโจทก์จึงไม่อาจบังคับเอาแก่จำเลยตามคำพิพากษาคดีนี้ได้
คำสั่งคำร้องที่ 961/2539
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 1271, 295
โจทก์ดำเนินการบังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น แล้วแม้ต่อมาศาลอุทธรณ์จะพิพากษากลับให้ยกฟ้อง แต่ก็มิใช่คำพิพากษาถึงที่สุดที่เจ้าพนักงานบังคับคดี จะถอนการบังคับคดีได้ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 295(3) เพราะโจทก์ยังฎีกาอยู่ การยึดทรัพย์จึงยังคงมีอยู่ โจทก์ไม่จำต้องขอให้ศาลฎีกาสั่งยึดทรัพย์ของจำเลยซ้ำอีก
คำสั่งคำร้องที่ 1810/2539
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 195
ฎีกาจำเลยในปัญหาข้อกฎหมายที่ว่าเจ้าพนักงานตำรวจค้นบ้านจำเลยโดยไม่ชอบเพราะหมายค้นขัดต่อบทบัญญัติประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา60(4)(ก)เป็นข้อที่จำเลยมิได้ยกขึ้นว่ามาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์และไม่เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยจึงห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา195ประกอบมาตรา225
คำสั่งคำร้องที่ 1012/2539
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 158, 218 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 249
ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทเป็นมรดกของผู้ตายโจทก์เป็นหลานของผู้ตายและมีสิทธิรับมรดกแทนที่บิดาซึ่งเป็นบุตรของผู้ตายและวินิจฉัยว่าคดีโจทก์ไม่ขาดอายุความจำเลยฎีกาว่าที่ดินพิพาทถูกบุคคลอื่นแย่งการครอบครองไปแล้วโจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหายไม่มีสิทธิฟ้องและคดีโจทก์ขาดอายุความแล้วเป็นฎีกาที่โต้เถียงดุลพินิจการรับฟังพยานหลักฐานของศาลจึงเป็นฎีกาปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา218 ฎีกาจำเลยที่ว่าฟ้องโจทก์ไม่ชอบด้วยกฎหมายแต่ไม่ได้อ้างเหตุตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา158(5)อันจะทำให้ฟ้องโจทก์ไม่สมบูรณ์ตามกฎหมายแม้จะเป็นปัญหาข้อกฎหมายแต่ก็ไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย
คำสั่งคำร้องที่ 1344/2539
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 232
การตรวจรับฎีกาเป็นหน้าที่ของศาลชั้นต้นเมื่อศาลชั้นต้นตรวจสั่งรับฎีกาแล้วคู่ความจะยื่นคำร้องขอให้ศาลฎีกายกคำสั่งศาลชั้นต้นไม่ได้
คำสั่งคำร้องที่ 974/2539
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 15 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 248
แม้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาจะมิได้บัญญัติวิธีการ ขอให้รับรองฎีกาไว้แต่ศาลชั้นต้นสามารถนำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคท้ายประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 มาอนุโลมใช้ได้ ศาลชั้นต้นต้องส่งคำร้องขอให้รับรองฎีกาของจำเลยพร้อมสำนวนไปยังผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์ตามที่จำเลยระบุไว้ในคำร้องขอให้รับรองฎีกาเพื่อพิจารณาต่อไปให้ครบทุกท่าน
คำสั่งคำร้องที่ 589/2539
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 247
การขอเพิ่มเติมฎีกาเฉพาะทุนทรัพย์จาก 1,774,686 บาทเป็น 1,774,674 บาท ให้ถูกต้อง ไม่ได้ยกข้ออ้าง เป็นประเด็นขึ้นใหม่ ไม่เป็นการแก้ไขฎีกา แม้จะล่วงพ้น กำหนดยื่นฎีกาก็อาจยื่นขอได้
คำสั่งคำร้องที่ 359/2539
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 15, 220
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 ที่ห้ามมิให้คู่ความฎีกาในคดีซึ่งศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ พิพากษายกฟ้องโจทก์เป็นการห้ามฎีกาทั้งในปัญหา ข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย และบทบัญญัติตามมาตรานี้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาบัญญัติไว้โดยเฉพาะแล้วไม่อาจนำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 242(3)(4),243(1)(3)(ก)(ข) และมาตรา 247 มาใช้บังคับโดย อนุโลมโดยอาศัยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ได้อีก