คำพิพากษาศาลฎีกา ปี 2532

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1731

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1731/2532

ประมวลกฎหมายอาญา ม. 91, 22 พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2497 ม. 3

การออกเช็คเป็นการสั่งให้ธนาคารจ่ายเงินและวันที่ที่ปรากฏในเช็คซึ่งผู้ออกเช็คอาจมีเงินจ่ายตามเช็คหรือมีเจตนาให้ใช้เงินแต่ละฉบับหรือไม่แตกต่างแยกจากกันได้ดังนั้น การที่จำเลยออกเช็คหลายฉบับลงวันที่สั่งจ่ายคนละวันกันและธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็ค จึงเป็นการกระทำความผิดหลายกรรมต่างกัน

การที่ศาลจะสั่งให้หักจำนวนวันที่จำเลยถูกคุมขังก่อนศาลพิพากษาออกจากโทษจำคุกตามคำพิพากษาหรือไม่เป็นดุลพินิจของศาลตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 22 วรรคแรก แม้โจทก์ไม่มีคำขอศาลก็วินิจฉัยได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 19

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 19/2532

ประมวลกฎหมายอาญา ม. 177 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 158

โจทก์ฟ้องจำเลยในข้อหาเบิกความเท็จ แต่โจทก์ไม่ได้บรรยายให้เห็นว่าคดีที่จำเลยเบิกความมีข้อหาและข้อความที่เบิกความเป็นเท็จเป็นข้อสำคัญในคดีอย่างไร จึงเป็นฟ้องที่ไม่ได้บรรยายถึงการกระทำที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำผิดพอสมควรเท่าที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี แม้โจทก์จะบรรยายเลขสำนวนคดีที่จำเลยเบิกความมาในฟ้อง ต่อมาในชั้นพิจารณาโจทก์ได้ยื่นบัญชีระบุพยานอ้างคำเบิกความของจำเลยกับสำนวนคดีนั้นเป็นพยานหลักฐานและศาลชั้นต้นได้นำสำนวนคดีนั้นทั้งสำนวนมาผูกติดกับสำนวนคดีนี้ไว้แล้วก็ตามแต่ข้อเท็จจริงและรายละเอียดที่ปรากฏในสำนวนคดีนั้นก็หาใช่ส่วนหนึ่งของคำฟ้องของโจทก์ไม่ จะนำมาประกอบคำฟ้องของโจทก์คดีนี้ให้สมบูรณ์ขึ้นมิได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1732

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1732/2532

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 192 วรรคสอง พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2497 ม. 3

การที่โจทก์กล่าวในฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ซึ่ง เป็นห้างหุ้นส่วนจำกัดออกเช็ค โดย มีจำเลยที่ 2 ซึ่ง เป็นหุ้นส่วนประเภทจำกัดความรับผิดลงลายมือชื่อสั่งจ่ายและประทับตราของจำเลยที่ 1แม้ข้อเท็จจริงตาม ทางพิจารณาจะได้ความว่า ผู้เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1 เป็นผู้ลงลายมือชื่อสั่งจ่าย มิใช่จำเลยที่ 2 ก็เป็นเพียงข้อแตกต่างในรายละเอียดของการบรรยายฟ้องอันเกี่ยวกับตัว ผู้ทำการแทนนิติบุคคลเท่านั้น มิใช่ข้อแตกต่างในข้อสาระสำคัญอันจะเป็นเหตุให้ศาลลงโทษจำเลยที่ 1 ไม่ได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 12

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 12/2532

ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ม. ,

ลูกจ้างป่วยเป็นอัมพาตเนื่องจากเส้นเลือดในสมองตีบ ไม่สามารถปฏิบัติงานได้เป็นเหตุที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ แม้ตามระเบียบธนาคารออมสิน จะให้อำนาจนายจ้างปลดลูกจ้างออกจากงานได้เมื่อลูกจ้างลาครบกำหนดระยะเวลาแล้วก็ตาม ก็เป็นเพียงให้สิทธิที่นายจ้างจะเลิกจ้างลูกจ้างเท่านั้น จะถือว่าลูกจ้างกระทำผิดฝ่าฝืนระเบียบเกี่ยวกับการทำงานของนายจ้างอย่างร้ายแรง ตามประกาศกระทรวงมหาดไทยเรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ข้อ 47 หาได้ไม่ เมื่อเลิกจ้างนายจ้างจึงต้องจ่ายค่าชดเชยให้ลูกจ้าง เงินทุนเลี้ยงชีพประเภทสอง (บำเหน็จ) เป็นเงินที่นายจ้างผูกพันต้องจ่ายให้แก่ลูกจ้างตามระเบียบของนายจ้าง ส่วนค่าชดเชยเป็นเงินซึ่งประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ข้อ 46บังคับให้นายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้างที่ถูกเลิกจ้างสิทธิของลูกจ้างที่จะได้เงินบำเหน็จและค่าชดเชยจึงกำหนดให้โดยอาศัยกฎหมายและระเบียบต่างกัน ทั้งตามระเบียบกำหนดให้ลูกจ้างซึ่งมีเวลาทำงานต่ำกว่า 5 ปี ไม่มีสิทธิรับเงินบำเหน็จ จึงเห็นได้ว่า ระเบียบของนายจ้างกำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการจ่ายบำเหน็จแตกต่างกับประกาศกระทรวงมหาดไทย ซึ่งกำหนดให้ลูกจ้างประจำซึ่งทำงานติดต่อกันเพียงครบ 120 วัน ก็มีสิทธิได้รับค่าชดเชยแล้ว เงินทุนเลี้ยงชีพและค่าชดเชยจึงเป็นเงินคนละประเภท การที่นายจ้างจ่ายเงินทุนเลี้ยงชีพให้ลูกจ้างแล้ว ไม่ทำให้นายจ้างพ้นความรับผิดที่จะไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยอีก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 11

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 11/2532

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 225 พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 ม. 31

จำเลยมิได้ยกเหตุที่จำเลยให้โจทก์ออกยากงานเนื่องจากโจทก์จงใจทำให้จำเลยได้รับความเสียหายขึ้นเป็นข้อต่อสู้ไว้ในคำให้การ และชั้นชี้สองสถานศาลแรงงานกลางก็ไม่ได้กำหนดปัญหาข้อนี้ไว้เป็นประเด็นข้อพิพาท จำเลยเพิ่งยกขึ้นกล่าวอ้างในชั้นอุทธรณ์ อุทธรณ์จำเลยจึงเป็นเรื่องที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลแรงงานกลาง ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 ประกอบด้วย พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 31 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย.(ที่มา-ส่งเสริม)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9/2532

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 378

โจทก์กับจำเลยที่ 1 ทำสัญญาจะซื้อจะขายอาคารชุด เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2525 ระบุว่าจำเลยที่ 1 จะดำเนินการก่อสร้างให้แล้วเสร็จภายในเดือนธันวาคม 2526 และโจทก์ผู้จะซื้อตกลงชำระเงินมัดจำให้ในวันทำสัญญาเป็นเงิน 210,000 บาท และจะชำระในช่วงระยะเวลาก่อสร้างอีก 2,160,000 บาท โดยแบ่งชำระเป็นงวดจำนวน 24 งวด ภายในวันที่ 28 ของทุกเดือน จนกระทั่งถึงวันที่28 พฤษภาคม 2527 โจทก์ชำระเงินมัดจำแล้วแต่ไม่ได้ชำระเงินค่างวดเช่นนี้ ที่โจทก์อ้างว่าจำเลยต้องดำเนินการก่อสร้างตามงวดการชำระเงินจึงเป็นเพียงการกะประมาณเอา หน้าที่ของจำเลยที่ 1 ตามสัญญาโดยแท้จริง คือสร้างอาคารชุดให้เสร็จภายในเดือนธันวาคม 2526ทั้งจำเลยที่ 1 ได้ว่าจ้างบริษัท ผ. ตอกเสาเข็มคอนกรีตอัดแรงตั้งแต่วันที่ 2 สิงหาคม 2525 และก่อนหน้านั้นต้องเจาะสำรวจดินเพื่อหาข้อมูลในการปักเสาเข็มก่อน ผู้รับจ้างเจาะสำรวจดินทำงานล่าช้าไปประมาณเดือนครึ่งซึ่งเป็นปกติวิสัยที่อาจจะเกิดขึ้นได้เมื่อคำนวณดูแล้วอย่างน้อยจำเลยก็ได้ดำเนินการก่อสร้างมาตั้งแต่ประมาณกลางเดือนมิถุนายน 2525 จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญา โจทก์ย่อมไม่มีสิทธิเรียกเงินมัดจำคืน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6 - 8/2532

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 882, 887 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 249

รถยนต์คันที่จำเลยรับประกันภัยค้ำจุนไว้ชนโจทก์ โจทก์ฟ้องให้จำเลยใช้ค่าสินไหมทดแทนในฐานะผู้รับประกันภัยค้ำจุนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 887 จำเลยจะยกอายุความละเมิดมาใช้บังคับไม่ได้ เพราะเป็นการฟ้องบังคับตามสัญญาประกันภัยต้องใช้อายุความในเรื่องประกันภัย ตามมาตรา 882 เมื่อขณะที่โจทก์ฟ้องจำเลยยังไม่พ้นกำหนดสองปีนับแต่วันวินาศภัย คดีของโจทก์จึงยังไม่ขาดอายุความ ฎีกาของจำเลยที่ว่า โจทก์มิได้ฟ้องผู้เอาประกันภัยภายในกำหนด1 ปี คดีโจทก์จึงขาดอายุความ และจำเลยผู้รับประกันภัยค้ำจุนจะต้องรับผิดก็ต่อเมื่อผู้เอาประกันภัยจะต้องรับผิดชอบด้วยเท่านั้น จำเลยมิได้ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ในคำให้การ และเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ทั้งไม่เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยให้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3/2532

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 142, 183

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยผิดสัญญาเล่นแชร์ส่งค่าแชร์ให้โจทก์ไม่ครบ จำเลยให้การว่าได้ส่งค่าแชร์ให้โจทก์ครบถ้วนแล้วประเด็นแห่งคดีคือจำเลยชำระหนี้ตามฟ้องให้โจทก์แล้วหรือไม่การที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า โจทก์ไม่ได้นำลูกวงแชร์มาเบิกความสนับสนุนคำเบิกความของโจทก์ในเรื่องที่โจทก์ออกเงินชำระหนี้ค่าแชร์แทนจำเลย ทำให้น้ำหนักพยานของโจทก์น้อยนั้นเป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์วินิจฉัยถึงข้อพิรุธของพยานหลักฐานโจทก์เพื่อชั่งน้ำหนักพยานและเป็นการวินิจฉัยในประเด็นที่ว่าจำเลยชำระหนี้ตามฟ้องให้โจทก์แล้วหรือไม่ คำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ไม่เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1729

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1729/2532

ประมวลกฎหมายอาญา ม. 83, 84, 86 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 192 วรรคสอง พระราชบัญญัติระงับการนับเวลาราชการทวีคูณในระหว่างเวลา ประกาศใช้กฎอัยการศึกของคณะปฏิวัติ ลงวันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ.2501 ม. 26, 75, 76

โจทก์กล่าวในฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 เป็นผู้ร่วมกระทำผิดด้วยกัน แต่ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยที่ 2 มิได้ร่วมจำหน่ายกัญชาด้วย เพียงแต่ จำเลยที่ 2 ได้ บอกที่ซ่อน กัญชาและขอให้จำเลยที่ 1 ช่วย จำหน่ายกัญชาแทนในขณะที่จำเลยที่ 2 ไม่อยู่จึงเป็นการก่อให้จำเลยที่ 1 กระทำผิด อันเป็นความผิดฐาน เป็นผู้ใช้ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 84 ซึ่ง ถือว่าข้อเท็จจริงที่ปรากฏในทางพิจารณาแตกต่าง กับข้อเท็จจริงดังที่กล่าวในฟ้องในข้อสาระสำคัญตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสอง จะลงโทษจำเลยที่ 2 ฐาน เป็นผู้ใช้ ให้กระทำผิดไม่ได้ การที่จำเลยที่ 2 ซึ่ง เป็นนายจ้างของจำเลยที่ 1 ได้ บอกที่ซ่อน กัญชา และขอให้จำเลยที่ 1 ช่วย จำหน่ายกัญชาแก่ผู้ซื้อแทนนั้น เป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในการที่จำเลยที่ 1กระทำผิด เป็นความผิดฐาน เป็นผู้สนับสนุนตาม ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 86 ซึ่ง ศาลมีอำนาจลงโทษจำเลยที่ 2 ได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1722

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1722/2532

พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ.2469 ม. 2

จำเลยนำสินค้าพิพาทจากประเทศ สิงคโปร์ เข้ามา 2 ครั้ง ครั้งแรกแบบ ซีวีโอ700จำนวน150ชุดครั้งที่2แบบซีวีโอ 500 จำนวน204 ชุด โดยสั่งซื้อ จากบริษัท ช. ราคาสินค้าพิพาทที่จำเลยสำแดงก็เท่ากับที่ผู้นำเข้ารายอื่นนำเข้าทางท่าเรือกรุงเทพในระยะเวลานั้น การที่โจทก์นำราคาสินค้าชนิดเดียวกันซึ่ง ว. สั่งซื้อ จากผู้ขายต่าง รายกัน และนำเข้าในจำนวนน้อยกว่ามาก โดย นำเข้าแบบซีวีโอ500จำนวน100ชุดและแบบซีวีโอ 700 จำนวนเพียง 2 ชุดเพียงรายเดียว มาเปรียบเทียบกับราคาสินค้าของจำเลย โดย ถือว่าเป็นราคาอันแท้จริงในท้องตลาดแล้วเรียกเก็บภาษีอากรเพิ่มเติมจากจำเลย ทั้ง ๆ ที่ระยะเวลานำเข้าก็ต่างกันเกือบ 1 ปี และต่าง ปีกันจึงไม่ถูกต้อง ถือได้ว่าราคาสินค้าที่จำเลยสำแดงไว้เป็นราคาอันแท้จริงในท้องตลาด.

« »
ติดต่อเราทาง LINE