คำพิพากษาศาลฎีกา ปี 2531

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4214

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4214/2531

พระราชบัญญัติการรถไฟแห่งประเทศไทย พ.ศ.2494 ม. 25 พระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ.2494 ม. 44, 49

คำว่า "กำลังศึกษาในชั้นอุดมศึกษา" ในมาตรา 49 แห่งพระราชบัญญัติ บำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ. 2494 หมายถึง การศึกษาต่อจากชั้นเตรียมอุดมศึกษา แต่ยังไม่จบชั้นอุดมศึกษาระดับปริญญาตรีโจทก์ร่วมเป็นบุตรของพนักงานการรถไฟแห่งประเทศไทยผู้ตายและจบการศึกษาคณะนิติศาสตร์ระดับปริญญาตรีแล้ว การที่โจทก์ร่วมสมัครเข้าเรียนคณะรัฐศาสตร์ระดับปริญญาตรีอีก ไม่มีผลทำให้โจทก์ร่วมเปลี่ยนแปลงฐานะกลับเป็นกำลังศึกษาในชั้นอุดมศึกษาตามเจตนารมณ์ของกฎหมายดังกล่าวได้ โจทก์ร่วมจึงไม่มีสิทธิได้รับเงินสงเคราะห์ตกทอดตามกฎหมายดังกล่าว และข้อบังคับคณะกรรมการรถไฟแห่งประเทศไทยฉบับที่ 48

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4211

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4211/2531

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 113, 850, 1469

โจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีอาญาข้อหาทำร้ายร่างกาย ในวันนัดไต่สวนมูลฟ้องโจทก์จำเลยตกลงกัน ศาลได้บันทึกข้อตกลงไว้ในรายงานกระบวนพิจารณาว่า "จำเลยรับว่าได้ทำร้ายร่างกายโจทก์จริง โจทก์ว่าเมื่อจำเลยรับแล้ว ก็ไม่ติดใจจะว่ากล่าวกับจำเลย เงินในบัญชีธนาคารซึ่งใส่ชื่อร่วมกันอยู่ จำเลยจะคืนให้โจทก์และจะให้อีก400,000 บาท โดยจะชำระให้ภายใน 6 เดือนแรก 200,000 บาท ที่เหลือภายใน 6 เดือนหลัง นอกจากข้อตกลงนี้แล้วคู่ความไม่ติดใจเรียกร้องอะไรต่อกัน โจทก์ขอถอนฟ้อง จำเลยไม่ค้านจำหน่ายคดี" ดังนี้บันทึกข้อตกลงดังกล่าวที่โจทก์ไม่ติดใจว่ากล่าวกับจำเลยเพราะจำเลยรับว่าได้ทำร้ายโจทก์ ไม่มีเงื่อนไขหรือมีความหมายว่าจำเลยจะให้เงินโจทก์เมื่อโจทก์ถอนฟ้อง และเป็นบันทึกข้อตกลงชดใช้ค่าเสียหายที่จำเลยกระทำละเมิดต่อโจทก์ มิได้มีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมายหรือขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนอันจะเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 113 และมิได้เป็นสัญญาเกี่ยวกับทรัพย์สินระหว่างสามีภรรยาโดยตรง ซึ่งจำเลยมีสิทธิบอกล้างได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1469 บันทึกข้อตกลงดังกล่าวจึงใช้บังคับได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4206

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4206/2531

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 57

โจทก์มีภูมิลำเนาอยู่ประเทศเยอรมนีมอบอำนาจให้ว.ฟ้องคดี แม้หนังสือมอบอำนาจให้ฟ้องคดีของโจทก์จะไม่มีเจ้าหน้าที่สถานทูตไทยในประเทศเยอรมนีรับรองมา แต่ศาลชั้นต้นก็มิได้สอบสวนและจำเลยก็ไม่ร้องขอให้ศาลสอบสวนถึงอำนาจฟ้องของผู้รับมอบอำนาจถือว่าศาลและจำเลยมิได้สงสัยอำนาจฟ้องของผู้รับมอบอำนาจ เมื่อจำเลยไม่มีหลักฐานมาสืบหักล้างว่า ลายมือชื่อผู้มอบอำนาจไม่ใช่ของโจทก์ก็ฟังได้ว่าโจทก์มอบอำนาจให้ผู้รับมอบอำนาจฟ้องคดีโดยถูกต้องแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4184

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4184/2531

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 76, 164 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 57 (3)

การที่เทศบาลเมืองฯ โจทก์ต้องชดใช้เงินให้ พ. เป็นผลโดยตรงจากสัญญาซึ่งจำเลยร่วมที่ 2 ในฐานะนายกเทศมนตรีและจำเลยในฐานะเทศมนตรีร่วมกันทำแทนโจทก์ โดยมอบสิทธิในการก่อสร้างอาคารพาณิชย์ในที่ดินที่ พ. เคยเช่าอยู่เดิมให้แก่ห้างหุ้นส่วนจำกัด แม้การกระทำของจำเลยทั้งสองจะถือว่าเป็นการกระทำของโจทก์ แต่การกระทำดังกล่าวของจำเลยทั้งสองซึ่งมีหน้าที่บริการงานแทนโจทก์โดยไม่คำนึงถึงข้อผูกพันที่โจทก์มีอยู่ต่อ พ.ตามสัญญาเดิมที่โจทก์ต้องสร้างอาคารพาณิชย์ให้พ.เช่าอยู่แทนอาคารเดิมที่ถูกเพลิงไหม้เป็นเหตุให้ พ. ได้รับความเสียหายไม่ได้เข้าพักอาศัยในอาคารพาณิชย์ที่ก่อสร้างขึ้นดังกล่าว และโจทก์ต้องชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ พ. ตามคำพิพากษาศาลฎีกา โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องไล่เบี้ยเอาแก่จำเลยทั้งสองได้และขณะโจทก์ถูก พ. ฟ้องต่อศาลชั้นต้นก่อนที่ศาลฎีกาจะมีคำพิพากษาในคดีนั้น ไม่มีกฎหมายบัญญัติให้โจทก์ต้องเรียกจำเลยเข้ามาเป็นจำเลยร่วมด้วย การที่โจทก์ไม่เรียกจำเลยเข้ามาเป็นจำเลยร่วมไม่ทำให้โจทก์เสียสิทธิที่จะไล่เบี้ยแก่จำเลย ความเสียหายของโจทก์ที่เกิดขึ้นดังกล่าว แม้จำเลยร่วมที่ 2จะพ้นจากหน้าที่ไปก่อนที่โจทก์จะได้ชดใช้เงินค่าเสียหายให้แก่พ. ก็ไม่ทำให้จำเลยร่วมที่ 2 พ้นจากความรับผิดต่อโจทก์ อายุความเกี่ยวกับสิทธิฟ้องไล่เบี้ยของโจทก์ ไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่นว่าต้องฟ้องภายในอายุความเท่าใดจึงต้องฟ้องภายในกำหนด 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4161

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4161/2531

ประมวลกฎหมายอาญา ม. 59, 83

จำเลยชกต่อยกับผู้ตายไม่มีเจตนาฆ่าผู้ตาย แต่เมื่อน้องชายช่วยจำเลยโดยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตาย 1 นัด จนผู้ตายล้มลง จำเลยใช้สากไม้ตำข้าวขนาดใหญ่ตีผู้ต้ายซ้ำอีก2 ที ที่ศีรษะของผู้ตายจนกะโหลกศรีษะของผู้ตายแตกเป็นหลายชิ้นสมองถูกทำลาย ดังนี้แสดงว่าจำเลยมีเจตนาทำร้ายผู้ตายให้ถึงแก่ความตาย การร่วมกันกระทำความผิดไม่จำเป็นต้องมีเจตนาร่วมกันมาก่อนเกิดเหตุเสมอไป อาจเกิดขึ้นในขณะที่เกิดเหตุนั้นเองก็ได้ ทั้งนี้แล้วข้อเท็จจริงแต่ละเรื่องที่เกิดขึ้น จำเลยกับน้องชายมิได้คบคิดกันเพื่อประทุษร้ายผู้ตายมาก่อนจำเลยเห็นผู้ตายถูกกระสุนปืนนัดแรกแต่ยังไม่ถึงแก่ความตายจำเลยก็ใช้สากไม้ตำข้าวตีทำร้ายผู้ตายช้ำในทันที ดังนี้เป็นพฤติการณ์ที่เห็นได้ชัดว่าจำเลยมีความประสงค์ที่จะช่วยน้องชายทำร้ายผู้ตายให้ถึงแก่ความตาย จึงเป็นการร่วมกันกระทำความผิด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4156

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4156/2531

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 148 พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 ม. 31, 49

คดีก่อนจำเลยเป็นโจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากโจทก์คดีนี้โดยกล่าวอ้างว่าโจทก์เลิกจ้างจำเลยโดยไม่เป็นธรรม ซึ่งเป็นการฟ้องโดยอาศัยสิทธิตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 49 และศาลได้พิพากษาตามยอมถึงที่สุดไปแล้ว ส่วนคดีนี้โจทก์ฟ้องเรียกเงินสำรองจากจำเลยโดยกล่าวหาว่าจำเลยเบิกเงินสำรองจากโจทก์ไปแล้วไม่ชำระคืน เป็นการฟ้องโดยอาศัยสิทธิตามสัญญาหรือข้อตกลง มูลกรณีซึ่งเป็นเหตุแห่งการฟ้องเรียกและประเด็นซึ่งจะต้องวินิจฉัย จึงต่างเหตุและต่างประเด็นไม่ใช่เป็นเรื่องที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน ไม่เป็นฟ้องซ้ำ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4155

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4155/2531

ประมวลกฎหมายอาญา ม. 1 (5), 91, 371

แม้มีดแบบปอกผลไม้ที่จำเลยพาติดตัวไปในโรงภาพยนตร์ไม่ใช่อาวุธโดยสภาพ แต่เมื่อจำเลยได้ใช้มีดนั้นแทงผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัส จึงเป็นอาวุธตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371 จำเลยมีความผิดตามบทบัญญัติดังกล่าวและเป็นความผิดอีกกรรมหนึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4039

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4039/2531

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 608, 617, 618

จำเลยเป็นตัวแทนในประเทศไทยของบริษัท น. ผู้ขนส่งสินค้ารายพิพาทจากประเทศโรมาเนีย เมื่อเรือบรรทุกสินค้ามาถึงท่าเรือแห่งประเทศไทย ทางเรือได้แจ้งรายการสินค้าเสียหายให้บริษัท จ. ผู้ซื้อสินค้าทราบไม่ได้แจ้งจำเลยด้วย และบริษัท จ. เป็นผู้ว่าจ้างผู้อื่นไปขนถ่ายสินค้าจากเรือดังกล่าวเอง จำเลยมีหน้าที่เพียงแจ้งการมาถึงของเรือสินค้าให้บริษัท จ. ทราบเท่านั้น จำเลยไม่เป็นผู้ร่วมขนส่งสินค้ารายพิพาท โจทก์ผู้รับประกันภัยสินค้ากับบริษัท จ. จึงไม่อาจฟ้องให้จำเลยรับผิดได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3926

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3926/2531

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 118, 406, 407, 419

จำเลยขายที่พิพาทให้โจทก์ โดยให้โจทก์ไถ่ถอนการขายฝากจาก ส.เป็นการชำระเงินค่าที่พิพาทส่วนหนึ่ง โจทก์นำที่พิพาทไปจำนองกับธนาคารเพื่อประกันหนี้เงินที่โจทก์กู้มาไถ่ถอนการขายฝาก ต่อมาจำเลยฟ้องโจทก์และศาลฎีกาพิพากษาว่า สัญญาซื้อขายเกิดขึ้นด้วยการแสดงเจตนาลวง ตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 118 ปรากฏว่าโจทก์ได้ผ่อนชำระหนี้เงินกู้และดอกเบี้ยให้แก่ธนาคารไปตามสัญญาจำนองก่อนแล้วจำนวน 106,373.20 บาทจำเลยคงชำระเงินส่วนที่เหลือแก่ธนาคารเป็นการไถ่ถอนการจำนองอีกเพียง 26,601.44 บาทจึงเป็นกรณีที่จำเลยได้รับที่ดินและสิ่งปลูกสร้างมาในสภาพที่ปลอดจำนองด้วยเงินที่โจทก์ชำระไปส่วนหนึ่ง ซึ่งจำเลยไม่มีมูลอันจะอ้างกฎหมายได้และทำให้โจทก์เสียเปรียบ ทั้งโจทก์มิได้ชำระหนี้ไปตามอำเภอใจ จำเลยจึงต้องชำระเงินจำนวนดังกล่าวคืนแก่โจทก์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 406 โจทก์ทราบคำพิพากษาศาลฎีกาซึ่งถือว่าเป็นวันที่รู้ว่าตนมีสิทธิเรียกเงินคืนอายุความจึงเริ่มนับแต่เวลาดังกล่าว มิใช่นับแต่วันทำสัญญาซื้อขายเมื่อฟ้องคดีนี้ไม่พ้นกำหนด 1 ปีนับแต่วันเวลาที่ทราบคำพิพากษาศาลฎีกา จึงไม่ขาดอายุความ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3925

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3925/2531

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 222, 420, 423, 438 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 144, 173, 177, 183

คดีก่อนโจทก์ฟ้องอ้างว่าจำเลยผิดสัญญาซื้อขายถ้วยแก้วขอให้บังคับจำเลยคืนเงินมัดจำและค่าเสียหายที่โจทก์ต้องไปซื้อถ้วยแก้วจากผู้อื่นแพงขึ้น ส่วนคดีนี้โจทก์ฟ้องให้จำเลยรับผิดจากการที่โจทก์ต้องชำระเงินตามเช็คที่จำเลยโอนไปให้แก่บุคคลภายนอกและเรียกค่าสินไหมทดแทนจากการที่โจทก์ต้องแต่งตั้งทนายความสู้คดีและต้องรับโทษจำคุกตามคำพิพากษา ซึ่งเป็นคนละเรื่องต่างประเด็นกัน และโจทก์เพิ่งชำระเงินตามเช็คไปหลังจากศาลชั้นต้นในคดีก่อนพิพากษาคดีแล้ว ฟ้องโจทก์จึงไม่เป็นฟ้องซ้อนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173 คำให้การของจำเลยต่อสู้ปฏิเสธฟ้องโจทก์แต่เพียงว่า ฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้อนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173มิได้ให้การต่อสู้ว่าฟ้องโจทก์เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำตามมาตรา 144 และศาลชั้นต้นได้กำหนดประเด็นข้อพิพาทในชั้นชี้สองสถานไว้ว่าฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้อนหรือไม่ ดังนั้นศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยปัญหาเรื่องการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำจึงชอบแล้ว จำเลยผิดสัญญาโอนเช็คที่โจทก์จ่ายเป็นประกันการชำระราคาซื้อขายถ้วยแก้วให้บุคคลภายนอก โจทก์ถูกบุคคลภายนอกฟ้องและได้ชำระเงินตามเช็คให้บุคคลภายนอกไปแล้ว ค่าดอกเบี้ยและค่าฤชาธรรมเนียมที่โจทก์ได้จ่ายให้แก่บุคคลภายนอกผู้เป็นโจทก์นั้น โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องเอากับจำเลยได้ เพราะไม่เป็นค่าเสียหายโดยตรงจากการที่จำเลยผิดสัญญา ความรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนในเรื่องละเมิดเกี่ยวกับการทำให้เสียหายแก่ชื่อเสียงหรือเกียรติคุณนั้น มีแต่เฉพาะการกล่าวหรือไขข่าวแพร่หลายซึ่งข้อความอันฝ่าฝืนความจริงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 423 เท่านั้น โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนในกรณีต้องเสื่อมเสียชื่อเสียงและเกียรติยศเพราะถูกจำคุกตามคำพิพากษา ค่าจ้างทนายความต่อสู้คดีที่โจทก์ผู้สั่งจ่ายถูกผู้ทรงฟ้องไม่ใช่เป็นผลโดยตรงอันเกิดจากการที่จำเลยผิดสัญญาและแม้จะเป็นเรื่องละเมิดก็นับว่าเป็นค่าเสียหายที่ไกลเกินกว่าเหตุ โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกเอาแก่จำเลย

« »
ติดต่อเราทาง LINE