คำพิพากษาศาลฎีกา ปี 2531
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 181/2531
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 420 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 84
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยบุกรุก ขอให้ขับไล่และเรียกค่าเสียหายชั้นชี้สองสถาน ศาลกำหนดให้โจทก์มีหน้าที่นำสืบก่อน ก่อนสืบพยาน คู่ความแถลงขอให้เจ้าพนักงานที่ดินทำการรังวัดและปูโฉนด แต่เจ้าพนักงานไม่สามารถปูโฉนดแนวเขตได้ ได้แต่ทำรูปแผนที่กระดาษส่งศาล คู่ความแถลงขอให้ศาลชี้ขาด เมื่อศาลเห็นว่าแผนที่ดังกล่าวทับกันไม่สนิท ไม่อาจใช้แผนที่ชี้ขาดได้ว่าจำเลยบุกรุกที่ดินโจทก์หรือไม่ จึงวินิจฉัยคดีว่า โจทก์มีหน้าที่นำสืบก่อน แต่โจทก์ไม่สืบพยานจึงต้องแพ้คดี พิพากษายกฟ้อง เช่นนี้ถือว่าเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาโดยชอบ.(ที่มา-ส่งเสริม)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 177/2531
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 145 พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 ม. 9, 14
หนี้ตามคำพิพากษาซึ่งอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ถือได้ว่าเป็นหนี้ซึ่งอาจกำหนดจำนวนได้แน่นอน อันโจทก์อาจนำมาฟ้องให้จำเลยล้มละลายได้ แต่หนี้ดังกล่าวอาจถูกกลับหรือแก้โดยศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกาก็ได้ข้อเท็จจริงยังไม่อาจฟังเป็นยุติได้ว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์ตามฟ้องหรือไม่ จึงยังไม่สมควรให้จำเลยล้มละลายตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช 2483มาตรา 14.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 112/2531
ประมวลกฎหมายอาญา ม. 335 (7), 336 ทวิ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 213
จำเลยที่ 4 นั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์คันที่จำเลยที่ 1 ขับขี่มาที่เกิดเหตุขณะจำเลยที่ 1,2 ลักทรัพย์ จำเลยที่ 4 ก็ยืนคอยอยู่แถวนั้น พฤติการณ์ย่อมถือได้ว่าจำเลยที่ 4 มีส่วนรู้เห็นในการกระทำผิดด้วย
ขณะจำเลยกระทำผิด รถจักรยานยนต์พาหนะของจำเลยยังจอดอยู่ที่เดิมมิได้ก่อให้เกิดความสะดวกในการลักทรัพย์แต่อย่างใดการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 336ทวิ
ศาลล่างพิพากษาว่า จำเลยทั้งสี่มีความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 336 ทวิ จำเลยที่ 4 ฎีกา เมื่อศาลฎีกาเห็นว่าจำเลยที่ 4 มีความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(7) ศาลฎีกาย่อมพิพากษาแก้ถึงจำเลยที่มิได้ฎีกาด้วย.(ที่มา-ส่งเสริม)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 167/2531
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 55 ประมวลรัษฎากร ม. 30
เจ้าพนักงานประเมินได้ประเมินภาษีอากรให้จำเลยชำระเพิ่มเติมจำเลยอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์มีหน้าที่ตรวจสอบคำสั่งของเจ้าพนักงานประเมินว่าชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ และมีอำนาจแก้ไขเปลี่ยนแปลง ยกเลิก เพิกถอนคำสั่งนั้นได้ตามที่เห็นสมควร ดังนี้เมื่อยังไม่ได้มีคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ กรมสรรพากรโจทก์จึงไม่มีอำนาจนำคดีมาฟ้อง.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 147/2531
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 575 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 226 พระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2518 ม. 10 พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 ม. 31, 39
การที่จำเลยอุทธรณ์ว่าศาลแรงงานกลางไม่ได้กำหนดประเด็นข้อพิพาทไว้แต่เพียงบันทึกคำแถลงของคู่ความแล้วสั่งงดสืบพยานทั้งสองฝ่าย เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณารวบรัด ฝ่าฝืนมาตรา 31 และ 39 แห่ง พ.ร.บ. จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ. 2522 ขอให้ศาลฎีกาพิพากษาย้อนสำนวนไปให้ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้วพิพากษาใหม่นั้น เป็นการอุทธรณ์คัดค้านคำสั่งเกี่ยวกับการดำเนินกระบวนพิจารณาและคำสั่งงดสืบพยานของศาลอันเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามป.วิ.พ. มาตรา 226 ประกอบด้วย พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 31
ตามระเบียบข้อบังคับหมวดการให้ออกและเลิกจ้าง ข้อ 20 ของจำเลยกำหนดว่า 'หากพนักงานคนใดปฏิบัติผิดกฎข้อบังคับข้อใดข้อหนึ่ง บริษัท ฯ สงวนสิทธิ์ที่จะพิจารณาโทษให้ออกจากงานและยึดเงินประกัน' และตามระเบียบดังกล่าวได้กำหนดเรื่องการขอรับเงินประกันคืนไว้ว่า 'พนักงานที่ได้รับการคัดเลือกให้เข้าปฏิบัติงานกับบริษัท ฯ อย่างน้อย 6 เดือนขึ้นไปถึงจะมีสิทธิรับเงินประกันคืนเมื่อลาออกจากงานโดยต้องยื่นใบลาล่วงหน้า 15 วัน' การที่โจทก์ผู้เป็นลูกจ้างลาออกโดยโจทก์ได้ทำงานกับบริษัทจำเลยเกินกว่า 6เดือน และยื่นใบลาล่วงหน้า 15 วันแล้ว จึงต้องด้วยระเบียบการขอรับเงินประกันคืน แม้จำเลยจะฟังว่าโจทก์ขาดงาน 3วันติดต่อกัน แต่จำเลยก็มิได้ให้โจทก์ออกจากงาน กรณีจึงไม่ต้องด้วยข้อ 20 แห่งระเบียบข้อบังคับหมวดการให้ออกและการเลิกจ้างดังกล่าว เมื่อฟังว่าโจทก์ไม่ได้ทำให้จำเลยเสียหายประการใด จำเลยจึงไม่มีสิทธิยึดเงินประกันของโจทก์ไว้.(ที่มา-ส่งเสริม)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 135/2531
ประมวลกฎหมายอาญา ม. 83, 91, 341, 343 พระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ.2511 ม. 27
ก่อนที่ผู้เสียหายทั้งเก้าคนจะไปสมัครงานที่ห้างหุ้นส่วนจำกัด เอ็ม.เอ็ม.พี พนักงานของห้างหุ้นส่วนดังกล่าวคนหนึ่งได้ไปชักชวนผู้เสียหายทั้งเก้าคนให้มาสมัครงานกับห้างหุ้นส่วน เมื่อผู้เสียหายทั้งเก้าคนมาพบจำเลยทั้งสองซึ่งทำงานอยู่ที่ห้างหุ้นส่วนนั้น ได้ร่วมกันชักชวนผู้เสียหายให้ไปทำงานต่างประเทศ อ้างว่างานดี ค่าจ้างดี ห้างหุ้นส่วนดังกล่าวมีความมั่นคงไม่หลอกลวง ทั้งจำเลยทั้งสองได้ทดสอบฝีมือผู้เสียหายทั้งเก้าคน พาไปตรวจโรคและทำหนังสือเดินทาง จำเลยทั้งสองได้รับค่าบริการจากผู้เสียหายคนละ 31,830 บาท พฤติการณ์แห่งคดีดังกล่าวส่อให้เห็นได้ว่า จำเลยทั้งสองกับพวกได้ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยต่างแบ่งหน้าที่กันทำ จึงเป็นความผิดฐานเป็นตัวการฉ้อโกงประชาชน
จำเลยได้พูดชักชวนผู้เสียหายทั้งเก้าคนสมัครงานกับห้างหุ้นส่วนจำกัด เอ็ม.เอ็ม.พี โดยพูดชักชวนและเรียกค่าบริการจาก ฉ.บ.และถ. เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2526 ป. กับ ม. เมื่อวันที่ 9ธันวาคม 2526 ฉ.กับส.เมื่อวันที่29พฤศจิกายน2526ฐ. เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2526 และ ต. เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2526 รวม 5 วัน จึงเป็นความผิด 5 กระทง
การที่จำเลยพูดจาหลอกลวงชักชวนผู้เสียหายและประชาชนให้มาสมัครงานกับห้างหุ้นส่วน เอ็ม.เอ็ม.พี ซึ่งไม่ได้รับอนุญาตให้จัดตั้งสำนักจัดส่งคนงานไปต่างประเทศ การกระทำของจำเลยมิได้มีเจตนาจะจัดหางานให้แก่พวกผู้เสียหายแต่อย่างใด เพียงแต่อ้างเอาเหตุที่จะส่งผู้เสียหายไปทำงานต่างประเทศมาเป็นข้อหลอกลวงเพื่อให้ได้เงินค่าบริการจากผู้เสียหายเท่านั้น กรณีจึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยจัดหางานโดยมิได้รับอนุญาตอันจะเป็นความผิดตาม พระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน.(ที่มา-ส่งเสริม)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 138/2531
ประมวลกฎหมายอาญา ม. 59, 288 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 226
แพทย์เบิกความว่าบาดแผลที่ผู้เสียหายได้รับนอกจากจะพบหัวกระสุนปืนแล้วยังพบหมอนรองกระสุนปืนฝังอยู่ในบาดแผลด้วยแสดงว่าคนร้ายยิงผู้เสียหายในระยะใกล้ชิดมาก ซึ่งรับกับคำของผู้เสียหายว่าเห็นจำเลยเดินค่อมๆใช้มือไขว้หลังเดินมาทางด้านหลังผู้เสียหายแล้วใช้ปืนยิงห่างจากผู้เสียหายประมาณ1 เมตรเช่นนี้ คำเบิกความของผู้เสียหายรับฟังได้ เพราะหากมิได้ยิงในระยะใกล้หมอนรองกระสุนซึ่งมีน้ำหนักเบาคงไม่เข้าไปฝังอยู่ในบาดแผล
จำเลยใช้อาวุธปืนลูกซองสั้นซึ่งเป็นอาวุธที่ทำให้ถึงแก่ความตายได้ยิงผู้เสียหายในระยะกระชั้นชิด แม้กระสุนถูกขาผู้เสียหาย แต่ก็เนื่องจากผู้เสียหายระวังตัวอยู่ก่อนและหลบได้ทัน กระสุนจึงพลาดจากตัวไปถูกขา เช่นนี้ แสดงว่าจำเลยมีเจตนาฆ่า.(ที่มา-ส่งเสริม)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 137/2531
ประมวลกฎหมายอาญา ม. 83, 289 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490
จำเลยกับ ช.และม.ร่วมกันไปที่บ้านส.โดยจำเลยทราบดีว่าช.และ ม. ต้องการฆ่าผู้ตาย ช.และม.บังคับส. ให้ไปลวงผู้ตายมาที่บ้าน ส.จำเลยไปกับส. ด้วยโดยไม่ปรากฏว่าถูกขู่บังคับเมื่อผู้ตายมาที่บ้าน ส. แล้วจะกลับที่พักจำเลยถือตะเกียงเดินตามหลังผู้ตายไปเพื่อให้คนร้ายยิงผู้ตายไม่ผิดตัว การกระทำของจำเลยเข้าลักษณะแบ่งหน้าที่กันทำ จำเลยจึงเป็นตัวการในความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน.(ที่มา-ส่งเสริม)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 94/2531
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 1350 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 296 ทวิ
เมื่อคดีฟังได้ว่าที่ดินแปลงเดิมมีทางออกไปสู่ทางสาธารณะแต่ภายหลังถูกแบ่งแยกเป็นเหตุให้ที่ดินที่ถูกแบ่งแยกออกมาซึ่งเป็นของโจทก์ไม่มีทางออกไปสู่ทางสาธารณะ โจทก์ย่อมมีสิทธิเรียกร้องเอาทางเดินบนที่ดินของจำเลยซึ่งเคยเป็นที่ดินแปลงเดียวกับที่ดินของโจทก์มาแต่เดิมได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1350 การที่โจทก์มีคำขอว่า หากจำเลยไม่ยอมรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างก็ขอให้บุคคลภายนอกเป็นผู้รื้อถอน โดยให้จำเลยชดใช้้ค่าใช้จ่ายนั้น เมื่อมีพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 10) พ.ศ. 2527ออกใช้บังคับ ซึ่งมาตรา 12 เพิ่มเติมมาตรา 296 ทวิเปลี่ยนแปลงวิธีการดังกล่าวเป็นว่า หากลูกหนี้ตามคำพิพากษาไม่ปฏิบัติตามคำบังคับ เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาชอบที่จะยื่นคำร้องต่อศาลให้มีคำสั่งตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีให้จัดการให้โจทก์ชอบที่จะดำเนินการตามวิธีดังกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 134/2531
ประมวลกฎหมายอาญา ม. 90, 341, 343
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานฉ้อโกงประชาชนโดยอ้างประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341,343 ดังนี้ เมื่อศาลลงโทษจำเลยตามมาตรา 343 แล้ว ก็ไม่ต้องปรับบทลงโทษตามมาตรา 341 อีก.