คำพิพากษาศาลฎีกา ปี 2518

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1242

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1242/2518

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 172

คำฟ้องคดีขอให้แสดงกรรมสิทธิ์ที่ดินและขับไล่ โจทก์บรรยายข้อหาและข้ออ้างที่เป็นหลักแห่งข้อหาชัดแจ้งแล้วแผนที่สังเขปท้ายฟ้องเป็นแต่เพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้น แม้ไม่ได้หมายสีแดงไว้ตามที่ระบุในฟ้องก็ไม่เคลือบคลุม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1239

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1238 - 1239/2518

ประมวลกฎหมายอาญา ม. 56

ในกรณีที่ศาลรวมการพิจารณาพิพากษาคดีที่จำเลยคนเดียวกันถูกฟ้องตั้งแต่ 2 สำนวนขึ้นไป คำว่า "ในคดีนั้น" ในตอนต้นของมาตรา 56 แห่งประมวลกฎหมายอาญา หมายถึงคดีแต่ละสำนวนเป็นรายคดี เมื่อกำหนดโทษจำคุกที่ศาลลงแก่จำเลยในแต่ละสำนวนตามที่ได้ลดโทษให้แล้วไม่เกิน 2 ปี และไม่ปรากฏว่าจำเลยได้รับโทษจำคุกมาก่อน ศาลย่อมมีอำนาจพิพากษาให้รอการลงโทษได้ถ้าเห็นเป็นการสมควร (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 7/2518)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1237

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1237/2518

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 57 (2)

คำพิพากษาในคดีที่โจทก์ฟ้องขอแบ่งที่ดินอันเป็นกรรมสิทธิ์รวมไม่ผูกพันผู้ที่อ้างว่าซื้อที่พิพาทจากจำเลย จึงไม่อนุญาตให้ร้องสอดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(2)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 293

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 293/2518

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 37, 38, 1479, 1483, 1487 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 283, 287, 288

เมื่อผู้ร้องซึ่งเป็นสามีได้บอกล้างสัญญาค้ำประกันซึ่งจำเลยที่ 2 ผู้เป็นภริยาทำไว้กับโจทก์แล้ว ย่อมมีผลทำให้สัญญาค้ำประกันนั้นในส่วนที่ผูกพันสินบริคณห์ตกเป็นโมฆะ แต่ยังสมบูรณ์อยู่เฉพาะในส่วนที่ผูกพันสินส่วนตัวของจำเลยที่ 2 โจทก์จะต้องบังคับชำระเอาจากสินส่วนตัวของจำเลยที่ 2 หากสินส่วนตัวของจำเลยที่ 2 ไม่มี หรือมีไม่พอ และโจทก์ประสงค์จะบังคับชำระหนี้เอาจากส่วนของจำเลยที่ 2 ในสินบริคณห์ โจทก์ต้องร้องต่อศาลให้แยกสินบริคณห์ระหว่างจำเลยที่ 2 กับผู้ร้องเสียก่อน แล้วจึงนำยึดส่วนของจำเลยที่ 2 เพื่อชำระหนี้ โจทก์จะนำยึดสินบริคณห์ก่อนขอแยกสินบริคณห์ออกเป็นส่วนของจำเลยที่ 2ไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1232

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1232/2518

ประมวลกฎหมายที่ดิน

ที่ดินของรัฐตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 1 และ 2 รวมถึงที่ชายทะเลซึ่งมิได้เป็นกรรมสิทธิ์ของบุคคลใด ไม่ต้องเป็นที่ตาม พระราชบัญญัติแร่ฯ หรือ พระราชบัญญัติป่าไม้ฯจำเลยเข้ายึดถือครอบครองโดยไม่รับอนุญาตเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 108

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1229

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1229/2518

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 248

คดีฟ้องเรียกเงิน 4,100 บาท ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้เงิน 4,000 บาทกับดอกเบี้ย ศาลอุทธรณ์แก้เป็นให้ใช้เงิน 2,000 บาทกับดอกเบี้ย เป็นการแก้ไขเล็กน้อย ฎีกาข้อเท็จจริงไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1222

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1222/2518

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 420, 806 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 142

ส.ม.ฝากเงินของห้างหุ้นส่วนจำกัดโจทก์แก่ธนาคารในชื่อส. ม. ตั้งแต่ก่อนจดทะเบียน เมื่อจดทะเบียนแล้วธนาคารเอาเงินในบัญชีนี้ใช้หนี้ส่วนตัว ส. โดยโจทก์ไม่ยินยอมและธนาคารทราบแล้วว่าเป็นเงินของโจทก์ เป็นเหตุให้ธนาคารไม่จ่ายเงินตามเช็คของโจทก์ทำให้โจทก์เสียชื่อเสียงดังนี้เป็นละเมิด ธนาคารต้องใช้เงินคืนกับดอกเบี้ยและใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ด้วย

ประเด็นเรื่องโจทก์ควรฟ้องหรือร้องขัดทรัพย์ แม้ศาลยกเรื่องอำนาจฟ้องขึ้นวินิจฉัยได้เองโดยที่ศาลชั้นต้นไม่ได้ตั้งประเด็นไว้ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(5) แต่ศาลฎีกาใช้ดุลพินิจดังกล่าวต่อเมื่อมีเหตุอันควร จึงไม่วินิจฉัยในข้อนี้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1218

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1218/2518

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 224, 225

ฟ้องขับไล่จากตึกแถวซึ่งให้เช่าเดือนละ 350 บาท เรียกค่าเสียหายตั้งแต่วันฟ้องเดือนละ 3,000 บาท ไม่มีข้อยกเว้นให้อุทธรณ์ได้ตามมาตรา 224 วรรคสอง แม้ศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยข้อเท็จจริง ก็ฎีกาไม่ได้

อุทธรณ์ว่าศาลชั้นต้นกะประเด็นขาดไปในข้อที่จำเลยต่อสู้ว่าหนังสือบอกเลิกการเช่าไม่ได้กำหนดเวลาล่วงหน้าใช้ไม่ได้ แต่จำเลยไม่ได้โต้แย้ง จึงไม่มีประเด็นชั้นฎีกา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1231

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1231/2518

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 204, 366

เอกสารว่ารับเงินมัดจำแล้ว จะทำสัญญาก่อสร้างให้ถูกต้องในวันที่ 20 ฯ และชำระเงินอีกจำนวนหนึ่ง ดังนี้โจทก์จำเลยเถียงกันเรื่องรายละเอียดได้ตกลงกันแล้วหรือไม่กรณีจึงเป็นที่สงสัย ยังไม่นับว่ามีสัญญากัน จำเลยต้องคืนมัดจำและเสียดอกเบี้ยตั้งแต่วันฟ้อง ซึ่งถือว่าจำเลยผิดนัดตั้งแต่วันนั้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1211

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1211/2518

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 76, 420, 425, 427, 438, 609, 620 พระราชบัญญัติไปรษณีย์ พ.ศ.2477 ม. 22, 29, 30

โจทก์ที่ 1 ส่งตั๋วแลกเงินจำนวน 40,000 บาทของธนาคารจำเลยที่ 1 สาขาเบตงให้แก่โจทก์ที่ 2 โดยบรรจุตั๋วแลกเงินในซองจดหมายลงทะเบียนจ่าหน้าซองถึงโจทก์ที่ 2 จำเลยที่ 2 เป็นพนักงานบุรุษไปรษณีย์ ได้รับมอบหมายให้นำไปรษณียภัณฑ์ดังกล่าวไปส่งให้แก่ผู้รับ แต่ในการส่งนั้นจำเลยที่ 2 ได้ทำหลักฐานใบรับปลอมขึ้นว่ามีบุคคลในบ้านเดียวกันกับโจทก์ที่ 2 รับแทน แล้วแอบอ้างตัวเองเป็นโจทก์ที่ 2 นำตั๋วแลกเงินไปรับเงินจากธนาคารจำเลยที่ 1 สาขาราชปรารภ อันเป็นการทำละเมิดต่อโจทก์ ดังนี้ แม้พระราชบัญญัติไปรษณีย์ พ.ศ.2477 จะบัญญัติถึงความรับผิดของกรมไปรษณีย์ไว้เป็นพิเศษก็ตาม แต่เมื่อกรณีนี้เป็นเรื่องละเมิด มิใช่เป็นการทำผิดสัญญารับขน พระราชบัญญัติไปรษณีย์ พ.ศ 2477 จึงไม่เป็นประโยชน์แก่กรมไปรษณีย์โทรเลขจำเลยที่ 3 กรมไปรษณีย์โทรเลขจำเลยที่ 3 จึงต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 2 ด้วย เมื่อทรัพย์สินที่โจทก์ต้องเสียไปเพราะการละเมิดนั้นคือเงินจำนวน 40,000 บาทตามตั๋วแลกเงินของโจทก์ที่จำเลยที่ 2 เอาไป ซึ่งเป็นความเสียหายโดยตรงจากการละเมิดของจำเลยที่ 2 กรมไปรษณีย์โทรเลขจำเลยที่ 3 จึงต้องร่วมกับจำเลยที่ 2 ชดใช้ราคาทรัพย์จำนวนดังกล่าวให้โจทก์ (ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 9/2518)

« »
ติดต่อเราทาง LINE