คำพิพากษาศาลฎีกา ปี 2518

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1263

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1263/2518

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 1381

สามีภริยาไม่จดทะเบียน สามีรับมรดกที่ดิน ภริยาไม่มีสิทธิร่วมด้วย และถือว่าอาศัยสิทธิของสามีอยู่ในที่ดินจนสามีตาย ต่อมาภริยารื้อเรือนเดิมปลูกขึ้นใหม่ในรั้วเดียวกันโดยไม่ขออนุญาตทายาทอื่น แต่มิได้โต้แย้งสิทธิกับทายาทหรือครอบครองมีเขตเป็นส่วนสัด ทายาทอื่นเสียภาษีบำรุงท้องที่แต่ผู้เดียว ไม่เป็นการที่ภริยาครอบครองปรปักษ์ เจ้าหนี้ของภริยายึดที่พิพาทบังคับคดีไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1262

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1261 - 1262/2518

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 653 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 55, 94

ฟ้องเรียกที่นาพิพาทของโจทก์ที่มอบให้ฝ่ายจำเลยทำกินต่างดอกเบี้ยเงินกู้คืนโดยขอชำระเงินที่กู้ยืมจากฝ่ายจำเลยไป มิใช่การฟ้องร้องบังคับคดีในเรื่องการกู้เงินตามความหมายในมาตรา 653 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ดังนั้น แม้มิได้ทำหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญ โจทก์ก็มีอำนาจฟ้อง และโจทก์มีสิทธินำสืบพยานบุคคลในเรื่องการกู้ยืมเงินเพื่อประกอบข้ออ้างของโจทก์ว่าเหตุใดโจทก์จึงมอบที่นาพิพาทให้ฝ่ายจำเลยทำกินได้ เพราะกรณีมอบที่นาให้ทำกินต่างดอกเบี้ยเงินกู้ไม่มีกฎหมายบังคับว่าต้องมีพยานเอกสารมาแสดงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1235

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1235/2518

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 1167 ประมวลรัษฎากร

กรรมการบริษัทลงลายมือชื่อในสัญญาจ้างทำของโดยมิได้ประทับตราของบริษัทตามข้อบังคับ แต่ได้ปฏิบัติตามสัญญาตลอดมา สัญญานั้นผูกพันบริษัท ถึงแม้จะมิได้ปิดอากรแสตมป์เพราะสัญญาจ้างทำของไม่ต้องทำเป็นหนังสือดุจสัญญาเช่าซื้อ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1204

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1204/2518

ประมวลกฎหมายอาญา ม. 287 (1) พระราชบัญญัติปรามการทำให้แพร่หลายและการค้าวัตถุอันลามก พ.ศ.2471 ม. 3 พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ.2499 ม. 19 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 213

คดีที่โจทก์ฟ้องด้วยวาจา พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงฯ พ.ศ.2499 มาตรา 19 ให้ศาลบันทึกใจความแห่งคำฟ้องไว้เป็นหลักฐานเท่านั้น หาจำต้องบันทึกคำฟ้องโดยละเอียดดังเช่นการฟ้องเป็นหนังสือไม่ และก่อนบันทึกคำฟ้อง ศาลอาจจะสอบถามโจทก์เกี่ยวกับการกระทำและข้อเท็จจริงต่างๆที่อ้างว่าจำเลยกระทำผิดแล้วบันทึกไว้แต่เฉพาะใจความของคำฟ้องที่สำคัญ

การที่ศาลบันทึกคำฟ้องด้วยวาจาของโจทก์ว่า จำเลยได้ร่วมกันเป็นเจ้าของและจัดให้มีการฉายภาพยนตร์ลามกอนาจารโดยผิดกฎหมายนั้น ย่อมแสดงอยู่ในตัวว่าจำเลยได้ร่วมกันทำให้แพร่หลายซึ่งภาพยนตร์ที่ลามกอันเป็นการผิดกฎหมายกล่าวคือกระทำเพื่อการแสดงอวดแก่สาธารณชนหรือแก่ประชาชน เป็นใจความคำฟ้องที่ครบองค์ประกอบความผิดตามพระราชบัญญัติปรามการทำให้แพร่หลายและการค้าวัตถุอันลามก พ.ศ.2471 มาตรา 3 และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 287(1) แล้ว

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยทั้งหมดมีความผิดตามพระราชบัญญัติปรามการทำให้แพร่หลายและการค้าวัตถุอันลามกและประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 287 และลงโทษจำคุกจำเลย จำเลยบางคนอุทธรณ์ขอให้รอการลงโทษ ศาลอุทธรณ์เห็นว่าฟ้องโจทก์มิได้บรรยายให้ครบองค์ประกอบความผิด พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์ฎีกา ศาลฎีกาเห็นว่าใจความแห่งคำฟ้องครบองค์ประกอบความผิดแล้ว และเห็นสมควรวินิจฉัยปัญหาเรื่องการลดหย่อนผ่อนโทษไปเสียทีเดียว โดยเห็นว่าคดีนี้โจทก์มิได้ฟ้องว่าจำเลยกระทำเพื่อความประสงค์แห่งการค้าหรือโดยการค้าประการใด และสภาพแห่งความผิดของจำเลยมีเหตุอันควรรอการลงโทษให้จำเลยได้ ดังนี้ ถือว่าเหตุในการรอการลงโทษนี้เป็นเหตุในลักษณะคดี ศาลฎีกาย่อมพิพากษาให้รอการลงโทษตลอดไปถึงจำเลยที่มิได้อุทธรณ์ด้วยได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 295

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 295/2518

พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 ม. 94 (2)

คดีได้ความว่า เมื่อลูกหนี้กู้ครั้งแรก จำนวนเงิน 21,000 บาท นั้นลูกหนี้ได้ออกเช็คฉบับหนึ่งให้ไว้อีกด้วยต่อมาเช็คฉบับนั้นขึ้นเงินไม่ได้ เจ้าหนี้จึงคืนเช็คนั้นให้แก่ลูกหนี้ไปโดยมิได้รับชำระหนี้เลยต่อมาอีกประมาณ 1 ปีเศษ ลูกหนี้ที่ 2 ได้ขอกู้เงินเพิ่มอีก 19,000 บาท เจ้าหนี้ก็ให้กู้ไป ต่อมากู้อีก15,000 บาท เจ้าหนี้ให้กู้ไปอีก ซึ่งลูกหนี้ก็ออกเช็คให้ไว้ทั้งสองคราวโดยไม่ลงวันที่ จะออกเช็คเมื่อไรและกู้กันเมื่อไร เจ้าหนี้ก็จำวันไม่ได้ ทั้งๆ ที่เงินกู้ครั้งแรกยังไม่ได้รับชำระนอกจากนี้ยังมีเจ้าหนี้อื่นอีกมากมายซึ่งลูกหนี้ไม่สามารถชำระหนี้ได้ จนถูกฟ้องเป็นบุคคลล้มละลายพฤติการณ์แสดงว่าที่เจ้าหนี้ให้ลูกหนี้กู้ยืมเงิน 2 คราวหลังนี้ เจ้าหนี้ยอมให้ลูกหนี้กระทำขึ้นเมื่อเจ้าหนี้ได้รู้ถึงการที่ลูกหนี้มีหนี้สินล้นพ้นตัวแล้วเจ้าหนี้จึงไม่มีสิทธิขอรับชำระหนี้จำนวนเงิน 34,000 บาทนี้ได้ ตามมาตรา 94(2) แห่งพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ.2483

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 280

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 280/2518

พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2477

จำเลยขับรถยนต์บรรทุกหินประมาณ 70 ไมล์ต่อชั่วโมง ผ่านทางแยกซึ่งมีคนพลุกพล่านและแซงรถยนต์บรรทุกซึ่งจอดริมถนนห่างทางแยกประมาณ 5 วา เป็นการขับรถโดยความประมาทแม้จะปรากฏว่ารถยนต์โฟล์สวาเกนวิ่งล้ำเข้ามาเฉี่ยวชนรถจำเลยในเส้นทางของรถจำเลยก็ไม่ทำให้จำเลยพ้นผิดไปได้ความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก(ฉบับที่ 4) พ.ศ.2508 มาตรา 7 ไม่จำต้องเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1260

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1260/2518

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 130 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 686

รายงานผู้เชี่ยวชาญพิสูจน์ลายมือชื่อในเอกสาร รับฟังได้โดยไม่ต้องให้ผู้ตรวจเบิกความประกอบ

ลูกหนี้อยู่ที่ซอย 22 สุขุมวิท บ้านเลขที่เท่าใดจำเลยจำไม่ได้โจทก์ตามหาไม่พบ ถือได้ว่าลูกหนี้หลบหนีหาตัวไม่ได้ ซึ่งฟ้องผู้ประกันได้ตามสัญญา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1256

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1256/2518

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 194 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 231, 275, 278, 295

เงินที่จำเลยยินยอมให้โจทก์หักไว้เป็นเงินเพื่อเป็นประกันหนี้โจทก์ตามฟ้อง หาใช่เป็นการชำระหนี้แก่โจทก์ตามที่โจทก์ฟ้องจำเลยไม่ เมื่อโจทก์นำเงินดังกล่าวชำระหนี้ตามคำพิพากษาแล้ว แต่ไม่พอชำระ โจทก์ย่อมมีสิทธิที่จะขอให้ศาลออกหมายบังคับคดียึดทรัพย์ของจำเลยเพื่อขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้ตามคำพิพากษาจนครบได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1255

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1255/2518

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 6, 420 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 84, 284 วรรคสอง

โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยรับผิดใช้ค่าเสียหายในมูลละเมิด อ้างว่าจำเลยทราบดีอยู่แล้วว่าน. ได้โอนที่ดินและบ้านให้แก่โจทก์ แต่จำเลยได้นำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดบ้านดังกล่าวขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้ให้จำเลยซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาในคดีอีกเรื่องหนึ่ง แต่โจทก์นำสืบพยานหลักฐานรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยได้รู้เรื่องที่ น. ได้โอนที่ดินและบ้านให้โจทก์ตั้งแต่ก่อนนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดบ้านดังฟ้อง ข้อเท็จจริงกลับได้ความว่าเมื่อ น.ได้จำนองที่ดินไว้กับโจทก์แล้ว น. ได้ปลูกบ้านในที่ดินที่จำนองสองครั้ง เป็นบ้านสองหลังแฝดติดกัน น. อยู่ที่บ้านหลังซึ่งได้ปลูกก่อนที่โจทก์อ้างว่าได้โอนให้ตนแล้ว และเมื่อโจทก์ฟ้องคดีเรื่องนี้แล้ว น. ยังเป็นเจ้าของบ้านอีกหลังหนึ่งซึ่งได้ปลูกภายหลัง เช่นนี้เห็นได้ว่า ย่อมทำให้จำเลยเข้าใจว่าบ้านสองหลังแฝดนั้นยังเป็นของ น. จึงได้นำยึดบ้านโดยสุจริตใจ การกระทำของจำเลยเป็นการใช้สิทธิทางศาลโดยสุจริต ไม่เป็นละเมิดต่อโจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1246

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1246/2518

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 248

คดีมีทุนทรัพย์ในศาลชั้นต้น 22,725 บาท ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้เงินแก่โจทก์ 15,300 บาท กับดอกเบี้ยศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกาในข้อเท็จจริงได้ว่าศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยใช้เงินเกินไป 3,605 บาท

« »
ติดต่อเราทาง LINE