คำพิพากษาศาลฎีกา ปี 2518
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1382/2518
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 163, 424, 448
การที่รถที่จำเลยที่ 1 ลูกจ้างจำเลยที่ 2 ขับชนกับรถผู้อื่นก่อน แล้วแฉลบไปชนบุตรสาวโจทก์ถึงแก่ความตายนั้น โจทก์ย่อมรู้แล้วว่า ผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนต้องเป็นจำเลยที่ 1 หรือผู้ขับรถคันอื่นนั้นคนใดคนหนึ่งหรือทั้งสองคน โดยไม่จำต้องรอฟังชี้ขาดของศาลว่าฝ่ายใดเป็นผู้กระทำผิดเสียก่อน เมื่อคดีฟังได้ว่าโจทก์ผู้ต้องเสียหายรู้ถึงการละเมิด และรู้ว่าจำเลยที่ 2 เป็นนายจ้างของจำเลยที่ 1 ในวันที่ 19 พฤษภาคม 2513 อันเป็นวันเกิดเหตุนั้นเอง อายุความเฉพาะตัวจำเลยที่ 2ต้องเริ่มนับแต่วันนั้น นับถึงวันฟ้องเกิน 1 ปีคดีโจทก์เกี่ยวกับจำเลยที่ 2 จึงขาดอายุความ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1266/2518
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 218, 219, 368
จำเลยได้ซื้อเครื่องปรับอากาศ 6 เครื่องจากโจทก์ในราคาซึ่งไม่รวมภาษีขาเข้า โดยมีข้อตกลงกันว่า จำเลยซึ่งได้รับบัตรส่งเสริมการลงทุนเพื่อกิจการอุตสาหกรรมและมีสิทธิได้รับยกเว้นอากรขาเข้า ภาษีการค้าและอื่นๆ ตกลงให้โจทก์สั่งเครื่องปรับอากาศในนามของจำเลยเพื่อชดใช้แทนเครื่องปรับอากาศ 6 เครื่องที่รับไปจากโจทก์ เมื่อสินค้าที่สั่งมาถึงจำเลยจะเป็นผู้ดำเนินเรื่องเกี่ยวกับการยกเว้นภาษีให้แก่โจทก์จนกว่าจะแล้วเสร็จ โจทก์ได้ตรวจดูบัตรส่งเสริมการลงทุนฯ ของจำเลยแล้ว ปรากฏว่ามีเวลาสั่งซื้อสินค้าทันกำหนดเวลาในบัตรส่งเสริมการลงทุนฯ ดังนี้ ตามข้อตกลงดังกล่าวมีความหมายว่า โจทก์จะต้องสั่งเครื่องปรับอากาศเข้ามาให้ทันระยะเวลาที่กำหนดไว้ในบัตรส่งเสริมการลงทุนฯ ซึ่งโจทก์ทราบดีอยู่แล้วว่าจะหมดอายุเมื่อใด การที่โจทก์สั่งสินค้าล่าช้าเป็นเหตุให้สินค้ามาถึงประเทศไทยเลยกำหนดระยะเวลาในบัตรส่งเสริมการลงทุนฯจำเลยจึงติดต่อขอยกเว้นเงินอากรขาเข้า และภาษีการค้าไม่สำเร็จ จึงเป็นความผิดของโจทก์เอง จำเลยไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ในค่าอากรขาเข้า ภาษีการค้า ภาษีเทศบาลและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่โจทก์ต้องเสียไปเพื่อนำเครื่องปรับอากาศออกมา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1403/2518
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 900
ผู้สั่งจ่ายออกเช็คซึ่งไม่ลงวัน แต่ด้วยเจตนาให้ผู้ทรงจดวันลงในเช็คเองเมื่อต้องการเบิกเงินจากธนาคาร แม้ผู้ทรงกรอกวันลงหลังจากที่ผู้สั่งจ่ายออกเช็คเป็นเวลา 2 ปี ก็ไม่ขาดอายุความ 1 ปี ตามมาตรา 1002
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1402/2518
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 57
หุ้นส่วนจำกัดความรับผิดไม่ใช่ผู้มีส่วนได้เสียโดยตรง ในคดีที่ห้างหุ้นส่วนถูกฟ้องให้ใช้หนี้ตามตั๋วเงิน จึงร้องสอดเข้าเป็นจำเลยร่วมไม่ได้ เมื่อศาลสั่งยกคำร้องสอด และเพิกถอนคำสั่งที่รับเข้าเป็นจำเลยร่วมของผู้ร้องบางคนไว้แล้ว ผู้ร้องอุทธรณ์ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1384/2518
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 86, 87, 142, 183, 226, 249 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 821, 908
โจทก์ฟ้องห้างหุ้นส่วนจำกัดจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการว่า จำเลยทั้งสองนำตั๋วแลกเงินของ อ. มาขายลดให้โจทก์ โดยตกลงว่าถ้าโจทก์เรียกเก็บเงินไม่ได้ จำเลยยอมชำระเงินตามตั๋วคืนให้โจทก์ โจทก์เรียกเก็บเงินไม่ได้ จึงขอให้จำเลยร่วมกันชำระหนี้ เมื่อจำเลยให้การว่า อ. เป็นผู้ขายตั๋วแลกเงินให้โจทก์ จำเลยที่ 1 เป็นเพียงผู้ค้ำประกัน ดังนี้การที่ศาลล่างฟังว่าจำเลยที่ 2 เชิด ซ. เป็นตัวแทนของห้างจำเลยที่ 1 นำตั๋วแลกเงินไปขายลดแก่โจทก์ก็ดี และที่ศาลอุทธรณ์ฟังว่า ซ. ลงชื่อเป็นผู้ค้ำประกันเป็นวิธีปฏิบัติของโจทก์ซึ่งเป็นธนาคาร ในกรณีที่จำเลยผู้เป็นลูกค้าเอาตั๋วแลกเงินของผู้อื่นมาขายลดให้ก็ดี เป็นอำนาจของศาลในการที่จะวินิจฉัยและเชื่อฟังพยานที่คู่ความนำสืบเพียงใด ไม่เป็นการฟังพยานไม่ชอบหรือนอกประเด็น
จำเลยฎีกาว่า คดีของโจทก์ขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 165(1) และโจทก์ไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้น แต่ข้อที่จำเลยฎีกาทั้งสองประการนี้ ศาลชั้นต้นมิได้กำหนดเป็นประเด็นไว้ จำเลยก็ไม่โต้แย้งคัดค้าน ทั้งไม่ยกขึ้นว่ากล่าวในชั้นอุทธรณ์ ศาลฎีกาย่อมไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1396/2518
พระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติบรรพ 5 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พ.ศ.2477 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 177 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 1660, 1636
ภริยา 2 คนก่อนบรรพ 5 ซึ่งสามียกย่องเป็นภรรยาเสมอเท่าเทียมกัน ไม่ยกใครเป็นภรรยาหลวง ทั้ง 2 คนมีส่วนได้ทรัพย์สินบริคณห์และมรดกในฐานะภริยาเท่ากัน คือคนละครึ่งในหนึ่งในสามของสินสมรสซึ่งเป็นส่วนของภริยา
พินัยกรรมที่ผู้ทำพินัยกรรมลงลายมือชื่อบรรจุซอง ผู้ทำพินัยกรรมลงชื่อตามรอยผนึก กรมการอำเภอจดข้อความที่ซองยืนยันและลงลายมือชื่อรับรองประทับตราประจำตำแหน่งมีพยานลงลายมือชื่อรับรอง 2 คน ทั้งระบุชื่อและที่อยู่ผู้พิมพ์พินัยกรรม ดังนี้เป็นพินัยกรรมลับ ตามมาตรา 1660
ข้อต่อสู้ว่าฟ้องเคลือบคลุม ซึ่งไม่กล่าวว่าเคลือบคลุมตรงไหนอย่างไร ไม่แสดงเหตุผลโดยชัดแจ้ง คำให้การนี้ไม่ชอบด้วย ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรค 2 ศาลไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1395/2518
ประมวลกฎหมายอาญา ม. 290
จำเลยตี ถ.มีแผลเล็กน้อย.แต่ถ.สลบจำเลยเข้าใจว่าถ. ตาย จึงเอาผ้าขาวม้าของ ถ.ผูกคอถ.แขวนกับต้นไม้เป็นเหตุให้ถ. ตาย จำเลยมีความผิดตามมาตรา 290
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1394/2518
ประมวลกฎหมายอาญา ม. 315
รับเงินจากผู้เสียหายไปให้คนร้ายเป็นค่าไถ่โดยมีส่วนได้เสียร่วมกับคนร้าย ไม่ใช่ช่วยเหลือผู้เสียหายโดยสุจริต เป็นความผิดตามมาตรา 315
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1386/2518
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 109, 1754
จำเลยปลูกเรือนในที่ดินของ ค.แล้วรื้อเรือนเดิมของค. พากันมาอยู่ที่เรือนใหม่นี้ ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้รับสิทธิหรืออำนาจที่จะปลูกบ้านนี้ เรือนเป็นส่วนควบของที่ดิน ไม่เข้ามาตรา 109 ค. ตาย ทายาทยกที่ดินตีใช้หนี้แก่โจทก์เจ้าหนี้ของ ค. แล้วอาศัยอยู่ในเรือนต่อมาโจทก์ฟ้องขับไล่ได้แม้เกิน 1 ปี ไม่ใช่เรียกหนี้มรดก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1333/2518
ประมวลรัษฎากร ม. 135, 140, 140 ทวิ, 141 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 820, 823
โจทก์ทำหนังสือมอบอำนาจให้ พ. ไปติดต่อกับพนักงานเจ้าหน้าที่ก.ต.ภ.มีใจความว่าขอมอบอำนาจให้พ. มาทำการติดต่อกับพนักงานเจ้าหน้าที่เกี่ยวกับเรื่องโรงภาพยนตร์ของโจทก์ ตลอดจนมีอำนาจรับทราบคำสั่งรับทราบกำหนดนัดและให้ถ้อยคำจนเสร็จการ ดังนี้ ถ้อยคำของ พ. ที่ให้ไว้ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ก.ต.ภ.ว่า ความจริงเป็นดังที่พนักงานเจ้าหน้าที่ก.ต.ภ.ตรวจพบ และขอรับผิดตามข้อกล่าวหาทุกประการ ย่อมถือว่าอยู่ในขอบเขตอำนาจที่ได้รับมอบหมาย เพราะเป็นถ้อยคำเกี่ยวกับโรงภาพยนตร์ของโจทก์ หาเป็นการนอกเหนืออำนาจที่รับมอบไม่ โจทก์ย่อมถูกผูกพันให้ต้องรับผิดตามถ้อยคำนั้น