สัญญาซื้อขายที่ดินดังกล่าวจะมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมายหรือไม่ อย่างไร
โดยปกติแล้วหากผู้เยาว์ (ผู้ที่มีอายุไม่ถึง 20 ปีบริบูรณ์) จะทำสัญญาอะไรก็แล้วแต่ จะต้องขอความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรม (พ่อแม่) ก่อน มิฉะนั้น สัญญาดังกล่าวอาจตกเป็นโมฆียะได้ กล่าวคือ พ่อแม่สามามารถบอกล้างสัญญาที่ผู้เยาว์ทำได้ในฐานะผู้แทนโดยชอบธรรมตามกฎหมาย นอกเสียจากว่าสัญญาที่ผู้เยาว์ทำนั้นจะเข้าข้อยกเว้นของกฎหมายที่ผู้เยาว์สามารถทำได้เองโดยลำพัง โดยไม่ต้องขอความยินยอมจากพ่อแม่ก่อน อย่างไรก็ดี หากเป็นกรณีที่ผู้เยาว์ต้องการขายที่ดินของตนเอง โดยได้ขอความยินยอมจากพ่อแม่แล้ว และพ่อแม่ก็อนุญาตให้ขายที่ดินดังกล่าวได้ มีประเด็นที่น่าสงสัยว่า
'ทำไมการทำสัญญา ต้องทำเป็นหนังสือ? มีความสำคัญอย่างไร อ่านบทความได้ที่นี่ คลิก!'
กฎหมายเกี่ยวกับการทำนิติกรรม
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1574 (1) วางหลักไว้ว่า
“นิติกรรมใดอันเกี่ยวกับทรัพย์สินของผู้เยาว์ดังต่อไปนี้ ผู้ใช้อำนาจปกครองจะกระทำมิได้ เว้นแต่ศาลจะอนุญาต (1) ขาย แลกเปลี่ยน ขายฝาก ให้เช่าซื้อ จำนอง ปลดจำนอง หรือโอนสิทธิจำนอง ซึ่งอสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์ที่อาจจำนองได้”
ดังนั้น เมื่อพิจารณาตามกฎหมายดังกล่าว พ่อแม่จึงไม่สามารถขายที่ดินของบุตรผู้เยาว์ได้เองโดยลำพัง โดยจะต้องได้รับอนุญาตจากศาลเท่านั้น พูดง่าย ๆ คือ หากพ่อแม่จะขายที่ดินของลูก ก็ต้องไปขอศาลก่อนเท่านั้น ซึ่งศาลจะอนุญาตหรือไม่อนุญาตก็ได้ โดยศาลจะใช้ดุลพินิจพิจารณาเป็นรายกรณีไป
'นิติกรรมคืออะไร หาคำตอบได้ที่นี่ คลิกเลย!'
นอกจากเรื่องขายที่ดินแล้ว
ยังมีนิติกรรมสัญญาที่เกี่ยวกับทรัพย์สินของผู้เยาว์อื่น ๆ อีกรวม 13 ประการ ที่พ่อแม่จะต้องขอศาลก่อนทำสัญญา ดังนี้
'คลิกที่นี่ เพื่ออ่านบทความเรื่องการจัดการทรัพย์สินของบุตรผู้เยาว์ ทำอย่างไรให้ถูกต้องตามกฎหมาย'
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1574 นิติกรรมใดอันเกี่ยวกับทรัพย์สินของผู้เยาว์ดังต่อไปนี้ ผู้ใช้อำนาจปกครองจะกระทำมิได้ เว้นแต่ศาลจะอนุญาต
(1) ขาย แลกเปลี่ยน ขายฝาก ให้เช่าซื้อ จำนอง ปลดจำนอง หรือ โอนสิทธิจำนอง ซึ่งอสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์ที่อาจจำนองได้
(2) กระทำให้สุดสิ้นลงทั้งหมดหรือบางส่วนซึ่งทรัพยสิทธิของผู้เยาว์ อันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์
(3) ก่อตั้งภาระจำยอม สิทธิอาศัย สิทธิเหนือพื้นดิน สิทธิเก็บกิน ภาระติดพันในอสังหาริมทรัพย์ หรือทรัพยสิทธิอื่นใดในอสังหาริมทรัพย์
(4) จำหน่ายไปทั้งหมดหรือบางส่วนซึ่งสิทธิเรียกร้องที่จะให้ได้มา ซึ่งทรัพยสิทธิในอสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์ที่อาจจำนองได้ หรือสิทธิเรียกร้องที่จะให้ทรัพย์สินเช่นว่านั้นของผู้เยาว์ปลอดจาก ทรัพยสิทธิที่มีอยู่เหนือทรัพย์สินนั้น
(5) ให้เช่าอสังหาริมทรัพย์เกิน 3 ปี
(6) ก่อข้อผูกพันใด ๆ ที่มุ่งให้เกิดผลตาม (1) (2) หรือ (3)
(7) ให้กู้ยืมเงิน
(8) ให้โดยเสน่หา เว้นแต่จะเอาเงินได้ของผู้เยาว์ให้แทนผู้เยาว์เพื่อ การกุศลสาธารณะ เพื่อการสังคม หรือตามหน้าที่ธรรมจรรยา ทั้งนี้ พอสมควรแก่ฐานานุรูปของผู้เยาว์
(9) รับการให้โดยเสน่หาที่มีเงื่อนไขหรือค่าภาระติดพัน หรือไม่ รับการให้โดยเสน่หา
(10) ประกันโดยประการใด ๆ อันอาจมีผลให้ผู้เยาว์ต้องถูกบังคับ ชำระหนี้ หรือทำนิติกรรมอื่นที่มีผลให้ผู้เยาว์ต้องรับเป็นผู้รับชำระหนี้ ของบุคคลอื่นหรือแทนบุคคลอื่น
(11) นำทรัพย์สินไปแสวงหาผลประโยชน์นอกจากในกรณีที่ บัญญัติไว้ใน มาตรา 1598/4 (1) (2) หรือ (3)
(12) ประนีประนอมยอมความ
(13) มอบข้อพิพาทให้อนุญาโตตุลาการวินิจฉัย
'กำลังหนักใจเกี่ยวกับทรัพย์สินของลูกอยู่ใช่ไหม? ทนายจากLegardyมีทางออกให้คุณ เริ่มปรึกษาเลย คลิก!'
ดังนั้น เมื่อพ่อแม่จะทำสัญญาที่เกี่ยวกับทรัพย์สินของบุตร จะต้องพิจารณาด้วยว่าเป็นนิติกรรมตามมาตรา 1574 หรือไม่ หากใช่ก็จะต้องขอศาลก่อนทำสัญญาด้วย ไม่เช่นนั้นสัญญาดังกล่าวก็จะไม่มีผลผูกพันตามกฎหมายครับ
ปรึกษาทนายตัวจริง
สอบถามได้ทุกเรื่องราวทางกฎหมาย
"โดนโกง โดนประจาน" ปรึกษาได้ในคลิกเดียว
สมัครเป็นทนายออนไลน์
แพล็ทฟอร์มรวบรวม
งานกฎหมายจากทั่วประเทศ



