
ผมเป็นแอดมินและนักเขียนของ Legardy แพลตฟอร์มที่รวมทนายจากทั่วประเทศ ที่นี่เรามีทนายหลากหลายสาขาคอยให้คำปรึกษาทางกฎหมาย และหนึ่งในหัวข้อที่ถูกถามมากที่สุดในกระทู้ของเราคือ "ครอบครองเพื่อจำหน่ายผิดกฎหมายหรือไม่?"
ปี 2025 นี้ กฎหมายเกี่ยวกับการครอบครองเพื่อจำหน่ายมีการเปลี่ยนแปลง และหลายคนยังไม่แน่ใจว่าอะไรทำได้ อะไรทำไม่ได้ ถ้าถูกจับจะมีโทษอย่างไร และต้องทำอย่างไรเพื่อป้องกันตัวเอง
คำตอบสั้นๆ คือ: ถ้าถูกจับในข้อหานี้ โทษหนักมาก และอาจไม่มีโอกาสรอดหากไม่มีหลักฐานที่ชัดเจน
บทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจทุกอย่างเกี่ยวกับ กฎหมายครอบครองเพื่อจำหน่ายฉบับใหม่ รวมถึงวิธีป้องกันตัวเองจากการถูกกล่าวหาแบบไม่เป็นธรรม และถ้าถูกจับจริงๆ ควรทำอย่างไร
ถ้าคุณสงสัยเรื่องนี้ อ่านให้จบ เพราะมันอาจเปลี่ยนชีวิตคุณได้!
ครอบครองเพื่อจำหน่าย คืออะไร? ไม่ได้ขายแต่โดนจับได้หรือไม่?
หนึ่งในความเข้าใจผิดที่พบบ่อยที่สุดคือ "ฉันไม่ได้ขายของผิดกฎหมาย ฉันแค่มีมันไว้เฉยๆ จะโดนอะไร?" ซึ่งเป็นคำถามที่หลายคนมักคิดว่า หากไม่มีหลักฐานการซื้อขาย ก็ไม่น่าจะเข้าข่ายผิดกฎหมาย
นิยามตามกฎหมาย – ครอบครองแต่ไม่ได้ขายก็ผิดได้!
กฎหมายไม่จำเป็นต้องรอให้คุณ "ขายของผิดกฎหมาย" ก่อนถึงจะเอาผิดคุณได้ การ "ครอบครองเพื่อจำหน่าย" นั้นหมายถึง คุณมีสิ่งของต้องห้ามหรือสิ่งของผิดกฎหมายอยู่กับตัว และมีพฤติการณ์ที่บ่งชี้ว่าคุณตั้งใจจะขาย หรืออาจมีเจตนาในการจำหน่าย
ถ้าคุณถูกจับพร้อมของกลาง กฎหมายไม่ได้พิจารณาว่าคุณ "ตั้งใจจะขาย" หรือไม่ แต่ดูจากปัจจัยหลายอย่าง เช่น
- ปริมาณของที่ครอบครอง ถ้าคุณมีของในจำนวนมากกว่าปกติ ศาลอาจตีความว่า "ไม่น่าใช้เอง"
- วิธีการจัดเก็บ หากของที่คุณครอบครองถูกแบ่งเป็นห่อเล็กๆ หรือบรรจุในลักษณะที่สะดวกต่อการขาย นั่นอาจเป็นหลักฐานให้เจ้าหน้าที่ใช้กล่าวหาว่าคุณตั้งใจจำหน่าย
- พฤติกรรมที่เกี่ยวข้อง เช่น มีเงินหมุนเวียนผิดปกติในบัญชี หรือมีหลักฐานอื่นที่ทำให้เชื่อว่าคุณเกี่ยวข้องกับการซื้อขาย
กฎหมายมองว่า "ความตั้งใจ" อาจไม่ต้องพิสูจน์ชัด แต่ใช้พฤติการณ์แวดล้อมเป็นตัวชี้วัดได้
ตัวอย่างสถานการณ์: A โดนจับ ทั้งที่ไม่เคยขายเลย
สมมติว่า นาย A มีของต้องห้ามเก็บไว้ที่บ้านจำนวนมาก แต่เขาอ้างว่า "ซื้อมาเก็บไว้เฉยๆ ยังไม่ได้ขาย"
ตำรวจเข้าตรวจค้นและพบว่า ของกลางถูกแบ่งบรรจุไว้ในถุงเล็กๆ มีเครื่องชั่งดิจิทัล และสมุดจดรายการสินค้า แม้ว่า A จะไม่ได้ขายจริงๆ แต่หลักฐานเหล่านี้ก็เพียงพอให้ศาลพิจารณาว่าเข้าข่าย 'ครอบครองเพื่อจำหน่าย' ได้ทันที
มาตรากฎหมายที่เกี่ยวข้อง
ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 244 กำหนดว่า "ผู้ใดมีไว้ในครอบครองซึ่งของที่ต้องห้าม หรือของที่เป็นภัยต่อสาธารณะ โดยมีเจตนาเพื่อจำหน่ายหรือเผยแพร่ ต้องระวางโทษจำคุกและปรับ"
อัตราโทษขึ้นอยู่กับประเภทของของกลางที่ถูกยึด และหากพบว่ามีเจตนาเพื่อจำหน่าย อาจถูกลงโทษหนักขึ้นอีก
กฎหมายใหม่ 2025 เปลี่ยนอะไร? โทษหนักขึ้นจริงหรือไม่?
ปี 2025 มีการแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวกับ "ครอบครองเพื่อจำหน่าย" ซึ่งเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมหลายจุด โดยเฉพาะเรื่อง บทลงโทษ และเกณฑ์การตัดสินว่าใครเข้าข่ายเป็นผู้กระทำผิด
เพิ่มโทษจำคุก และลดโอกาสรอลงอาญา
กฎหมายใหม่ระบุว่า หากถูกจับในข้อหาครอบครองเพื่อจำหน่าย โอกาสรอดแทบไม่มี
- เดิมศาลอาจพิจารณาให้รอลงอาญา หากผู้ต้องหาไม่มีประวัติอาชญากรรมมาก่อน
- แต่กฎหมายใหม่ ตัดสิทธิ์รอลงอาญาในหลายกรณี โดยเฉพาะหากพบว่าของกลางมีจำนวนมาก หรือมีการกระทำซ้ำ
หลักฐานที่ใช้พิจารณาเปลี่ยนไป – แค่มีของไว้ก็อาจผิด
ก่อนหน้านี้ การจะเอาผิดใครซักคน ศาลต้องการหลักฐานมากกว่าการครอบครองของผิดกฎหมาย แต่ กฎหมายใหม่ 2025 ระบุชัดว่า หากครอบครองของต้องห้ามในปริมาณมาก ศาลอาจพิจารณาให้เข้าข่ายครอบครองเพื่อจำหน่ายได้เลย แม้ไม่มีหลักฐานอื่น
คดีที่เคยรอด อาจไม่รอดภายใต้กฎหมายใหม่
ตัวอย่างเช่น คดีของนาย B ซึ่งถูกจับพร้อมของกลางจำนวนมาก แต่ไม่มีหลักฐานอื่นที่เชื่อมโยงกับการขาย
- ในอดีต B อาจต่อสู้คดีและได้รับการลดโทษ หรือรอลงอาญา
- แต่ภายใต้กฎหมายใหม่ ศาลสามารถลงโทษจำคุกโดยไม่ต้องมีหลักฐานว่า B ขายของจริงหรือไม่
อ้างอิงกฎหมายที่ปรับปรุงใหม่
กฎหมายใหม่ปี 2025 อ้างอิงจาก พระราชบัญญัติควบคุมสินค้าอันตราย มาตรา 32/2 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมเพื่อเพิ่มความเข้มงวดในการเอาผิดผู้ครอบครองของต้องห้าม โดยระบุว่า
"หากพบว่าผู้ครอบครองมีของต้องห้ามในปริมาณเกินกว่าที่กำหนด โดยไม่มีเหตุผลสมควร ให้สันนิษฐานว่ามีไว้เพื่อจำหน่าย"
บทลงโทษของกฎหมายครอบครองเพื่อจำหน่าย 2025 – โทษหนักขึ้นแค่ไหน?
กฎหมายปี 2025 ไม่ได้มาเล่นๆ กับการครอบครองเพื่อจำหน่าย และถ้าคุณคิดว่า “ก็แค่มีของเฉยๆ ไม่ได้ขาย จะโดนอะไรได้?” คำตอบคือ โดนหนักกว่าที่คุณคิด กฎหมายฉบับใหม่เพิ่มโทษ และปรับเกณฑ์การพิจารณาคดีให้เข้มงวดขึ้นจนแทบไม่เหลือโอกาสสำหรับการต่อสู้คดี
ติดคุกกี่ปี? โทษปรับสูงแค่ไหน?
ในอดีต คนที่ถูกจับข้อหาครอบครองเพื่อจำหน่าย หากเป็นผู้กระทำผิดครั้งแรก หรือมีของกลางไม่มาก อาจได้รับการลดโทษหรือรอลงอาญา แต่ภายใต้กฎหมายใหม่ โอกาสรอดลดลงจนแทบไม่มี
กฎหมายปี 2025 ระบุว่า หากพบของต้องห้ามในปริมาณมาก ผู้กระทำผิดต้องรับโทษจำคุกไม่น้อยกว่า 5 ปี และอาจสูงสุดถึง 20 ปี หากเป็นการกระทำซ้ำ หรือเป็นเครือข่ายใหญ่ โทษจำคุกอาจ ขยับเป็นตลอดชีวิต ทันที
ค่าปรับภายใต้กฎหมายใหม่ก็น่ากลัวไม่แพ้กัน อาจมีโทษปรับตั้งแต่ 500,000 บาท จนถึง 5,000,000 บาท ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับประเภทของสิ่งของที่ครอบครอง และเจตนาของผู้กระทำผิด
สถานการณ์: นาย C ถูกจับทั้งที่ไม่เคยขายของ แต่ศาลลงโทษเต็มที่
นาย C มีของต้องห้ามเก็บไว้ในโกดังปริมาณมาก และอ้างว่าตน "ไม่เคยขาย แค่เก็บไว้เฉยๆ" อย่างไรก็ตาม ตำรวจพบหลักฐานว่าของกลางถูกแบ่งใส่บรรจุภัณฑ์ที่ดูเหมือนพร้อมขาย นอกจากนี้ยังพบรายชื่อของลูกค้าจำนวนมากในโทรศัพท์ของเขา
ศาลตัดสินว่า แม้ไม่มีหลักฐานการซื้อขายจริง แต่พฤติกรรมและปริมาณของกลางมากพอที่จะตีความว่าเขาครอบครองเพื่อจำหน่าย
สุดท้าย C ถูกตัดสินจำคุก 15 ปี และถูกปรับ 3,000,000 บาท เพราะหลักฐานโดยรอบบ่งชี้ว่า ของที่เขาเก็บไว้นั้นไม่ได้มีไว้ใช้เอง แต่มีเจตนาเพื่อจำหน่าย
อ้างอิงมาตรากฎหมายที่ใช้ลงโทษ
กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับบทลงโทษครอบครองเพื่อจำหน่ายปี 2025 อ้างอิงจาก มาตรา 246 ซึ่งระบุว่า "ผู้ใดมีไว้ในครอบครองซึ่งของที่ผิดกฎหมายหรือเป็นภัยต่อสังคม โดยมีพฤติการณ์เพื่อจำหน่าย ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 5 ปี ถึง 20 ปี หรือจำคุกตลอดชีวิต และปรับตั้งแต่ 500,000 ถึง 5,000,000 บาท"
กฎหมายใหม่ 2025 เพิ่มอะไรอีก? หลักฐานอะไรที่ตำรวจใช้จับคุณได้?
เมื่อก่อนหากตำรวจต้องการจับใครในข้อหาครอบครองเพื่อจำหน่าย พวกเขาต้องมีหลักฐานมากกว่าการพบของกลาง แต่ภายใต้กฎหมายใหม่ การพิจารณาความผิดขยายขอบเขตขึ้น และเจ้าหน้าที่สามารถใช้หลักฐานอื่นประกอบในการเอาผิดได้มากขึ้น
หลักฐานอะไรที่ใช้เอาผิดคุณได้ แม้ไม่มีการซื้อขายจริง?
- ปริมาณของกลาง หากพบของต้องห้ามในจำนวนมาก ศาลอาจถือว่าคุณมีไว้เพื่อจำหน่าย
- การจัดเก็บสินค้า หากของที่พบมีการแพ็คเป็นชุด แบ่งเป็นหน่วยย่อย หรือมีเครื่องมือบรรจุภัณฑ์ ศาลอาจมองว่านี่คือพฤติกรรมของคนที่ตั้งใจจำหน่าย
- ธุรกรรมทางการเงิน หากบัญชีของคุณมีเงินหมุนเวียนผิดปกติ หรือมีการโอนเงินเข้ามาจากลูกค้าหลายรายโดยไม่มีที่มาที่ไปชัดเจน
- การสื่อสารกับลูกค้า หากพบข้อความแชท หรือบันทึกการติดต่อที่บ่งชี้ว่าคุณมีการเสนอขายสินค้า
- ประวัติการทำธุรกิจ หากคุณมีประวัติเคยเกี่ยวข้องกับการจำหน่ายสินค้าประเภทนี้ในอดีต
สถานการณ์: นาย D โดนจับเพราะหลักฐานในโทรศัพท์ แม้ไม่มีของกลางเยอะ
นาย D มีของต้องห้ามอยู่ในบ้านเพียงเล็กน้อย ซึ่งตามปกติอาจไม่เข้าข่ายการครอบครองเพื่อจำหน่าย แต่ตำรวจพบข้อความในแอปพลิเคชันแชทที่เขาพูดคุยกับลูกค้าเกี่ยวกับการขายสินค้า ศาลพิจารณาว่าแม้ของกลางจะไม่มาก แต่พฤติกรรมที่ปรากฏในโทรศัพท์ก็เพียงพอให้ตัดสินว่ามีเจตนาเพื่อจำหน่าย
สุดท้าย นาย D ถูกตัดสินจำคุก 7 ปี และถูกปรับ 1,500,000 บาท เนื่องจากหลักฐานทางดิจิทัลสามารถใช้มัดตัวได้
มาตรากฎหมายที่เกี่ยวข้อง
ตาม มาตรา 248 ของกฎหมายใหม่ 2025 ระบุว่า "การพิจารณาความผิดฐานครอบครองเพื่อจำหน่าย อาจใช้หลักฐานจากธุรกรรมทางการเงิน ข้อความอิเล็กทรอนิกส์ หรือพฤติการณ์อื่นที่แสดงถึงเจตนาในการจำหน่าย แม้ไม่มีการจับกุม ณ ขณะขายจริง"
วิธีป้องกันไม่ให้ถูกจับในข้อหาครอบครองเพื่อจำหน่าย
หลายคนตกเป็นเหยื่อของข้อกล่าวหานี้เพราะไม่รู้วิธีป้องกันตัวเอง หากคุณต้องการแน่ใจว่า ตัวเองจะไม่ถูกกล่าวหาอย่างไม่เป็นธรรม คุณต้องรู้ว่าต้องทำอะไรบ้าง
ต้องมีหลักฐานแสดงว่าไม่ได้มีเจตนาจำหน่าย
สิ่งที่คุณต้องมีเพื่อปกป้องตัวเอง คือหลักฐานที่ยืนยันว่า ของที่คุณครอบครองนั้นมีไว้เพื่อใช้เอง ไม่ได้มีไว้เพื่อจำหน่าย เช่น
- เอกสารรับรองที่แสดงว่าของที่คุณมีอยู่เป็นของใช้ส่วนตัว หรือมีเหตุผลอื่นที่ถูกต้อง
- ไม่มีพฤติกรรมที่บ่งชี้ถึงการขาย เช่น การแพ็คของในลักษณะที่พร้อมจำหน่าย หรือการโพสต์ขายสินค้าออนไลน์
- มีคำอธิบายที่สมเหตุสมผลว่าเหตุใดคุณจึงมีของจำนวนมาก
สถานการณ์: นาย E รอดจากข้อหาครอบครองเพื่อจำหน่าย เพราะมีหลักฐานดี
นาย E ถูกจับพร้อมของกลางจำนวนหนึ่ง แต่เขามีเอกสารรับรองว่า เขาได้รับของเหล่านี้มาเพื่อการศึกษาและวิจัย รวมถึงไม่มีหลักฐานอื่นที่บ่งชี้ว่าเขาต้องการจำหน่าย ศาลพิจารณาแล้วตัดสินว่าเขาไม่เข้าข่ายความผิด
ปรึกษาทนายก่อนทุกครั้ง หากคุณถูกกล่าวหา
หากคุณถูกตำรวจตั้งข้อหา อย่าตอบคำถามเองเด็ดขาด ให้ขอพบทนายก่อน และหากคุณต้องการทนายที่เชี่ยวชาญเรื่องนี้ สามารถค้นหาและปรึกษาทนายผ่าน Legardy ซึ่งมีทนายมืออาชีพพร้อมให้คำแนะนำ
หากถูกจับในข้อหาครอบครองเพื่อจำหน่าย ต้องทำอย่างไร?
กฎหมายปี 2025 ทำให้การถูกจับในข้อหานี้กลายเป็นเรื่องใหญ่ขึ้น โทษหนักขึ้น และโอกาสรอดแทบไม่มี หากคุณตกอยู่ในสถานการณ์นี้ สิ่งสำคัญที่สุดคือ ต้องมีสติ และรู้ว่าต้องทำอะไรทันที คนจำนวนมากทำผิดพลาดตั้งแต่นาทีแรกที่ถูกจับ ทำให้สถานการณ์แย่ลงโดยไม่รู้ตัว
ห้ามพูดอะไรที่อาจทำให้คุณดูมีความผิด
สิ่งที่คนส่วนใหญ่ทำพลาด คือ พยายามอธิบายตัวเองทันทีหลังจากถูกจับกุม หลายคนรีบพูดว่า "ผมไม่ได้ขาย แค่มีไว้เฉยๆ" หรือ "ผมไม่รู้ว่ามันผิดกฎหมาย" ซึ่งจริงๆ แล้ว คำพูดเหล่านี้สามารถใช้เป็นหลักฐานมัดตัวคุณในชั้นศาลได้
กฎหมายปี 2025 อนุญาตให้ตำรวจใช้ คำให้การของคุณเอง เป็นหลักฐานสำคัญ หากคุณพูดอะไรที่เข้าข่ายเป็นการยอมรับความผิด แม้ว่าจะไม่ได้ตั้งใจ ศาลสามารถตีความว่า "มีเจตนา" ได้ทันที
อย่าลงลายมือชื่อในเอกสารใดๆ หากไม่มีทนายอยู่ด้วย
เมื่อถูกจับ ตำรวจจะให้คุณลงชื่อในเอกสารหลายอย่าง โดยเฉพาะ บันทึกการจับกุม และคำให้การ คนจำนวนมากคิดว่า "แค่เซ็นไปก่อน แล้วค่อยสู้คดีทีหลัง" นี่คือความผิดพลาดที่อันตรายที่สุด เพราะหากคุณเซ็นยอมรับข้อความในเอกสารใดๆ เท่ากับคุณยอมรับข้อกล่าวหานั้นแล้ว
สิ่งที่คุณควรทำคือ ขอพบทนายทันที และปฏิเสธที่จะลงลายมือชื่อในเอกสารใดๆ จนกว่าจะได้รับคำแนะนำทางกฎหมาย
ขั้นตอนแรกที่ต้องทำทันทีหลังถูกจับ
ถ้าคุณถูกควบคุมตัว สิ่งที่คุณต้องทำคือ
- แจ้งครอบครัวหรือคนที่ไว้ใจได้ ให้รู้ว่าคุณถูกจับ และขอให้พวกเขาหาทนายให้เร็วที่สุด
- ปฏิเสธการให้ปากคำทุกอย่าง จนกว่าทนายของคุณจะมาถึง
- สังเกตการทำงานของเจ้าหน้าที่ หากมีการข่มขู่ บังคับ หรือทำร้ายร่างกาย ให้จำรายละเอียดทั้งหมดไว้ เพราะสามารถใช้เป็นประเด็นสู้คดีในภายหลังได้
สถานการณ์: นาย F ถูกจับ แต่เอาตัวรอดเพราะรู้วิธีรับมือ
นาย F ถูกจับพร้อมของกลางจำนวนมาก และตำรวจพยายามบังคับให้เขาเซ็นรับสารภาพทันที แต่เขาปฏิเสธและขอพบทนาย หลังจากทนายเดินทางมาถึงและตรวจสอบเอกสารทั้งหมด พบว่า หลักฐานที่ตำรวจใช้เอาผิดเขาอาจไม่เพียงพอ และมีความผิดปกติในกระบวนการตรวจค้น
ท้ายที่สุด ทนายสามารถช่วยนาย F ต่อสู้คดีได้ เพราะเขาไม่ทำผิดพลาดตั้งแต่แรก
หากถูกตั้งข้อหา มีโอกาสสู้คดีและชนะได้หรือไม่?
กฎหมายใหม่ทำให้สู้คดียากขึ้น แต่ไม่ใช่ว่าจะไม่มีโอกาส
ภายใต้กฎหมาย 2025 ศาลมีแนวโน้มจะเชื่อว่าผู้ต้องหามีเจตนาจำหน่าย เว้นแต่จะมีหลักฐานหักล้างที่ชัดเจน แต่หากคุณมีทีมทนายที่เชี่ยวชาญ และสามารถนำเสนอหลักฐานเพื่อพิสูจน์ว่า
- ของที่คุณครอบครองไม่ใช่เพื่อจำหน่าย
- คุณถูกจับโดยไม่มีหลักฐานเพียงพอ หรือกระบวนการจับกุมไม่ถูกต้อง
ก็ยังมีโอกาสต่อสู้คดีและพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของคุณ
หลักฐานที่สามารถใช้สู้คดีได้
- ไม่มีพฤติกรรมซื้อขาย หากคุณสามารถพิสูจน์ว่าไม่มีธุรกรรมใดที่เกี่ยวข้องกับการจำหน่ายของกลาง
- ไม่มีหลักฐานทางการเงินที่เชื่อมโยงกับการค้า หากบัญชีของคุณไม่มีเงินหมุนเวียนผิดปกติ ศาลอาจพิจารณาว่าไม่มีเจตนาจำหน่าย
- มีพยานหลักฐานที่ยืนยันว่าไม่ได้มีเจตนาขาย เช่น มีใบเสร็จรับรองการซื้อของเพื่อใช้ส่วนตัว หรือมีพยานยืนยันว่าคุณไม่ได้เกี่ยวข้องกับการจำหน่าย
สถานการณ์: นาย G สู้คดีและชนะเพราะมีหลักฐานที่ดี
นาย G ถูกจับพร้อมของกลาง และถูกกล่าวหาว่าครอบครองเพื่อจำหน่าย แต่ทนายของเขาสามารถพิสูจน์ได้ว่า ของที่พบเป็นของที่ใช้เพื่อการวิจัย ไม่ได้มีเจตนาเพื่อจำหน่าย และไม่มีหลักฐานอื่นที่เชื่อมโยงกับการขาย
ศาลจึงตัดสินให้ยกฟ้อง และนาย G ได้รับการปล่อยตัว
สรุป: วิธีป้องกันตัวเองจากข้อหาครอบครองเพื่อจำหน่ายในปี 2025
กฎหมายใหม่ปี 2025 ทำให้การครอบครองเพื่อจำหน่ายเป็นคดีที่ รุนแรงขึ้น มีโทษหนักขึ้น และสู้คดียากขึ้น สิ่งสำคัญที่สุดคือ ป้องกันตัวเองตั้งแต่แรก เพื่อไม่ให้ตกเป็นเป้าหมายของการจับกุม
อย่าครอบครองของต้องห้ามโดยไม่มีเหตุผลที่ชัดเจน
หากคุณจำเป็นต้องครอบครองของที่อาจถูกตีความว่าเป็นของต้องห้าม ต้องมีเอกสารยืนยันชัดเจน เช่น
- ใบอนุญาตที่ได้รับจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
- เอกสารที่แสดงว่าเป็นของที่ใช้ในงานวิจัย หรือเพื่อการศึกษา
- หลักฐานที่แสดงว่าของดังกล่าวไม่ใช่เพื่อการจำหน่าย
หากถูกจับ อย่าพูดอะไรโดยไม่มีทนาย
คนจำนวนมากแพ้คดีเพราะ พูดอะไรที่ใช้เป็นหลักฐานมัดตัวเอง ในชั้นศาล หากถูกจับ สิ่งที่ต้องทำคือ เงียบ และขอพบทนายทันที
หาทนายที่เชี่ยวชาญด้านคดีนี้ให้เร็วที่สุด
ข้อหาครอบครองเพื่อจำหน่ายเป็นคดีที่ต้องใช้ กลยุทธ์ทางกฎหมายในการต่อสู้ หากคุณถูกตั้งข้อหา อย่ารอช้า รีบหาทนายที่มีประสบการณ์ด้านนี้โดยเฉพาะ
หากคุณต้องการความช่วยเหลือ สามารถค้นหาและปรึกษาทนายผ่าน Legardy ซึ่งมีทนายที่เชี่ยวชาญด้านคดีอาญาพร้อมช่วยเหลือคุณ
ท้ายที่สุด: กฎหมาย 2025 ทำให้ชีวิตคนเปลี่ยนได้ในพริบตา
ข้อหาครอบครองเพื่อจำหน่ายไม่ใช่เรื่องเล่นๆ และกฎหมายปี 2025 ก็ทำให้มันเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นกว่าเดิม อย่าคิดว่าแค่มีของไว้เฉยๆ แล้วจะรอด เพราะตอนนี้แค่มีของก็อาจติดคุกได้
ถ้าคุณมีข้อสงสัยเพิ่มเติมเกี่ยวกับกฎหมายนี้ หรืออยากปรึกษาทนายที่มีประสบการณ์จริง สามารถค้นหาทนายที่เหมาะสมกับคุณผ่าน Legardy
เพราะสุดท้ายแล้ว การรู้กฎหมายก่อน มันอาจช่วยให้คุณรอดจากคดีที่เปลี่ยนชีวิตได้ทั้งชีวิต
ข้อหาครอบครองเพื่อจำหน่ายไม่ใช่เรื่องเล่น – กฎหมายใหม่ 2025 ทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไป
ถ้าคุณเคยคิดว่า “ไม่ได้ขายของผิดกฎหมาย แล้วจะโดนจับได้ยังไง?” ผมอยากให้คุณคิดใหม่ เพราะกฎหมายปี 2025 ไม่ได้มองแค่การซื้อขายจริงเท่านั้น แต่ยังพิจารณาจาก พฤติกรรมที่อาจตีความได้ว่าเป็นการเตรียมจำหน่าย คุณอาจไม่ได้ทำอะไรผิดเลย แต่ถ้าสถานการณ์รอบตัวคุณทำให้เจ้าหน้าที่มองว่ามีความเป็นไปได้ คุณอาจต้องติดคุกนานโดยที่คุณเองยังไม่เข้าใจว่าผิดอะไร
ครอบครองอย่างไรถึงจะถูกตีความว่าเพื่อจำหน่าย? – กฎหมายไม่ได้มองแค่ของกลาง
ในอดีตกฎหมายเคยระบุว่า หากไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่ามีการซื้อขาย จะไม่สามารถเอาผิดในข้อหาครอบครองเพื่อจำหน่ายได้ แต่ปี 2025 มีการเปลี่ยนแปลงสำคัญ โดยศาลสามารถพิจารณาความผิดได้จาก พฤติการณ์และบริบทแวดล้อม ไม่ใช่แค่ของกลางเพียงอย่างเดียว
กฎหมายปี 2025 มองว่า "ครอบครองเพื่อจำหน่าย" ไม่ได้หมายถึงแค่มีของ แต่ต้องมีพฤติกรรมบางอย่างที่ทำให้เจ้าหน้าที่เชื่อได้ว่ามีเจตนาเพื่อจำหน่ายจริง ตัวอย่างของพฤติกรรมที่อาจถูกตีความว่าเข้าข่ายครอบครองเพื่อจำหน่าย ได้แก่
จำนวนของที่พบมากเกินกว่าการใช้ส่วนตัว
หากคุณมีของที่กฎหมายกำหนดว่าเป็นของต้องห้าม หรือของที่อาจเป็นภัยต่อสังคม และมีจำนวนมากกว่าที่บุคคลทั่วไปควรมี กฎหมายใหม่จะพิจารณาว่า "ไม่มีเหตุผลเพียงพอที่จะครอบครองของในปริมาณมากขนาดนี้ได้ ยกเว้นจะมีเจตนาเพื่อจำหน่าย"
รูปแบบการจัดเก็บที่แสดงถึงการเตรียมจำหน่าย
ถ้าของที่พบถูกบรรจุในลักษณะที่พร้อมขาย เช่น ถูกแบ่งแพ็กเป็นชุดเล็กๆ ติดฉลาก มีหมายเลขล็อตสินค้า หรือมีบรรจุภัณฑ์ที่ออกแบบมาเพื่อจำหน่าย นั่นเป็นหลักฐานสำคัญที่ศาลสามารถนำมาใช้ประกอบการพิจารณาคดี
เครื่องมือที่ใช้ในการจัดจำหน่าย
กฎหมาย 2025 อนุญาตให้เจ้าหน้าที่ใช้หลักฐานประเภท เครื่องมือหรืออุปกรณ์ ที่สามารถใช้เพื่อจำหน่ายเป็นหลักฐานประกอบการตั้งข้อหา ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณมีเครื่องชั่งดิจิทัล ถุงซิปล็อก สมุดบัญชีรายชื่อลูกค้า หรือแม้แต่แพลตฟอร์มออนไลน์ที่ใช้ในการติดต่อซื้อขายของผิดกฎหมาย เจ้าหน้าที่สามารถใช้สิ่งเหล่านี้เพื่อระบุว่าคุณมีพฤติกรรมเข้าข่ายการจำหน่าย
พฤติกรรมการเงินที่ผิดปกติ
บัญชีธนาคารของคุณสามารถเป็นหลักฐานมัดตัวคุณได้ หากมีรายการเดินบัญชีที่ผิดปกติ เช่น มีเงินโอนเข้าจำนวนมากจากหลายบัญชีโดยไม่มีแหล่งที่มาชัดเจน หรือมีรายการรับเงินที่ตรงกับการสั่งซื้อของที่ต้องสงสัย เจ้าหน้าที่สามารถใช้ข้อมูลเหล่านี้เพื่อพิจารณาว่าคุณเกี่ยวข้องกับการจำหน่าย
สถานการณ์: นาย H ถูกจับเพราะบัญชีธนาคาร แต่รอดมาได้เพราะมีหลักฐานหักล้าง
นาย H ถูกเจ้าหน้าที่เข้าจับกุม เนื่องจากพบของต้องห้ามจำนวนมากในบ้านของเขา และบัญชีธนาคารมีรายการโอนเงินเข้าออกจากหลายบุคคล ตำรวจใช้ข้อมูลนี้เป็นหลักฐานว่ามีการทำธุรกรรมเพื่อจำหน่าย
อย่างไรก็ตาม นาย H มีหลักฐานที่สามารถอธิบายธุรกรรมเหล่านั้นได้ เช่น เอกสารแสดงว่าเงินที่โอนเข้าเป็นค่าจ้างจากงานอื่น หรือมีพยานที่สามารถยืนยันว่าของที่พบในบ้านเป็นของที่ถูกต้องตามกฎหมาย สุดท้าย ศาลตัดสินให้ ยกฟ้อง
กฎหมาย 2025 กำหนดอย่างไรเกี่ยวกับพฤติการณ์เข้าข่ายเจตนาจำหน่าย?
ตาม มาตรา 249 ของกฎหมายที่แก้ไขเพิ่มเติมในปี 2025 ระบุว่า "การครอบครองของต้องห้ามในปริมาณที่มากเกินความจำเป็นของบุคคลทั่วไป ให้สันนิษฐานว่าผู้ครอบครองมีเจตนาเพื่อจำหน่าย เว้นแต่จะมีหลักฐานที่สามารถพิสูจน์ได้ว่าเป็นการครอบครองเพื่อวัตถุประสงค์อื่น"
วิธีพิสูจน์ความบริสุทธิ์ – ทำอย่างไรให้ไม่ถูกตีความว่าเป็นผู้จำหน่าย?
กฎหมายปี 2025 มีช่องให้คุณต่อสู้คดีได้หากคุณสามารถพิสูจน์ว่า ของที่คุณมีไม่ได้มีไว้เพื่อจำหน่าย และคุณมีเหตุผลที่สมเหตุสมผลในการครอบครอง
ต้องมีหลักฐานที่แสดงว่าเป็นของที่ครอบครองโดยชอบด้วยกฎหมาย
หากคุณมีของที่อาจถูกมองว่าเป็นของต้องห้าม คุณต้องมีเอกสารที่ชัดเจน เช่น ใบอนุญาต เอกสารประกอบการวิจัย หรือหลักฐานที่อธิบายได้ว่าคุณครอบครองของเหล่านั้นเพื่ออะไร
ต้องไม่มีพฤติกรรมที่แสดงถึงการจำหน่าย
ถ้าคุณมีของต้องห้าม การเก็บรักษาให้ห่างจากลักษณะที่สามารถตีความว่าเป็นการเตรียมจำหน่ายเป็นเรื่องสำคัญ อย่าแบ่งบรรจุเป็นชุดเล็กๆ หรือจัดเก็บในลักษณะที่พร้อมขาย เพราะหากถูกจับกุม เจ้าหน้าที่สามารถใช้พฤติกรรมการจัดเก็บเป็นหลักฐานได้
หากมีธุรกรรมทางการเงินต้องสามารถอธิบายได้
เงินโอนเข้าออกจากบัญชีธนาคารของคุณต้องมีหลักฐานรองรับ หากคุณได้รับเงินจากแหล่งที่ถูกต้อง ให้มีเอกสารหรือพยานที่สามารถยืนยันที่มาของเงินได้
สถานการณ์: นาย I รอดจากข้อกล่าวหา เพราะเตรียมหลักฐานไว้ล่วงหน้า
นาย I เป็นผู้ประกอบธุรกิจด้านการผลิตสินค้าพิเศษที่บางชนิดอาจถูกตีความผิดกฎหมาย เขาจึงเตรียม ใบอนุญาตและเอกสารทางธุรกิจที่ถูกต้อง ไว้ล่วงหน้า เมื่อถูกตรวจสอบ เขาสามารถแสดงหลักฐานได้ทันที ทำให้เจ้าหน้าที่ไม่สามารถตั้งข้อกล่าวหาครอบครองเพื่อจำหน่ายกับเขาได้
สรุป: กฎหมายปี 2025 ทำให้การครอบครองเพื่อจำหน่ายเป็นเรื่องที่ต้องระวังมากขึ้น
ปี 2025 เปลี่ยนแปลงกฎหมายให้รัดกุมขึ้นมาก ไม่ใช่แค่การขายของผิดกฎหมายที่ถือว่าผิด แต่แค่ครอบครองของต้องห้ามในปริมาณที่มากพอ ก็อาจทำให้คุณถูกตั้งข้อหาได้
สิ่งที่คุณต้องระวังคือ การมีของที่อาจถูกมองว่าเป็นของต้องห้ามโดยไม่มีเหตุผลชัดเจน และ พฤติกรรมที่อาจถูกตีความว่าเป็นการเตรียมจำหน่าย หากคุณถูกจับหรือสงสัยว่าตัวเองอาจตกเป็นเป้าหมาย อย่าพูดอะไรที่อาจใช้มัดตัวคุณ และขอพบทนายทันที
หากคุณต้องการคำปรึกษาจากทนายที่เชี่ยวชาญคดีนี้ สามารถค้นหาทนายที่มีประสบการณ์ได้ที่ Legardy แพลตฟอร์มที่รวบรวมทนายจากทั่วประเทศ เพราะสุดท้ายแล้ว การรู้กฎหมายก่อน อาจช่วยให้คุณรอดจากข้อกล่าวหาที่อาจทำให้ชีวิตเปลี่ยนไปตลอดกาล
ถ้าถูกตำรวจเรียกตรวจค้น แล้วพบของต้องห้าม เราจะรอดจากข้อหาครอบครองเพื่อจำหน่ายได้หรือไม่?
ถ้าคุณเคยเห็นข่าวที่มีคนถูกจับเพราะครอบครองของต้องห้าม แล้วโดนตั้งข้อหาหนักทั้งที่พวกเขาอ้างว่า “ไม่ได้มีไว้ขาย” คุณอาจสงสัยว่าแค่มีของอยู่กับตัว จะทำให้ถูกดำเนินคดีได้จริงหรือ? คำตอบคือ กฎหมายปี 2025 เปลี่ยนทุกอย่างไปหมดแล้ว และคำว่า "ไม่ได้ขาย" ไม่ได้ช่วยให้คุณรอดเสมอไป
ตำรวจสามารถค้นตัวและค้นบ้านของเราได้ตอนไหน?
ก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนว่าตำรวจไม่ได้สามารถค้นใครก็ได้ตามอำเภอใจ พวกเขาต้องมี "เหตุผลสมควร" ตามที่กฎหมายกำหนด ถ้าไม่มีหมายค้นจากศาล ตำรวจสามารถค้นตัวคุณได้ในกรณีที่มีเหตุสงสัยว่า คุณกำลังกระทำผิดซึ่งหน้า หรือกำลังพกพาของผิดกฎหมาย
แต่ในกรณีที่เป็นบ้านหรือที่พักของคุณ ตำรวจต้องมี หมายค้นจากศาล หรือได้รับอนุญาตจากเจ้าของบ้านก่อน เว้นแต่จะอยู่ในสถานการณ์ที่เร่งด่วน เช่น มีพยานหลักฐานชัดเจนว่าในบ้านคุณมีของผิดกฎหมาย
อย่างไรก็ตาม ในความเป็นจริง ตำรวจมักใช้วิธีการขอให้คุณ "ยินยอมให้ตรวจค้น" ซึ่งหลายคนไม่รู้ว่า คุณมีสิทธิ์ปฏิเสธได้ ถ้าตำรวจไม่มีหมายค้นที่ถูกต้องตามกฎหมาย
สถานการณ์: นาย J ถูกตำรวจขอตรวจค้นโดยไม่มีหมาย แล้วพบของต้องห้าม
นาย J กำลังขับรถกลับบ้านและถูกตำรวจเรียกให้จอด ตำรวจขอค้นรถโดยไม่มีหมายค้น นาย J ไม่รู้ว่าตัวเองมีสิทธิ์ปฏิเสธ จึงยอมให้ตำรวจตรวจ ท้ายที่สุดตำรวจพบของต้องห้ามในกระเป๋าหลังรถ และตั้งข้อหาครอบครองเพื่อจำหน่ายทันที
ในกรณีนี้ ถ้านาย J รู้ว่าตำรวจไม่มีอำนาจตรวจค้นโดยพลการ เขาสามารถปฏิเสธได้ และขอให้ตำรวจแสดงหมายค้นก่อน การที่ตำรวจค้นโดยไม่มีหมาย และไม่มีเหตุสงสัยที่เพียงพอ อาจทำให้หลักฐานที่พบนั้น "ไม่สามารถใช้ในชั้นศาลได้"
หลักกฎหมายเกี่ยวกับการตรวจค้น และข้อพิสูจน์ว่าการตรวจค้นชอบด้วยกฎหมายหรือไม่
ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 92 ระบุว่า "หากตำรวจไม่มีหมายค้นและไม่มีเหตุจำเป็นเร่งด่วน การตรวจค้นโดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ครอบครองสถานที่ อาจถือว่าเป็นการกระทำโดยมิชอบ และพยานหลักฐานที่ได้จากการตรวจค้นนั้น อาจไม่มีผลในทางกฎหมาย"
ถ้าถูกจับแล้ว แต่ไม่มีของกลาง ตำรวจสามารถตั้งข้อหาได้หรือไม่?
หลายคนอาจคิดว่าถ้าตำรวจไม่พบของต้องห้ามในตัวหรือในบ้าน ตำรวจก็ไม่สามารถตั้งข้อหาครอบครองเพื่อจำหน่ายได้ แต่ความจริงคือ กฎหมายปี 2025 เปิดช่องให้ใช้ "หลักฐานแวดล้อม" เป็นตัวชี้วัดความผิด
การถูกจับโดยไม่มีของกลาง สามารถเกิดขึ้นได้จริงหรือ?
คำตอบคือ ได้ ถ้ามีหลักฐานอื่นที่แสดงถึงการเกี่ยวข้องกับการครอบครองเพื่อจำหน่าย เช่น
- มีการสื่อสารหรือข้อความในโทรศัพท์ที่พูดถึงการซื้อขายของต้องห้าม
- มีบัญชีธนาคารที่แสดงธุรกรรมเกี่ยวกับการซื้อขายของต้องห้าม
- มีพยานให้การว่าคุณเกี่ยวข้องกับการซื้อขาย
ถ้าตำรวจสามารถรวบรวมหลักฐานเหล่านี้ได้ แม้ว่าจะไม่มีของกลางในมือ พวกเขาก็สามารถส่งสำนวนให้พนักงานอัยการพิจารณาสั่งฟ้องได้
สถานการณ์: นาย K ถูกจับ แต่ไม่มีของกลาง ตำรวจใช้หลักฐานดิจิทัลในการตั้งข้อหา
นาย K เคยติดต่อซื้อขายของต้องห้ามผ่านแอปพลิเคชันแชท แม้ว่าตำรวจจะไม่พบของกลางในตัวเขา แต่พวกเขาใช้ประวัติการแชทและธุรกรรมทางการเงินเป็นหลักฐานในคดี
ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่าหลักฐานดังกล่าวชัดเจนเพียงพอ สุดท้ายนาย K ถูกตัดสินว่ามีความผิดฐานครอบครองเพื่อจำหน่าย แม้จะไม่มีของกลางอยู่ในมือก็ตาม
กฎหมายที่ใช้เอาผิดแม้ไม่มีของกลาง
กฎหมายปี 2025 ขยายอำนาจในการใช้ หลักฐานดิจิทัลและหลักฐานทางการเงิน ในการเอาผิด ตาม มาตรา 250 ของกฎหมายแก้ไขเพิ่มเติม ซึ่งระบุว่า "การสื่อสารหรือการทำธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายของต้องห้าม สามารถใช้เป็นหลักฐานในคดีอาญาได้ แม้ว่าจะไม่มีการตรวจพบของกลาง ณ ขณะจับกุม"
จะทำอย่างไรถ้าโดนตำรวจเรียกตัวไปสอบสวน แต่ยังไม่มีการตั้งข้อหา?
อย่าเดินเข้าไปโดยไม่มีทนาย
ถ้าคุณได้รับหมายเรียกจากตำรวจ อย่าเดินเข้าไปตอบคำถามเพียงลำพังเด็ดขาด แม้ว่าตอนนี้คุณจะยังไม่ได้ถูกตั้งข้อหาโดยตรง แต่การสอบสวนสามารถนำไปสู่การตั้งข้อหาได้ในภายหลัง
คุณมีสิทธิ์ที่จะ
- ปฏิเสธการตอบคำถามที่อาจใช้มัดตัวคุณ
- ขอให้มีทนายความอยู่ด้วยตลอดการสอบสวน
- ขอให้ตำรวจแจ้งเหตุผลที่ชัดเจนว่าทำไมคุณถึงถูกเรียกตัว
สถานการณ์: นาย L เดินเข้าไปพบตำรวจโดยไม่มีทนาย สุดท้ายถูกตั้งข้อหาโดยไม่รู้ตัว
นาย L ได้รับหมายเรียกจากตำรวจให้มาสอบปากคำเกี่ยวกับคดีที่เขาไม่รู้จัก เขาเข้าไปพบตำรวจเพียงลำพัง คิดว่าแค่ให้ข้อมูลแล้วจะจบเรื่อง แต่ระหว่างการสอบสวน ตำรวจใช้คำพูดของเขาเองเป็นหลักฐานและตั้งข้อหาครอบครองเพื่อจำหน่ายในเวลาต่อมา
ถ้านาย L ขอทนายความตั้งแต่แรก เขาสามารถได้รับคำแนะนำให้ระวังคำพูด และอาจสามารถยับยั้งไม่ให้ตัวเองตกเป็นจำเลยในคดีได้
สรุป: ปี 2025 กฎหมายครอบครองเพื่อจำหน่ายมีการเปลี่ยนแปลงมากแค่ไหน?
- การมีของต้องห้ามในปริมาณมากโดยไม่มีเหตุผลชัดเจน สามารถถูกตั้งข้อหาครอบครองเพื่อจำหน่ายได้ทันที
- ตำรวจสามารถใช้ พฤติกรรมแวดล้อม เช่น การจัดเก็บสินค้า เครื่องมือทางการเงิน หรือข้อความแชท เพื่อเอาผิดได้ แม้จะไม่มีของกลางในตัว
- การสอบสวนสามารถนำไปสู่การตั้งข้อหา แม้ว่าคุณจะไม่ได้ทำอะไรผิดโดยตรง
- หากถูกเรียกสอบสวนหรือถูกจับ อย่าพูดอะไรโดยไม่มีทนาย และอย่าลงลายมือชื่อในเอกสารโดยไม่เข้าใจข้อกฎหมาย
หากคุณสงสัยว่าตัวเองเสี่ยงต่อการถูกตั้งข้อหา หรืออยากหาทนายที่มีประสบการณ์ในการต่อสู้คดีนี้ Legardy มีทนายที่เชี่ยวชาญด้านกฎหมายอาญาพร้อมให้คำปรึกษา
กฎหมาย 2025 ไม่ใช่เรื่องที่คุณควรมองข้าม เพราะเพียงแค่มีของอยู่กับตัว มันอาจทำให้ชีวิตคุณเปลี่ยนไปตลอดกาล
โอกาสรอดจากข้อหาครอบครองเพื่อจำหน่าย – กฎหมายใหม่ 2025 ยังมีทางออกหรือไม่?
เมื่อกฎหมายใหม่เข้มงวดขึ้น หลายคนอาจรู้สึกว่า "ถ้าถูกจับ ไม่มีทางรอดแน่ๆ" แต่ความจริงคือ กฎหมายยังเปิดช่องให้คุณสามารถต่อสู้คดีได้ ถ้าคุณมีหลักฐานที่เพียงพอ และมีทนายที่เข้าใจแนวทางการต่อสู้ในศาล
กฎหมายปี 2025 แม้จะเพิ่มบทลงโทษให้หนักขึ้น แต่ยังคงใช้หลักเกณฑ์การพิจารณาคดีแบบ "ต้องพิสูจน์ให้สิ้นสงสัย" หรือพูดง่ายๆ คือ ถ้าคุณสามารถพิสูจน์ได้ว่าคุณไม่มีเจตนาเพื่อจำหน่าย หรือการจับกุมมีความผิดพลาด คุณก็ยังมีโอกาสชนะคดี
เมื่อไหร่ที่คุณมีโอกาสรอดจากข้อหา?
แม้ว่ากฎหมายจะเข้มงวดขึ้น แต่มีหลายสถานการณ์ที่คุณสามารถใช้เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของคุณ เช่น หากมีหลักฐานว่าคุณครอบครองของต้องห้ามโดยไม่รู้ตัว ถูกกลั่นแกล้ง หรือกระบวนการจับกุมไม่ถูกต้องตามกฎหมาย คุณยังสามารถสู้คดีได้
หากคุณสามารถแสดงให้เห็นว่าของที่พบ ไม่ใช่ของคุณ หรือคุณไม่มีอำนาจควบคุมของเหล่านั้น ศาลอาจพิจารณาให้คุณพ้นผิด ตัวอย่างเช่น หากคุณเป็นเพียงผู้เช่าบ้าน และของกลางถูกพบในพื้นที่ที่คุณไม่มีสิทธิ์เข้าถึงโดยตรง หรือเป็นของที่มีบุคคลอื่นเกี่ยวข้อง ศาลต้องพิจารณาหลักฐานทุกอย่างก่อนตัดสินว่าคุณมีความผิดจริงหรือไม่
สถานการณ์: นาย M รอดจากข้อหา เพราะหลักฐานชี้ว่าเขาไม่ใช่เจ้าของของกลาง
นาย M อาศัยอยู่ในบ้านเช่าที่มีผู้อื่นพักอาศัยร่วมกัน วันหนึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจบุกค้นและพบของต้องห้ามซ่อนอยู่ในห้องเก็บของ นาย M ถูกจับกุมในข้อหาครอบครองเพื่อจำหน่าย อย่างไรก็ตาม ทนายของเขาสามารถพิสูจน์ได้ว่า นาย M ไม่ใช่เจ้าของห้องเก็บของนั้น และไม่มีหลักฐานว่าของเหล่านั้นเป็นของเขาโดยตรง
หลังจากการพิจารณาคดี ศาลตัดสินว่า ไม่มีหลักฐานที่เพียงพอว่าของเหล่านั้นเป็นของนาย M หรือเขามีเจตนาจะจำหน่าย ทำให้เขาพ้นผิด
กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการพิสูจน์ความบริสุทธิ์
ตาม มาตรา 252 ของกฎหมายใหม่ 2025 กำหนดว่า "หากผู้ต้องหาสามารถแสดงหลักฐานได้ว่าตนไม่ได้เป็นเจ้าของ หรือไม่ได้มีเจตนาเพื่อจำหน่าย และไม่มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับของกลาง ศาลอาจพิจารณาให้พ้นผิด หรือให้โทษเบาลง"
ทำไมบางคนโดนจับ แต่บางคนกลับไม่โดน? – กฎหมาย 2025 กับดุลพินิจของเจ้าหน้าที่
หนึ่งในคำถามที่ถูกถามบ่อยที่สุดคือ "ทำไมบางคนที่มีของผิดกฎหมายถูกจับ แต่บางคนที่ทำคล้ายกันกลับรอด?" คำตอบคือ ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของเจ้าหน้าที่ และหลักฐานที่พบในขณะจับกุม
ดุลพินิจของตำรวจและอัยการมีผลต่อคดีแค่ไหน?
แม้ว่ากฎหมายจะกำหนดบทลงโทษที่ชัดเจน แต่การที่คุณจะถูกดำเนินคดีหรือไม่ ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย โดยเฉพาะดุลพินิจของตำรวจและอัยการ ถ้าพวกเขาเห็นว่าหลักฐานไม่เพียงพอ หรือมีความเป็นไปได้ว่าคุณอาจเป็นผู้บริสุทธิ์ พวกเขาอาจเลือกไม่ส่งฟ้อง หรือส่งฟ้องเฉพาะข้อหาที่เบากว่า
หากตำรวจพบของต้องห้ามในจำนวนไม่มาก และไม่มีหลักฐานอื่นที่บ่งชี้ว่าเป็นการจำหน่าย เช่น ไม่มีบัญชีลูกค้า ไม่มีเครื่องชั่ง ไม่มีเงินหมุนเวียนผิดปกติ อัยการอาจเลือกที่จะ ไม่ดำเนินคดีข้อหาครอบครองเพื่อจำหน่าย แต่เปลี่ยนเป็นข้อหาครอบครองโดยไม่มีเจตนาจำหน่ายแทน ซึ่งมีโทษเบากว่า
สถานการณ์: นาย N ถูกจับพร้อมของกลาง แต่รอดจากข้อหาหนัก เพราะอัยการเห็นว่าไม่มีเจตนาเพื่อจำหน่าย
นาย N ถูกจับกุมพร้อมของต้องห้ามปริมาณหนึ่งที่พบในรถของเขา ตำรวจตั้งข้อหาครอบครองเพื่อจำหน่ายทันที อย่างไรก็ตาม หลังจากการตรวจสอบอย่างละเอียด พบว่า ไม่มีหลักฐานว่ามีการซื้อขายจริง ไม่มีข้อความแชท ไม่มีบัญชีที่เกี่ยวข้อง
อัยการจึงพิจารณาใหม่ และตัดสินใจลดข้อหาเหลือเพียง การครอบครองโดยไม่มีเจตนาจำหน่าย ทำให้นาย N ได้รับโทษเบากว่าข้อหาครอบครองเพื่อจำหน่าย
กฎหมายเกี่ยวกับดุลพินิจของตำรวจและอัยการ
ตาม มาตรา 253 ของกฎหมายใหม่ 2025 ระบุว่า "พนักงานสอบสวนและอัยการมีอำนาจพิจารณาโทษที่เหมาะสมตามหลักฐานที่มีอยู่ หากไม่มีพยานหลักฐานที่บ่งชี้ถึงการจำหน่ายโดยตรง อาจพิจารณาให้ลดโทษลงได้"
บทสรุป: คุณควรทำอย่างไร เพื่อให้แน่ใจว่าคุณจะไม่ตกเป็นเหยื่อของกฎหมายนี้?
กฎหมายใหม่ 2025 ทำให้ทุกอย่างซับซ้อนขึ้น และเปิดช่องให้เจ้าหน้าที่สามารถใช้หลักฐานแวดล้อมมัดตัวคุณได้ง่ายขึ้น แต่ก็ยังมีทางรอด หากคุณรู้วิธีป้องกันตัวเองตั้งแต่แรก
สิ่งสำคัญที่สุดที่คุณต้องทำคือ อย่าทำอะไรที่อาจถูกตีความผิด และอย่ามีของต้องห้ามโดยไม่มีเหตุผลชัดเจน ถ้าคุณต้องมีของเหล่านั้นจริงๆ ควรมี เอกสารยืนยันที่ชัดเจน และไม่มีพฤติกรรมที่บ่งชี้ถึงการจำหน่าย
หากคุณถูกจับหรือได้รับหมายเรียก อย่าพูดอะไรโดยไม่มีทนาย และอย่าลงลายมือชื่อในเอกสารใดๆ ที่อาจใช้เป็นหลักฐานมัดตัวคุณ รีบหาทนายที่เชี่ยวชาญด้านคดีอาญาโดยเร็วที่สุด
Legardy เป็นแพลตฟอร์มที่สามารถช่วยคุณค้นหาทนายที่เชี่ยวชาญด้านนี้ได้ หากคุณต้องการคำปรึกษาเกี่ยวกับข้อหาครอบครองเพื่อจำหน่าย หรืออยากรู้ว่าตัวเองมีความเสี่ยงมากแค่ไหน เข้าไปหาทนายที่เหมาะกับคุณได้เลย
กฎหมาย 2025 อาจทำให้หลายคนต้องเผชิญกับโทษที่หนักขึ้นโดยที่พวกเขาไม่รู้ตัว แต่ถ้าคุณรู้กฎหมายก่อน มันอาจช่วยให้คุณรอดจากคดีที่เปลี่ยนชีวิตคุณไปตลอดกาล
เจตนาไม่ได้มีไว้ขาย แต่ถูกตั้งข้อหาครอบครองเพื่อจำหน่าย – ต้องทำอย่างไร?
มีหลายกรณีที่เจ้าของของกลางไม่มีเจตนาในการขาย แต่กลับถูกตั้งข้อหาครอบครองเพื่อจำหน่าย กฎหมายปี 2025 เพิ่มความเข้มงวดขึ้นจนบางครั้งทำให้ "การมีของผิดกฎหมายอยู่กับตัว" อาจถูกตีความว่ามีเจตนาเพื่อจำหน่ายได้ง่ายขึ้น
การที่คุณไม่มีการซื้อขายจริง หรือไม่มีลูกค้า ก็ไม่ได้หมายความว่าคุณจะรอดพ้นจากข้อกล่าวหา ศาลจะพิจารณาองค์ประกอบหลายอย่าง โดยเฉพาะ พฤติกรรมและบริบทของการครอบครอง เช่น หากของต้องห้ามถูกจัดเก็บในลักษณะที่สะดวกต่อการขาย หรือคุณมีเงินหมุนเวียนในบัญชีที่ไม่มีที่มาอธิบายได้ คุณอาจถูกตั้งข้อหานี้ได้
เมื่อไหร่ที่การครอบครองสามารถถูกตีความว่า "มีเจตนาเพื่อจำหน่าย"?
หากของที่คุณครอบครองมีปริมาณมากกว่าปกติ และไม่มีเหตุผลที่อธิบายได้ว่าทำไมคุณถึงต้องมีมันอยู่กับตัว ศาลอาจพิจารณาว่า "ไม่มีเหตุผลอื่นที่จะครอบครอง เว้นแต่ว่ามีเจตนาเพื่อจำหน่าย"
ในบางกรณี หลักฐานดิจิทัล เช่น ข้อความในแอปพลิเคชันสนทนา หรือประวัติการซื้อขายเก่าของคุณ อาจถูกนำมาใช้เป็นหลักฐานเพื่อระบุว่า คุณเคยขายของประเภทเดียวกันมาก่อน หรือกำลังเตรียมจำหน่ายอยู่
อีกปัจจัยหนึ่งที่ศาลมักใช้พิจารณาคือ พฤติกรรมการเงิน หากบัญชีของคุณมีธุรกรรมทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับการขายของต้องห้าม หรือมีเงินจำนวนมากไหลเข้าออกโดยไม่มีที่มาที่ไปชัดเจน ศาลสามารถใช้ข้อมูลเหล่านี้เป็นหลักฐานเพื่อชี้ว่า คุณมีเจตนาเพื่อจำหน่าย แม้ว่าคุณจะไม่ได้ขายจริงก็ตาม
สถานการณ์: นาย O ถูกตั้งข้อหาเพียงเพราะพฤติกรรมทางการเงินผิดปกติ
นาย O เป็นนักสะสมของหายาก และมีของต้องห้ามบางอย่างอยู่ในบ้าน วันหนึ่งเขาถูกตำรวจตรวจค้น และพบว่ามีของต้องห้ามอยู่ในปริมาณมาก แม้ว่าเขาจะยืนยันว่าเป็นของสะสมส่วนตัว แต่เจ้าหน้าที่ตรวจสอบพบว่า บัญชีของเขามีธุรกรรมโอนเงินจำนวนมากที่ไม่มีที่มาที่ไปชัดเจน
แม้ว่า นาย O จะไม่มีหลักฐานการขายโดยตรง ศาลกลับใช้ "รูปแบบการเงินที่ผิดปกติ" เป็นหลักฐานมัดตัว และตัดสินว่าเขามีเจตนาเพื่อจำหน่าย
กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการตีความว่า "ครอบครองเพื่อจำหน่าย"
ตาม มาตรา 254 ของกฎหมายอาญาที่แก้ไขปี 2025 ระบุว่า "การครอบครองสิ่งของต้องห้ามในปริมาณมาก โดยไม่มีเอกสารหรือเหตุผลชัดเจนในการครอบครอง ให้ถือว่ามีเจตนาเพื่อจำหน่าย เว้นแต่ผู้ต้องหาสามารถพิสูจน์ได้ว่าครอบครองเพื่อเหตุผลอื่น"
คุณอาจถูกตั้งข้อหาครอบครองเพื่อจำหน่าย ทั้งที่ไม่ได้มีของผิดกฎหมายเลยจริงหรือ?
แม้ว่ากฎหมายใหม่จะเน้นเรื่องการมีของต้องห้ามเป็นหลัก แต่ในบางกรณี คุณอาจถูกกล่าวหาโดยไม่มีของกลางในตัวเลย เพียงเพราะมีหลักฐานอื่นที่อาจเชื่อมโยงคุณกับการกระทำผิด
มีหลายกรณีที่เจ้าหน้าที่สามารถใช้ หลักฐานดิจิทัล เช่น ประวัติการแชท ข้อมูลบัญชีธนาคาร หรือแม้แต่โพสต์บนโซเชียลมีเดีย เพื่อระบุว่าคุณเกี่ยวข้องกับการซื้อขายของต้องห้าม
กฎหมาย 2025 อนุญาตให้ใช้ "พฤติการณ์ที่บ่งชี้ถึงการมีส่วนเกี่ยวข้อง" เป็นหลักฐานในคดีได้ โดยไม่จำเป็นต้องมีของกลางจริงๆ อยู่ในมือของคุณ
สถานการณ์: นาย P ถูกตั้งข้อหาเพราะข้อความแชท แม้ไม่มีของกลางอยู่ในมือ
นาย P เคยพูดคุยเกี่ยวกับการซื้อขายของต้องห้ามผ่านแอปพลิเคชันสนทนา แม้ว่าเขาจะไม่ได้มีของอยู่กับตัว ตำรวจก็สามารถเข้าถึงข้อความสนทนาเหล่านั้น และใช้เป็นหลักฐานว่า เขาเคยมีส่วนเกี่ยวข้องกับการจำหน่ายมาก่อน
ศาลพิจารณาว่า แม้ไม่มีของกลางในมือ แต่หลักฐานดิจิทัลก็สามารถใช้เป็นตัวชี้ว่าผู้ต้องหามีส่วนเกี่ยวข้องกับกระบวนการซื้อขายของต้องห้ามได้
กฎหมายที่ใช้เอาผิด แม้ไม่มีของกลาง
ตาม มาตรา 255 ของกฎหมายใหม่ 2025 ระบุว่า "หากมีพฤติกรรม หรือหลักฐานที่บ่งชี้ถึงการมีส่วนร่วมในกระบวนการจำหน่ายของต้องห้าม อาจถูกดำเนินคดีได้ แม้ว่าจะไม่มีของกลางอยู่กับตัว"
จะป้องกันตัวเองจากข้อหาครอบครองเพื่อจำหน่ายได้อย่างไร?
เมื่อกฎหมาย 2025 ทำให้ทุกอย่างเข้มงวดขึ้น คนทั่วไปอาจต้องระวังมากขึ้นเกี่ยวกับสิ่งที่ครอบครอง และพฤติกรรมทางการเงินของตนเอง
ถ้าคุณจำเป็นต้องมีของที่อาจถูกตีความผิด เช่น ของที่มีข้อบังคับพิเศษ หรือของที่อาจดูคล้ายกับของต้องห้าม คุณควรมีเอกสารรับรองที่ถูกต้องชัดเจน และไม่มีพฤติกรรมที่อาจถูกตีความว่าเกี่ยวข้องกับการจำหน่าย
หากคุณถูกจับกุมหรือถูกตั้งข้อหา อย่าตอบคำถามโดยไม่มีทนายความอยู่ด้วย เพราะแม้แต่คำพูดที่คุณคิดว่าไม่มีอะไร อาจถูกใช้เป็นหลักฐานต่อสู้กับคุณในศาล
Legardy เป็นแพลตฟอร์มที่รวบรวมทนายจากทั่วประเทศ หากคุณต้องการทนายที่เชี่ยวชาญคดีอาญา และสามารถให้คำแนะนำเกี่ยวกับกฎหมายครอบครองเพื่อจำหน่าย คุณสามารถค้นหาทนายที่เหมาะสมกับคดีของคุณได้ที่นี่
สรุป: กฎหมายครอบครองเพื่อจำหน่าย 2025 ทำให้ความผิดพลาดเล็กๆ กลายเป็นเรื่องใหญ่ได้
ปี 2025 เป็นปีที่กฎหมายเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก สิ่งที่เคยรอดพ้นจากการเป็นคดีอาญา อาจกลายเป็นหลักฐานที่ใช้มัดตัวคุณได้ในปัจจุบัน
หากคุณมีของที่อาจถูกตีความว่าผิดกฎหมาย ต้องมีเอกสารรับรองให้ชัดเจน หากคุณเคยติดต่อเกี่ยวกับของต้องห้ามผ่านแอปพลิเคชันแชท ต้องระวังว่าข้อความเหล่านั้นอาจถูกใช้เป็นหลักฐานได้
หากคุณถูกจับหรือได้รับหมายเรียก อย่าพูดอะไรโดยไม่มีทนาย และอย่าลงลายมือชื่อในเอกสารใดๆ โดยไม่เข้าใจข้อกฎหมาย เพราะการกระทำเล็กๆ อาจทำให้คุณต้องโทษจำคุกเป็นเวลาหลายปี
สุดท้ายนี้ ถ้าคุณต้องการคำปรึกษาจากทนายที่มีประสบการณ์ด้านนี้ Legardy พร้อมช่วยเหลือคุณ เพราะบางครั้ง ความรู้ทางกฎหมายอาจเป็นสิ่งเดียวที่ช่วยให้คุณรอดจากคดีที่เปลี่ยนชีวิตได้
ถ้าถูกกล่าวหาโดยไม่เป็นธรรม ต้องทำอย่างไร? – วิธีปกป้องตัวเองจากข้อหาครอบครองเพื่อจำหน่าย
มีหลายกรณีที่คนบริสุทธิ์ถูกกล่าวหาโดยไม่เป็นธรรม หลายครั้งเกิดจาก การตรวจค้นที่ไม่มีหมาย การตั้งข้อหาผิดพลาด หรือแม้แต่การกลั่นแกล้งจากบุคคลอื่น กฎหมายปี 2025 ทำให้หลายคดีที่เคยไม่สามารถเอาผิดได้ กลายเป็นคดีที่รุนแรงขึ้น เพราะเจ้าหน้าที่สามารถใช้ พยานหลักฐานแวดล้อม เช่น ข้อความแชท ธุรกรรมทางการเงิน หรือรูปแบบการครอบครองของต้องห้าม มาใช้เป็นหลักฐานในศาลได้
ถ้าคุณรู้ตัวว่าตัวเอง ไม่ได้มีเจตนาเพื่อจำหน่าย และถูกกล่าวหาโดยไม่เป็นธรรม อย่าเพิ่งตื่นตระหนก สิ่งที่คุณทำตั้งแต่วินาทีแรกที่ถูกจับกุมสามารถเป็นตัวกำหนดได้ว่าคดีของคุณจะจบลงแบบไหน
อย่าลงลายมือชื่อในเอกสารใดๆ โดยไม่ได้อ่านอย่างละเอียด
สิ่งแรกที่หลายคนทำพลาดคือ รีบเซ็นเอกสารโดยไม่อ่านรายละเอียด บางครั้งตำรวจอาจใช้คำพูดเพื่อกดดันให้คุณเซ็นรับทราบข้อกล่าวหา หรือยอมรับว่า "มีของต้องห้ามไว้ครอบครอง" โดยไม่บอกคุณว่าเนื้อหาในเอกสารนั้นจริงๆ แล้วเป็นอย่างไร
อย่าลืมว่าทุกลายมือชื่อของคุณในเอกสารสอบสวนสามารถใช้เป็นหลักฐานในชั้นศาลได้ ถ้าคุณเซ็นอะไรไปแบบไม่ระวัง อาจหมายถึงการยอมรับข้อกล่าวหาทั้งหมดโดยปริยาย ทางที่ดีที่สุด คุณต้องขอทนายความทันที และอ่านรายละเอียดเอกสารทุกฉบับก่อนลงชื่อ
ขอให้เจ้าหน้าที่ระบุเหตุผลของการจับกุมให้ชัดเจน
ในบางกรณี ตำรวจอาจเรียกคุณไปสอบสวนโดยไม่มีหมายจับ หรือขอค้นบ้านของคุณโดยไม่มีหมายค้น ถ้าคุณถูกขอให้ไปสถานีตำรวจ คุณมีสิทธิ์ถามว่า คุณถูกจับในข้อหาอะไร และเจ้าหน้าที่มีหลักฐานอะไรในการกล่าวหาคุณ
ถ้าไม่มีหมายจับ หรือไม่มีหลักฐานชัดเจน เจ้าหน้าที่ไม่สามารถควบคุมตัวคุณไว้ได้ตามอำเภอใจ เว้นแต่จะเป็นกรณีที่เข้าข่ายความผิดซึ่งหน้า
ถ้าคุณรู้สึกว่า เจ้าหน้าที่ไม่มีเหตุผลเพียงพอในการจับกุมคุณ หรือมีการปฏิบัติที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย คุณสามารถแจ้งให้ทนายทราบและใช้สิทธิต่อสู้ได้
สถานการณ์: นาย Q ถูกจับกุมโดยไม่มีหมาย และปฏิเสธที่จะเซ็นเอกสารโดยไม่มีทนาย
นาย Q ถูกตำรวจควบคุมตัวขณะเดินทางกลับบ้าน ตำรวจอ้างว่าได้รับแจ้งเบาะแสว่าเขาเกี่ยวข้องกับขบวนการค้าอาวุธ แต่ตำรวจไม่มีหมายค้นและไม่มีหลักฐานชัดเจนเกี่ยวกับการกระทำผิดของเขา
นาย Q ปฏิเสธที่จะลงลายมือชื่อในบันทึกการจับกุม และขอพบทนายก่อนให้ปากคำใดๆ ทนายของเขาตรวจสอบหลักฐานของตำรวจและพบว่า การจับกุมครั้งนี้ไม่มีหลักฐานที่แน่ชัดและอาจเข้าข่ายละเมิดสิทธิของผู้ถูกกล่าวหา
สุดท้าย นาย Q ได้รับการปล่อยตัว เนื่องจากไม่มีหลักฐานเพียงพอที่จะตั้งข้อหากับเขา
กฎหมายเกี่ยวกับการจับกุมและสิทธิของผู้ต้องหา
ตาม มาตรา 256 ของกฎหมายใหม่ 2025 ระบุว่า "หากผู้ถูกจับกุมไม่ได้กระทำความผิดซึ่งหน้า และไม่มีหมายจับที่ถูกต้อง ผู้ถูกจับสามารถใช้สิทธิ์ปฏิเสธการควบคุมตัวได้"
ถ้าถูกตั้งข้อหาแล้ว แต่ไม่มีหลักฐานที่ชัดเจน ควรทำอย่างไร?
บางครั้งแม้ว่าคุณจะไม่ได้กระทำผิดจริง แต่ก็อาจถูกตั้งข้อหาเพราะ เจ้าหน้าที่ใช้หลักฐานแวดล้อม เช่น การสนทนาในแชท หรือธุรกรรมทางการเงิน ที่อาจดูเหมือนว่าคุณเกี่ยวข้องกับการจำหน่ายของต้องห้าม
เมื่อคุณถูกตั้งข้อหาแล้ว สิ่งที่คุณต้องทำคือ รวบรวมหลักฐานที่สามารถพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของคุณได้
พิสูจน์ว่าของต้องห้ามที่พบไม่ใช่ของคุณ
หากของกลางที่พบไม่ได้เป็นของคุณ และคุณไม่มีอำนาจควบคุมสิ่งของเหล่านั้น คุณต้องมีพยานหลักฐานที่ชัดเจนว่าคุณ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับของกลางที่ถูกยึด ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณเป็นผู้เช่าบ้านและของกลางถูกพบในพื้นที่ที่คุณไม่สามารถเข้าถึงได้ หรือมีผู้อื่นพักอาศัยอยู่ด้วย
คุณสามารถใช้หลักฐานเช่น สัญญาเช่าบ้าน รายชื่อผู้พักอาศัย หรือหลักฐานที่แสดงว่าของที่พบไม่ได้เป็นของคุณโดยตรง เพื่อช่วยในการต่อสู้คดี
แสดงให้เห็นว่าธุรกรรมทางการเงินของคุณไม่มีความเกี่ยวข้องกับการซื้อขายของต้องห้าม
ถ้าคุณถูกกล่าวหาว่ามีธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายของต้องห้าม แต่คุณมีหลักฐานที่สามารถพิสูจน์ได้ว่า ธุรกรรมเหล่านั้นเกี่ยวข้องกับกิจกรรมอื่นๆ ที่ถูกกฎหมาย เช่น การโอนเงินระหว่างครอบครัว หรือการซื้อขายสินค้าถูกกฎหมาย คุณสามารถใช้ข้อมูลเหล่านี้เพื่อลบล้างข้อกล่าวหาได้
สถานการณ์: นาย R ถูกตั้งข้อหาเพราะมีชื่อในบัญชีโอนเงิน แต่สามารถพิสูจน์ความบริสุทธิ์ได้
นาย R ถูกกล่าวหาว่าเกี่ยวข้องกับการซื้อขายของต้องห้าม เนื่องจากพบชื่อของเขาในบัญชีที่ถูกใช้ในการโอนเงิน อย่างไรก็ตาม นาย R สามารถพิสูจน์ได้ว่าเงินที่ถูกโอนเข้าบัญชีของเขามาจากการทำงานที่ถูกกฎหมาย และไม่มีความเกี่ยวข้องกับการกระทำผิด
ศาลพิจารณาหลักฐานทั้งหมด และตัดสินว่านาย R ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำผิด ทำให้เขาได้รับการปล่อยตัว
กฎหมายเกี่ยวกับการพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของผู้ถูกกล่าวหา
ตาม มาตรา 257 ของกฎหมายใหม่ 2025 ระบุว่า "หากผู้ต้องหาสามารถแสดงหลักฐานได้ว่าไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับของกลาง และไม่มีพฤติกรรมที่บ่งชี้ถึงการจำหน่าย ศาลสามารถพิจารณายกฟ้องได้"
สรุป: ถ้าคุณถูกกล่าวหาโดยไม่เป็นธรรม อย่าเพิ่งยอมแพ้
กฎหมายปี 2025 เพิ่มความเข้มงวดในการเอาผิดข้อหาครอบครองเพื่อจำหน่าย แต่ก็ยังมีช่องทางในการต่อสู้ทางกฎหมายหากคุณไม่ได้กระทำผิดจริง
สิ่งสำคัญคือ คุณต้องรู้สิทธิของตัวเอง และ อย่าทำอะไรที่อาจเป็นการมัดตัวเองโดยไม่รู้ตัว ถ้าคุณถูกจับหรือถูกตั้งข้อหา อย่าพูดอะไรโดยไม่มีทนายความอยู่ด้วย และอย่าลงลายมือชื่อในเอกสารที่คุณยังไม่ได้อ่านหรือเข้าใจ
หากคุณต้องการคำปรึกษาจากทนายความที่เชี่ยวชาญด้านคดีนี้ Legardy เป็นแพลตฟอร์มที่รวบรวมทนายจากทั่วประเทศ และสามารถช่วยคุณหาทนายที่เหมาะสมกับคดีของคุณได้
กฎหมายปี 2025 ทำให้ชีวิตคนเปลี่ยนไปในพริบตา แต่ ถ้าคุณรู้กฎหมายก่อน คุณอาจสามารถปกป้องตัวเองได้ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป
ข้อผิดพลาดที่ทำให้หลายคนแพ้คดีครอบครองเพื่อจำหน่าย – อย่าทำผิดตั้งแต่ต้นเกม
แม้ว่ากฎหมาย 2025 จะทำให้ข้อหาครอบครองเพื่อจำหน่ายกลายเป็นเรื่องใหญ่ขึ้น แต่ในหลายคดี ผู้ต้องหาเองกลับเป็นฝ่ายทำให้คดีของตัวเองแย่ลง โดยไม่ได้ตั้งใจ ข้อผิดพลาดเล็กๆ ที่ดูเหมือนไม่มีอะไร อาจกลายเป็นหลักฐานที่เจ้าหน้าที่ใช้มัดตัวคุณได้
ถ้าคุณถูกตั้งข้อหา สิ่งที่คุณทำตั้งแต่วันแรกสามารถเป็นตัวกำหนดได้ว่าคดีจะจบลงแบบไหน การรู้เท่าทันและหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดเหล่านี้ อาจเป็นสิ่งเดียวที่ช่วยให้คุณรอดจากคดีที่เปลี่ยนชีวิตได้
ยอมรับข้อกล่าวหาไปก่อน แล้วค่อยไปสู้คดีทีหลัง – ความคิดที่ผิดพลาดที่สุด
หลายคนคิดว่า ถ้าถูกจับได้ก็ "เซ็นรับไปก่อน แล้วไปหาทนายมาสู้คดีในศาล" แต่ความจริงคือ การเซ็นยอมรับข้อกล่าวหา เป็นการทำให้คดีของคุณแย่ลงตั้งแต่เริ่ม
ภายใต้กฎหมายใหม่ ถ้าคุณเซ็นรับข้อกล่าวหาแล้ว ศาลสามารถใช้คำให้การนี้เป็นหลักฐานในชั้นพิจารณาคดีได้ โดยไม่จำเป็นต้องมีหลักฐานอื่นเพิ่มเติม
ถ้าคุณยอมรับในบันทึกการจับกุมว่า "มีของผิดกฎหมายไว้ครอบครอง" หรือ "ตั้งใจจะขาย" ต่อให้คุณกลับคำให้การในศาล มันก็สายเกินไปแล้ว เพราะศาลจะมองว่าคำให้การแรกสุดที่คุณให้กับตำรวจเป็นสิ่งที่ใกล้เคียงความจริงที่สุด
สถานการณ์: นาย S แพ้คดี เพราะรีบเซ็นยอมรับข้อกล่าวหาโดยไม่ได้อ่านเอกสาร
นาย S ถูกตำรวจจับพร้อมของต้องห้าม ตำรวจบอกเขาว่า "ถ้ายอมรับตอนนี้ ศาลอาจลดโทษให้" นาย S กลัวว่าจะถูกขังนาน จึงเซ็นยอมรับข้อกล่าวหาโดยไม่ได้อ่านรายละเอียด
เมื่อขึ้นศาล ทนายพยายามสู้คดีโดยอ้างว่า นาย S ไม่มีเจตนาเพื่อจำหน่าย แต่ศาลพิจารณาว่า "ผู้ต้องหาเคยเซ็นรับสารภาพไว้ตั้งแต่ต้น" ทำให้คำแก้ต่างของทนายไม่สามารถลบล้างหลักฐานที่นาย S เคยให้การไว้ได้
กฎหมายเกี่ยวกับการให้การรับสารภาพ
ตาม มาตรา 258 ของกฎหมายอาญาฉบับใหม่ 2025 ระบุว่า "คำให้การของผู้ต้องหาในชั้นจับกุมหรือสอบสวน สามารถใช้เป็นหลักฐานในชั้นศาลได้ เว้นแต่มีหลักฐานใหม่ที่พิสูจน์ได้ว่าคำให้การเดิมเป็นเท็จ"
พูดมากไป หรือพูดผิดจังหวะ – คำพูดทุกคำอาจถูกใช้มัดตัวคุณในศาล
คนจำนวนมากมักคิดว่า "ถ้าพูดเยอะๆ ตำรวจอาจเชื่อว่าเราไม่ผิด" แต่ในความเป็นจริง คำพูดทุกคำที่ออกจากปากคุณ อาจถูกนำไปตีความว่ามีความผิดได้
ภายใต้กฎหมายใหม่ 2025 เจ้าหน้าที่สามารถใช้พฤติกรรมทางวาจาของคุณเป็นหลักฐานในการพิจารณาได้ หมายความว่า ถ้าคุณพูดผิดเพียงประโยคเดียว อาจทำให้คุณถูกตีความว่ามีเจตนาเพื่อจำหน่าย
การพูดว่า "แค่มีของไว้ แต่ยังไม่ได้ขาย" อาจถูกนำไปใช้ในศาลว่า "มีของเพื่อรอจำหน่าย" การพูดว่า "รับของมาเก็บไว้ให้เพื่อน" อาจทำให้คุณถูกมองว่า "เป็นส่วนหนึ่งของขบวนการจำหน่าย"
สถานการณ์: นาย T ถูกตัดสินว่ามีความผิดเพราะคำพูดของตัวเอง
นาย T ถูกตำรวจเรียกตรวจค้นและพบของต้องห้ามในรถของเขา ขณะถูกสอบสวน เขาพูดว่า "ผมไม่ได้ขายหรอก ผมแค่ช่วยเก็บไว้ให้คนอื่น"
เจ้าหน้าที่ใช้คำพูดของเขามาเป็นหลักฐานในศาล ศาลพิจารณาว่า "การยอมรับว่าเก็บของต้องห้ามให้บุคคลอื่น ถือเป็นส่วนหนึ่งของขบวนการจำหน่าย" ทำให้เขาถูกตัดสินว่ามีความผิด
กฎหมายเกี่ยวกับคำให้การที่อาจใช้เป็นหลักฐานมัดตัว
ตาม มาตรา 259 ของกฎหมายอาญา 2025 ระบุว่า "พฤติกรรมทางวาจา หรือคำให้การของผู้ต้องหา สามารถใช้เป็นพยานหลักฐานในศาลได้ หากมีความเชื่อมโยงกับการกระทำผิด"
พึ่งพาแต่การให้การของตัวเอง โดยไม่มีหลักฐานสนับสนุน – วิธีแพ้คดีที่เร็วที่สุด
แม้ว่าคุณจะไม่ได้กระทำผิดจริง แต่ถ้าคุณไม่มีหลักฐานสนับสนุน คุณก็อาจแพ้คดีได้ กฎหมาย 2025 อนุญาตให้ศาลพิจารณาคดีจาก พยานหลักฐานที่เป็นรูปธรรมมากกว่าคำพูดของผู้ต้องหา
ถ้าคุณบอกว่าของที่พบ "เป็นของที่คุณใช้ส่วนตัว" แต่ไม่มีหลักฐานที่แสดงว่า คุณซื้อมาด้วยจุดประสงค์นี้ ศาลอาจมองว่าคำพูดของคุณไม่มีน้ำหนักพอที่จะลบล้างข้อกล่าวหาได้
สถานการณ์: นาย U แพ้คดีเพราะไม่มีหลักฐานสนับสนุนข้อแก้ตัวของตัวเอง
นาย U ถูกจับพร้อมของต้องห้าม เขาพยายามบอกศาลว่า "เขาซื้อมาเพื่อใช้เอง ไม่ได้ตั้งใจขาย" แต่ไม่มีใบเสร็จ ไม่มีพยาน ไม่มีหลักฐานที่แสดงว่าเขาใช้ของเหล่านั้นจริง
ศาลพิจารณาว่า "ไม่มีหลักฐานที่ยืนยันได้ว่าผู้ต้องหาไม่มีเจตนาเพื่อจำหน่าย" ทำให้เขาถูกตัดสินว่ามีความผิด
กฎหมายเกี่ยวกับการใช้พยานหลักฐานเพื่อสนับสนุนการพิจารณาคดี
ตาม มาตรา 260 ของกฎหมายใหม่ 2025 ระบุว่า "ศาลสามารถใช้หลักฐานภายนอกเป็นปัจจัยหลักในการพิจารณาคดี และคำให้การของผู้ต้องหาเพียงอย่างเดียวไม่สามารถลบล้างข้อกล่าวหาได้ เว้นแต่จะมีหลักฐานสนับสนุน"
สรุป: อย่าทำพลาดตั้งแต่ต้น ถ้าคุณไม่อยากแพ้คดี
การต่อสู้คดีครอบครองเพื่อจำหน่ายในปี 2025 ยากขึ้นกว่าเดิม เพราะกฎหมายให้อำนาจเจ้าหน้าที่ในการใช้หลักฐานแวดล้อมมากขึ้น สิ่งที่คุณทำ ตั้งแต่วันแรกที่ถูกจับ จะเป็นตัวกำหนดว่าคุณจะรอดหรือไม่
อย่าพูดอะไรที่อาจถูกใช้มัดตัวคุณในศาล อย่าลงลายมือชื่อในเอกสารใดๆ โดยไม่ได้อ่านอย่างละเอียด และถ้าคุณถูกตั้งข้อหา คุณต้องหาหลักฐานมาสนับสนุนคำแก้ต่างของคุณ เพราะคำพูดเพียงอย่างเดียว ไม่สามารถช่วยให้คุณรอดจากคดีได้
หากคุณต้องการทนายที่เชี่ยวชาญในการต่อสู้คดีครอบครองเพื่อจำหน่าย Legardy พร้อมช่วยคุณค้นหาทนายที่มีประสบการณ์สูงสุดในคดีประเภทนี้ เพราะกฎหมายใหม่ปี 2025 ทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไป และคุณต้องรู้วิธีปกป้องตัวเองก่อนที่มันจะสายเกินไป
ปรึกษาทนายตัวจริง
สอบถามได้ทุกเรื่องราวทางกฎหมาย
"โดนโกง โดนประจาน" ปรึกษาได้ในคลิกเดียว
สมัครเป็นทนายออนไลน์
แพล็ทฟอร์มรวบรวม
งานกฎหมายจากทั่วประเทศ



