
ผมเป็นแอดมินและนักเขียนของ Legardy แพลตฟอร์มที่รวบรวมทนายความจากทั่วประเทศ ที่นี่เป็นศูนย์รวมของคำถามทางกฎหมายมากมาย และหนึ่งในหัวข้อที่ถูกถามบ่อยก็คือ "พ่อแม่มีสิทธิ์ในตัวลูกแค่ไหน?"
บางคนเชื่อว่า พ่อแม่มีสิทธิ์เต็มที่ จะทำอะไรก็ได้กับลูก เพราะเป็นผู้ให้กำเนิด
แต่บางคนก็สงสัยว่า แล้วสิทธิ์ของลูกล่ะ? ถ้าพ่อแม่ควบคุมชีวิตทุกอย่าง มันจะถือว่าเกินขอบเขตกฎหมายไหม?
จากที่ผมเห็นในกระทู้ของ Legardy มีหลายกรณีที่พ่อแม่เข้าใจผิดเกี่ยวกับสิทธิ์ของตัวเอง บางคนคิดว่า "ฉันเป็นพ่อแม่ จะตัดสินใจอะไรก็ได้!"
ขณะที่อีกฝ่าย (ลูก) ก็มองว่า "ทำไมพ่อแม่มีสิทธิ์มาควบคุมชีวิตฉันทุกเรื่อง?"
แต่เอาเข้าจริง... พ่อแม่ไม่ได้มีสิทธิ์ในตัวลูกทุกเรื่อง
สิทธิ์ของพ่อแม่ มีขอบเขตตามกฎหมาย และในบางกรณี พ่อแม่อาจทำผิดกฎหมายโดยไม่รู้ตัว เช่น
- พ่อแม่สามารถใช้เงินของลูกได้ไหม?
- พ่อแม่สามารถตีลูกได้หรือเปล่า?
- ลูกสามารถฟ้องพ่อแม่ได้ไหมถ้าถูกละเมิดสิทธิ์?
บทความนี้จะพาคุณไปทำความเข้าใจ "ขอบเขตของสิทธิ์พ่อแม่" กับ "สิทธิ์ของลูก" ตามกฎหมายไทย แบบเข้าใจง่าย
และถ้ามีมาตรากฎหมายที่เกี่ยวข้อง ผมจะนำมาขยายความให้คุณเข้าใจแบบตรงไปตรงมา
พ่อแม่มีสิทธิ์ในตัวลูกแค่ไหน? ได้หรือไม่ได้? และถ้าทำไปแล้วจะผิดกฎหมายหรือไม่? ไปดูกันเลย!
พ่อแม่มีสิทธิ์ในตัวลูกทุกเรื่องจริงหรือ?
พ่อแม่หลายคนมักเข้าใจว่า “ลูกเป็นของเรา เราเลี้ยงดู เรามีสิทธิ์ทุกอย่าง” ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเรียน การใช้เงิน หรือแม้แต่ชีวิตส่วนตัว แต่ในความเป็นจริงแล้ว กฎหมายไทยกำหนดขอบเขตของสิทธิ์พ่อแม่ไว้อย่างชัดเจน
หากพูดตาม กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1566 บิดามารดามีอำนาจปกครองบุตร ซึ่งหมายถึงการดูแล เลี้ยงดู และให้ความคุ้มครอง แต่ไม่ได้หมายความว่าพ่อแม่สามารถ สั่งการหรือควบคุมทุกอย่างในชีวิตลูกได้ อย่างไม่มีขอบเขต
ลองนึกภาพตาม หากเด็กคนหนึ่งเกิดมาแล้วต้องทำทุกอย่างตามที่พ่อแม่บังคับโดยไม่มีทางเลือก ไม่มีสิทธิ์ออกความเห็น ไม่มีเสรีภาพทางความคิด ชีวิตแบบนั้นจะต่างอะไรกับการถูกจองจำ?
แต่ในทางกลับกัน หากให้เด็กมีอิสระเกินไป โดยไม่มีการดูแลจากพ่อแม่เลย ปล่อยให้ตัดสินใจเรื่องสำคัญเองทั้งหมด ก็อาจนำไปสู่ปัญหาตามมา เช่น เด็กไม่มีวินัย หลงผิด หรือถูกเอาเปรียบจากสังคม
กฎหมายจึงกำหนดเส้นแบ่งเอาไว้อย่างชัดเจน พ่อแม่ มีอำนาจปกครองลูก ก็จริง แต่เป็นไปเพื่อ ปกป้อง ดูแล และส่งเสริมอนาคตของลูก ไม่ใช่เพื่อบังคับหรือควบคุมทุกเรื่องตามใจ
กรณี A: พ่อแม่ควบคุมทุกเรื่องของลูก (เกินขอบเขตไหม?)
สมมติว่าเด็กคนหนึ่งต้องเรียนในสายที่พ่อแม่เลือก ต้องแต่งตัวตามที่พ่อแม่ต้องการ ห้ามคบเพื่อนบางคน ห้ามใช้โทรศัพท์มือถือ ต้องกลับบ้านตรงเวลาทุกวันแบบเคร่งครัด และหากไม่ทำตาม พ่อแม่จะลงโทษทันที
ในกรณีนี้ พ่อแม่อาจคิดว่า “ฉันเป็นพ่อแม่ ฉันต้องเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้ลูก”
แต่ถ้ามองตามกฎหมายแล้ว อำนาจปกครองของพ่อแม่ต้องอยู่ภายในกรอบที่เหมาะสม ไม่ใช่การควบคุมโดยละเมิดสิทธิ์ของลูก โดยเฉพาะเมื่อเด็กโตขึ้นและเริ่มมีความคิดของตัวเอง
มาตรา 1567 ระบุไว้ว่า พ่อแม่มีอำนาจกำหนดที่อยู่ อบรมสั่งสอน และจัดการทรัพย์สินของบุตร แต่ต้องเป็นไปเพื่อประโยชน์ของบุตรเป็นหลัก ดังนั้นหากการควบคุมนั้น ไม่ได้ทำให้ลูกมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น หรือทำให้เขาสูญเสียโอกาสในการเติบโตอย่างมีความสุข อาจเข้าข่ายการใช้อำนาจในทางที่ผิด
กรณี B: ลูกมีอิสระเกินไป ไม่มีการควบคุมจากพ่อแม่เลย
ลองคิดกลับกัน ถ้าพ่อแม่ปล่อยลูกเต็มที่ อยากทำอะไรก็ทำ อยากไปไหนก็ไป ไม่จำกัดเวลา ไม่สนใจเรื่องการเรียน หรือแม้กระทั่งปล่อยให้ลูกตัดสินใจเรื่องเงินทองเองทั้งหมด โดยไม่แนะนำหรือให้คำปรึกษา
หลายคนอาจมองว่า "เป็นสิทธิ์ของลูก ถ้าโตพอแล้วก็ควรเลือกเองได้"
แต่จริง ๆ แล้วกฎหมายกำหนดให้พ่อแม่ต้อง ดูแลและปกป้องบุตร อย่างเหมาะสม ไม่ใช่ปล่อยปละละเลย
มาตรา 1564 บัญญัติไว้ว่าพ่อแม่ต้องอุปการะเลี้ยงดูและให้การศึกษาบุตรตามสมควร นั่นหมายความว่า พ่อแม่ต้องให้ความรู้และแนวทางที่ถูกต้อง ไม่ใช่ปล่อยลูกให้ตัดสินใจเองทุกอย่างโดยปราศจากคำแนะนำ
แล้วขอบเขตของสิทธิ์พ่อแม่จริง ๆ อยู่ตรงไหน?
ถ้าสรุปให้เข้าใจง่ายที่สุด พ่อแม่มีอำนาจปกครองลูก แต่ต้องอยู่ในกรอบของกฎหมาย และต้องคำนึงถึงประโยชน์ของลูกเป็นหลัก ไม่ใช่เพื่อความพึงพอใจของตัวเอง
พ่อแม่สามารถ เลือกโรงเรียนให้ลูกได้ แต่ควรคำนึงถึงความชอบของลูกด้วย
พ่อแม่สามารถ กำหนดกฎเกณฑ์ภายในบ้านได้ แต่ต้องไม่ลิดรอนสิทธิขั้นพื้นฐานของลูก
พ่อแม่สามารถ จัดการเงินของลูกได้หากยังไม่บรรลุนิติภาวะ แต่ต้องใช้เพื่อประโยชน์ของลูกเท่านั้น ไม่ใช่เพื่อนำไปใช้ตามใจตนเอง
สรุปแล้ว พ่อแม่ไม่ได้มีสิทธิ์ในตัวลูกทุกเรื่องแบบที่หลายคนเข้าใจผิด
หากทำผิดขอบเขต อาจเข้าข่าย ละเมิดสิทธิเด็ก หรือกระทั่งผิดกฎหมายโดยไม่รู้ตัว
แล้วพ่อแม่มีสิทธิ์อะไรบ้างที่ทำได้จริงตามกฎหมาย?
กฎหมายไทยให้สิทธิ์อะไรกับพ่อแม่บ้าง?
ถ้าพูดตามกฎหมายไทย พ่อแม่ไม่ได้มีสิทธิ์ในตัวลูกแบบเต็มที่เหมือนที่หลายคนเข้าใจผิด แต่มีอำนาจปกครองที่กฎหมายกำหนดเอาไว้เท่านั้น
กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1566 ระบุชัดเจนว่า บิดามารดามีสิทธิ์และหน้าที่ในการเลี้ยงดู อบรมสั่งสอน ให้การศึกษา และดูแลทรัพย์สินของลูก แต่ไม่ได้หมายความว่า พ่อแม่จะตัดสินใจแทนลูกในทุกเรื่องได้
พ่อแม่มีสิทธิ์อะไรบ้างที่กฎหมายให้รองรับ?
หากสรุปง่าย ๆ พ่อแม่มีอำนาจปกครองใน 3 เรื่องหลัก ๆ ได้แก่
- สิทธิ์ในการเลี้ยงดูและกำหนดทิศทางชีวิตของลูก
- สิทธิ์ในการจัดการทรัพย์สินของลูก (เฉพาะกรณีที่ลูกยังไม่บรรลุนิติภาวะ)
- สิทธิ์ในการดูแลความปลอดภัย และตัดสินใจในเรื่องสำคัญของลูก
1. พ่อแม่มีสิทธิ์เลี้ยงดูและกำหนดทิศทางชีวิตของลูกได้แค่ไหน?
ตาม มาตรา 1567 (1) พ่อแม่มีอำนาจกำหนดที่อยู่ของลูก นั่นหมายความว่า พ่อแม่สามารถเลือกได้ว่าลูกจะอยู่ที่ไหน จะอาศัยกับใคร และจะย้ายไปที่ใด
แต่! กฎหมายไม่ได้ให้พ่อแม่มีสิทธิ์ควบคุมแบบเผด็จการ หากลูกโตขึ้นและมีความสามารถตัดสินใจด้วยตัวเอง พ่อแม่ต้อง เคารพความคิดเห็นของลูกด้วย
ตัวอย่างเช่น หากพ่อแม่ต้องการย้ายลูกไปเรียนที่โรงเรียนแห่งหนึ่งโดยไม่ถามความสมัครใจของลูกเลย การกระทำนี้ อาจไม่ผิดกฎหมาย แต่ในทางปฏิบัติ ถือเป็นการละเมิดสิทธิ์ของลูกทางอ้อม
2. พ่อแม่สามารถจัดการทรัพย์สินของลูกได้ไหม?
หลายคนอาจเข้าใจผิดว่า “พ่อแม่สามารถเอาเงินของลูกไปใช้ได้ เพราะยังเป็นผู้เยาว์”
แต่ความจริงแล้ว มาตรา 1574 ระบุชัดว่า พ่อแม่เป็นผู้จัดการทรัพย์สินของลูกได้ก็จริง แต่ต้องเป็นไปเพื่อประโยชน์ของลูกเท่านั้น
สมมติว่าลูกได้รับเงินก้อนหนึ่งเป็นมรดก หรือมีเงินเก็บจากค่าขนม หากพ่อแม่นำเงินนี้ไปใช้ในเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับลูกเลย เช่น ซื้อของใช้ส่วนตัว จ่ายหนี้ หรือใช้ฟุ่มเฟือย ถือว่าผิดกฎหมายทันที
3. พ่อแม่มีสิทธิ์ตัดสินใจเรื่องสำคัญของลูกไหม?
พ่อแม่มีสิทธิ์ตัดสินใจเรื่องสำคัญบางอย่างแทนลูกได้ โดยเฉพาะกรณีที่ลูกยังไม่บรรลุนิติภาวะ เช่น
- การยินยอมให้เข้ารับการรักษาพยาบาล
- การลงชื่อยินยอมให้ทำเอกสารทางกฎหมาย
- การอนุญาตให้แต่งงาน (สำหรับกรณีที่เด็กยังไม่บรรลุนิติภาวะ แต่ต้องได้รับอนุญาตจากศาลด้วย)
แต่! ในบางเรื่อง พ่อแม่ไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจแทนลูกโดยเด็ดขาด เช่น
- การกำหนดเส้นทางอาชีพของลูก
- การบังคับให้แต่งงาน
- การบังคับให้ลูกทำงานเพื่อหาเงินให้ครอบครัว
กฎหมายไทยมองว่า พ่อแม่มีอำนาจในการดูแลลูก แต่ไม่ใช่อำนาจเด็ดขาด ทุกการตัดสินใจต้องอยู่บนพื้นฐานของ ประโยชน์ของลูก เป็นหลัก
สรุปแล้ว... พ่อแม่มีสิทธิ์อะไรบ้างตามกฎหมาย?
พ่อแม่มีสิทธิ์ในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับ การดูแล การศึกษา การปกป้อง และการบริหารจัดการทรัพย์สินของลูก แต่ต้องทำไปเพื่อ ประโยชน์สูงสุดของลูก ไม่ใช่เพื่อตัวพ่อแม่เอง
หากพ่อแม่ใช้อำนาจในทางที่ผิด หรือกระทำการที่ส่งผลเสียต่อชีวิตของลูก เช่น บังคับลูกให้ทำงาน ใช้เงินลูกไปในทางที่ผิด หรือกดดันให้ลูกทำในสิ่งที่ไม่ต้องการ อาจเข้าข่ายการละเมิดสิทธิเด็กได้
พ่อแม่มีสิทธิ์จริง... แต่มีขอบเขต
แล้วถ้าพ่อแม่ใช้อำนาจเกินไป จนละเมิดสิทธิ์ของลูก จะผิดกฎหมายไหม?
ไปดูกันต่อในหัวข้อถัดไปครับ
พ่อแม่มีสิทธิ์เต็มที่กับลูกหรือไม่? หรือมีข้อจำกัดอะไรบ้าง?
ถ้าให้ตอบแบบชัด ๆ พ่อแม่ไม่มีสิทธิ์เต็มที่กับลูกในทุกเรื่อง แม้ว่าจะเป็นผู้ให้กำเนิดและเลี้ยงดูมา แต่ กฎหมายไทยกำหนดขอบเขตของสิทธิ์พ่อแม่ไว้อย่างชัดเจน
พ่อแม่มี "อำนาจปกครอง" ตาม มาตรา 1566 ซึ่งครอบคลุมเรื่องการดูแล เลี้ยงดู ให้การศึกษา และจัดการทรัพย์สินของลูก แต่ต้องอยู่ในกรอบของกฎหมาย และไม่ละเมิดสิทธิ์ของลูกเอง
บางคนเข้าใจผิดว่า "พ่อแม่จะทำอะไรก็ได้ เพราะเป็นผู้ปกครอง" แต่ในความเป็นจริง มีข้อจำกัดหลายอย่างที่พ่อแม่ทำไม่ได้ หรือถ้าทำไปแล้ว อาจผิดกฎหมาย
พ่อแม่มีสิทธิ์เต็มที่กับลูกไหม? ถ้าตีลูก ลงโทษ หรือควบคุมมากเกินไป

คำตอบคือ ไม่ได้เสมอไป!
มาตรา 1567 (2) อนุญาตให้พ่อแม่ "ว่ากล่าวตักเตือนหรือลงโทษบุตรได้ตามสมควร" แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าพ่อแม่สามารถใช้ ความรุนแรงทางร่างกายหรือจิตใจ ได้โดยไม่มีขีดจำกัด
ตัวอย่างที่เข้าข่าย "ลงโทษตามสมควร" เช่น การกำหนดกฎระเบียบภายในบ้าน การทำโทษโดยการให้รับผิดชอบงานบ้าน หรือการควบคุมพฤติกรรมของลูกให้เป็นไปในทางที่ดี
แต่ถ้าพ่อแม่ใช้ ความรุนแรงเกินไป เช่น ตีลูกแรงจนเกิดบาดแผล ขังลูกไว้ในห้อง หรือใช้คำพูดที่ทำร้ายจิตใจลูกซ้ำ ๆ อาจเข้าข่าย ความผิดฐานทำร้ายร่างกาย หรือแม้แต่ ความผิดฐานละเมิดสิทธิเด็ก ตามกฎหมายคุ้มครองเด็ก
พ่อแม่มีสิทธิ์บังคับให้ลูกทำตามที่ตัวเองต้องการหรือไม่?
ไม่ได้!
พ่อแม่สามารถแนะนำและชี้แนะแนวทางชีวิตให้ลูกได้ แต่ไม่มีสิทธิ์บังคับให้ลูกต้องทำทุกอย่างตามใจตัวเอง
ตัวอย่างที่กฎหมายไม่อนุญาตให้พ่อแม่บังคับลูก เช่น
- บังคับให้ลูกเรียนสายอาชีพที่พ่อแม่ต้องการ หากลูกต้องการเรียนในสายที่ตัวเองชอบ พ่อแม่ไม่มีสิทธิ์บังคับให้เรียนอย่างอื่น
- บังคับให้ลูกแต่งงาน ตาม มาตรา 1448 การสมรสต้องเกิดจากความสมัครใจของทั้งสองฝ่าย พ่อแม่ไม่มีสิทธิ์บังคับให้ลูกแต่งงาน แม้ว่าจะยังเป็นผู้เยาว์
- บังคับให้ลูกออกจากโรงเรียนมาหาเงินเลี้ยงครอบครัว พ่อแม่มีหน้าที่ให้การศึกษาตาม มาตรา 1564 ไม่ใช่ใช้ลูกเป็นแหล่งรายได้
พ่อแม่มีสิทธิ์ใช้เงินของลูกได้ไหม?
ขึ้นอยู่กับสถานการณ์
หากลูกยังไม่บรรลุนิติภาวะ พ่อแม่สามารถจัดการทรัพย์สินของลูกได้ตาม มาตรา 1574 แต่ต้องเป็นไปเพื่อ ประโยชน์ของลูกเท่านั้น ไม่ใช่เพื่อนำไปใช้ส่วนตัว
หากพ่อแม่ใช้เงินของลูก โดยที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเลี้ยงดู หรือเพื่อประโยชน์ของตัวเอง เช่น นำไปใช้หนี้ ซื้อของฟุ่มเฟือย หรือให้ผู้อื่น อาจเข้าข่าย ยักยอกทรัพย์ ได้
เมื่อบุตร บรรลุนิติภาวะ (อายุ 20 ปีบริบูรณ์) ทรัพย์สินทั้งหมดของลูก ต้องเป็นของลูกโดยสมบูรณ์ พ่อแม่ไม่มีสิทธิ์แตะต้องอีกต่อไป
ถ้าพ่อแม่ใช้อำนาจเกินไป ลูกสามารถทำอะไรได้บ้าง?
ลูกที่รู้สึกว่าถูกพ่อแม่ ใช้อำนาจเกินขอบเขต หรือถูกละเมิดสิทธิ์ สามารถทำสิ่งต่อไปนี้ได้
- พูดคุยกับพ่อแม่โดยตรง เพื่อให้เข้าใจว่าการกระทำของพ่อแม่กระทบกับชีวิตของลูกอย่างไร
- ปรึกษาผู้ใหญ่ที่ไว้ใจได้ เช่น ครู ผู้ปกครองอื่น หรือญาติ
- ขอความช่วยเหลือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น ศูนย์คุ้มครองเด็กและเยาวชน หรือหน่วยงานภาครัฐ
- หากรุนแรงมาก อาจขอความช่วยเหลือทางกฎหมาย เช่น ฟ้องร้องขอให้พ่อแม่สิ้นสุดอำนาจปกครองในกรณีที่พ่อแม่ทำร้ายร่างกายหรือจิตใจลูก
สรุป พ่อแม่ไม่ได้มีสิทธิ์เต็มที่กับลูกแบบที่หลายคนเข้าใจผิด
พ่อแม่มี สิทธิ์ในการดูแล อบรม และให้การศึกษาลูก แต่ไม่ได้หมายความว่า สามารถควบคุมชีวิตลูกได้ทุกเรื่อง
หากพ่อแม่ใช้อำนาจเกินไป ควบคุมลูกมากเกินไป หรือใช้อำนาจในทางที่ผิด อาจเข้าข่าย ละเมิดสิทธิเด็ก หรือแม้แต่ ผิดกฎหมาย ได้
แล้วลูกล่ะ? มีสิทธิ์อะไรบ้างที่สามารถใช้ได้ตามกฎหมาย?
ไปดูในหัวข้อถัดไปกันครับ!
สิทธิ์ของลูกอยู่ตรงไหน? พ่อแม่มีอำนาจปกครอง แล้วลูกมีสิทธิ์อะไรบ้าง?
หลายคนเข้าใจว่า “เด็กต้องเชื่อฟังพ่อแม่ทุกอย่าง” หรือ “สิทธิ์ของลูกขึ้นอยู่กับพ่อแม่” แต่ความจริงแล้ว กฎหมายไทยให้สิทธิ์เด็กไว้ชัดเจน พ่อแม่อาจมีอำนาจปกครองลูก แต่ลูกเองก็มี สิทธิ์ของตัวเองที่กฎหมายรับรอง
ถ้าให้พูดง่าย ๆ ลูกไม่ใช่ทรัพย์สินของพ่อแม่ พ่อแม่มีหน้าที่ดูแล ไม่ใช่เจ้าของชีวิตของลูก
กฎหมายรับรองสิทธิ์ของลูกไว้อย่างไร?
มาตรา 1564 ระบุว่า บิดามารดามีหน้าที่อุปการะเลี้ยงดูบุตรให้ได้รับการศึกษาและดูแลอย่างสมควร ซึ่งหมายความว่า ลูกมีสิทธิ์ได้รับการดูแล การศึกษา และความคุ้มครอง พ่อแม่ไม่สามารถละเลยหรือปล่อยปละละเลยได้
มาตรา 1567 (2) อนุญาตให้พ่อแม่ทำโทษลูกได้ แต่ต้องไม่เกินสมควร ดังนั้น หากพ่อแม่ลงโทษลูกเกินเหตุ เช่น ตบตีแรงจนเกิดบาดแผล ขังลูกไว้คนเดียว หรือกดดันทางจิตใจรุนแรง อาจถือว่าเป็นการละเมิดสิทธิ์ลูกได้
ลูกสามารถปฏิเสธคำสั่งของพ่อแม่ได้ไหม?
คำตอบคือ ได้ในบางกรณี
กฎหมายไม่ได้กำหนดให้ลูกต้องเชื่อฟังพ่อแม่แบบไม่มีเงื่อนไข ลูกสามารถปฏิเสธคำสั่งพ่อแม่ได้ ถ้าหากคำสั่งนั้น ส่งผลเสียต่อชีวิต หรือเป็นการละเมิดสิทธิ์ของลูกเอง
เช่น
- พ่อแม่ไม่มีสิทธิ์ บังคับให้ลูกเรียนสายอาชีพที่ไม่ต้องการ
- พ่อแม่ไม่มีสิทธิ์ บังคับให้ลูกแต่งงาน
- พ่อแม่ไม่มีสิทธิ์ บังคับให้ลูกทำงานหาเงินมาจุนเจือครอบครัว แทนที่จะได้เรียนหนังสือ
- พ่อแม่ไม่มีสิทธิ์ ขังลูก หรือใช้ความรุนแรงจนลูกได้รับผลกระทบทางจิตใจ
ถ้าพ่อแม่สั่งการสิ่งที่เป็นอันตรายต่อลูก หรือ ขัดต่อสิทธิขั้นพื้นฐาน ลูกสามารถปฏิเสธได้
ลูกสามารถฟ้องพ่อแม่ได้ไหม?
คำตอบคือ ได้! ถ้าพ่อแม่ทำผิดกฎหมาย
โดยเฉพาะกรณีที่พ่อแม่ ทำร้ายร่างกายลูก หรือ ใช้ความรุนแรงทางจิตใจรุนแรงจนกระทบชีวิตลูก สามารถร้องเรียนต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หรือแม้แต่ฟ้องพ่อแม่ในศาลได้
ตัวอย่างที่ลูกสามารถฟ้องพ่อแม่ได้ตามกฎหมาย:
- พ่อแม่ใช้กำลังทำร้ายร่างกาย จนได้รับบาดเจ็บ (ความผิดฐานทำร้ายร่างกาย)
- พ่อแม่บังคับให้ลูกแต่งงาน หรือขายลูกไปแต่งงานกับบุคคลอื่น (เข้าข่ายค้ามนุษย์)
- พ่อแม่ยึดทรัพย์สินของลูก หรือใช้เงินของลูกไปโดยไม่ได้รับอนุญาต (เข้าข่ายยักยอกทรัพย์)
- พ่อแม่ปล่อยให้ลูกอดอาหาร หรือไม่ได้รับการดูแลที่สมควร (เข้าข่ายละเลยเด็กและเยาวชน)
ถ้าลูกถูกกระทำลักษณะนี้ สามารถแจ้งความ หรือร้องเรียนกับศูนย์คุ้มครองเด็กและเยาวชน หรือศาลเยาวชนและครอบครัวได้
ลูกสามารถเลือกที่อยู่อาศัยเองได้ไหม?
ขึ้นอยู่กับอายุของลูก
หากยังไม่บรรลุนิติภาวะ (ยังไม่อายุ 20 ปีบริบูรณ์) ลูกต้องอยู่ภายใต้อำนาจปกครองของพ่อแม่ แต่ถ้าหากลูกโตพอ และมีเหตุผลที่สมควร เช่น ถูกทำร้าย หรือไม่ได้รับการดูแลที่ดี สามารถร้องขอต่อศาลเพื่อขอย้ายไปอยู่กับบุคคลอื่น หรือขอให้อำนาจปกครองของพ่อแม่สิ้นสุดลงได้
พ่อแม่มีสิทธิ์ควบคุมสื่อออนไลน์ของลูกไหม?
ได้บางส่วน แต่ไม่ทั้งหมด
ถ้าลูกยังเป็นผู้เยาว์ พ่อแม่สามารถกำหนดขอบเขตของการใช้สื่อออนไลน์ได้ แต่ไม่มีสิทธิ์ แอบเข้าถึงบัญชีส่วนตัวของลูกโดยไม่ได้รับอนุญาต หรือ โพสต์อะไรในนามลูกโดยพลการ
หากพ่อแม่ใช้อำนาจเกินไป เช่น
- บังคับให้ลูกลบบัญชีโซเชียลทั้งหมดโดยไม่มีเหตุผลสมควร
- ใช้บัญชีลูกโพสต์หรือทำอะไรที่ลูกไม่ยินยอม
- สอดแนมลูกในลักษณะที่ละเมิดความเป็นส่วนตัวมากเกินไป
อาจเข้าข่าย การละเมิดสิทธิความเป็นส่วนตัว ได้
สรุปแล้ว ลูกมีสิทธิ์อะไรบ้างตามกฎหมาย?
ลูกมี สิทธิ์ในการได้รับการดูแลและคุ้มครองจากพ่อแม่ และมี สิทธิ์ปฏิเสธคำสั่งที่ไม่เป็นธรรม หรือขัดต่อกฎหมาย
พ่อแม่อาจมีอำนาจปกครองลูก แต่ลูกเองก็ มีสิทธิขั้นพื้นฐานตามกฎหมายไทยรองรับ เช่น
- สิทธิ์ในการได้รับการศึกษาและเลี้ยงดู
- สิทธิ์ในการเลือกอนาคตตัวเอง (สายอาชีพ การแต่งงาน ฯลฯ)
- สิทธิ์ในการได้รับการปกป้องจากความรุนแรงในครอบครัว
- สิทธิ์ในการปฏิเสธคำสั่งที่เป็นการละเมิดสิทธิ์ของตัวเอง
ถ้าพ่อแม่ใช้อำนาจเกินขอบเขตจนกระทบสิทธิ์ของลูก ลูกสามารถ ร้องเรียนหรือดำเนินการทางกฎหมาย ได้
แล้วถ้ามีกรณีจริงที่พ่อแม่ใช้อำนาจเกินไปเกิดขึ้นแล้ว ศาลพิจารณาอย่างไร?
ไปดูในหัวข้อถัดไปกันครับ!
ตัวอย่างคดีจริงเกี่ยวกับพ่อแม่มีสิทธิ์ในตัวลูกมากแค่ไหน?
หลายคนอาจสงสัยว่า "แล้วศาลเคยตัดสินเรื่องสิทธิ์ของพ่อแม่กับลูกอย่างไร?"
มีหลายกรณีที่พ่อแม่เข้าใจผิดว่า ตัวเองมีสิทธิ์เต็มที่กับลูก แต่เมื่อเรื่องไปถึงศาล กลับพบว่า พ่อแม่บางรายอาจถูกตัดสิทธิ์ หรือแม้แต่ถูกดำเนินคดีทางกฎหมาย
กฎหมายไม่ได้ให้สิทธิ์พ่อแม่แบบไม่มีขอบเขต หากพ่อแม่ใช้อำนาจเกินขอบเขต หรือทำให้ลูกเดือดร้อน ลูกสามารถใช้สิทธิ์ตามกฎหมายเพื่อปกป้องตัวเองได้
กรณีที่ 1: ศาลสั่งให้พ่อแม่หมดสิทธิ์ปกครองลูก เพราะใช้ความรุนแรง
เคสนี้เกิดขึ้นจริงในประเทศไทย กรณีของ เด็กหญิงวัย 14 ปี ที่ถูกพ่อแม่ลงโทษด้วยความรุนแรง
พ่อแม่เข้าใจว่า "เราเลี้ยงลูก เรามีสิทธิ์ทำโทษได้ตามใจ" แต่เมื่อลูกถูกทำร้ายจนต้องเข้าโรงพยาบาล และหน่วยงานคุ้มครองเด็กเข้ามาตรวจสอบ ศาลจึงพิจารณาว่า พ่อแม่ใช้อำนาจในทางที่ผิด
ผลที่เกิดขึ้นคือ ศาลสั่งให้พ่อแม่หมดสิทธิ์ปกครอง และมอบอำนาจปกครองให้ญาติผู้ใหญ่ดูแลแทน
ข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง:
- มาตรา 1566 ระบุว่า พ่อแม่ต้องเลี้ยงดูบุตรโดยไม่ทำร้ายร่างกายหรือจิตใจ
- มาตรา 1567 (2) อนุญาตให้พ่อแม่ลงโทษลูกได้ แต่ต้อง ไม่เกินสมควร
- พ.ร.บ. คุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 ห้ามใช้ความรุนแรงในการเลี้ยงดูเด็ก
สิ่งที่พ่อแม่เข้าใจผิด:
- คิดว่า "ลูกเป็นของเรา เรามีสิทธิ์ทำโทษได้ทุกอย่าง"
- คิดว่า "การตีหรือทำร้ายลูกเป็นเรื่องภายในครอบครัว ไม่มีใครยุ่งได้"
บทเรียนจากคดีนี้:
- พ่อแม่มีสิทธิ์อบรมลูกจริง แต่ไม่ใช่การใช้ความรุนแรง
- หากลงโทษลูกจนเกินไป อาจเข้าข่ายทำร้ายร่างกาย ผิดกฎหมาย และถูกตัดสิทธิ์ปกครองได้
กรณีที่ 2: ลูกฟ้องพ่อแม่ที่เอาเงินไปใช้โดยพลการ และชนะคดี
เคสนี้เคยเกิดขึ้นในประเทศไทย กรณีของ ชายหนุ่มวัย 21 ปี ที่ฟ้องพ่อแม่ตัวเอง เพราะพ่อแม่แอบนำเงินในบัญชีไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต
ตอนที่เขายังเป็นผู้เยาว์ พ่อแม่มีสิทธิ์ดูแลทรัพย์สินของเขาตาม มาตรา 1574 แต่หลังจากอายุ 20 ปี เงินทั้งหมดเป็นของลูกโดยสมบูรณ์ แต่พ่อแม่ยังคงถอนเงินไปใช้ โดยไม่แจ้งให้ลูกทราบ
ผลที่เกิดขึ้นคือ ศาลตัดสินให้ลูกเป็นฝ่ายชนะ และพ่อแม่ต้องคืนเงินทั้งหมด
ข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง:
- มาตรา 1574 ระบุว่า พ่อแม่สามารถจัดการทรัพย์สินของลูกที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ แต่เมื่อบรรลุนิติภาวะแล้ว ทรัพย์สินเป็นของลูกทั้งหมด
- มาตรา 352 ประมวลกฎหมายอาญา ระบุว่า การยักยอกทรัพย์ผู้อื่น รวมถึงบุตรที่บรรลุนิติภาวะแล้ว ถือเป็นความผิดทางอาญา
สิ่งที่พ่อแม่เข้าใจผิด:
- คิดว่า "เงินของลูกก็คือเงินของพ่อแม่ ใช้เมื่อไหร่ก็ได้"
- คิดว่า "ถึงลูกจะบรรลุนิติภาวะแล้ว พ่อแม่ก็ยังมีสิทธิ์จัดการเงินของลูกอยู่"
บทเรียนจากคดีนี้:
- เมื่อบุตรบรรลุนิติภาวะ พ่อแม่ไม่มีสิทธิ์จัดการทรัพย์สินของลูกอีกต่อไป
- หากพ่อแม่แอบถอนเงินลูกโดยพลการ อาจถูกดำเนินคดีทางกฎหมายได้
กรณีที่ 3: ลูกสามารถขอให้ศาลเพิกถอนอำนาจปกครองพ่อแม่ได้ หากถูกละเลยหรือทำร้าย
กรณีนี้เกิดขึ้นจริงกับ เด็กชายวัย 15 ปี ที่ถูกพ่อแม่ละเลย ไม่ส่งเสียให้เรียน และใช้แรงงานเด็ก
เขาไม่ได้รับการศึกษาเหมือนเด็กทั่วไป แต่ต้องทำงานเพื่อช่วยพ่อแม่หาเงินตั้งแต่อายุยังน้อย
เมื่อเขาร้องเรียนไปที่หน่วยงานคุ้มครองเด็ก ศาลจึงพิจารณาว่า พ่อแม่ไม่ได้ปฏิบัติตามหน้าที่ที่กฎหมายกำหนด และมีคำสั่ง เพิกถอนอำนาจปกครองของพ่อแม่
ข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง:
- มาตรา 1564 ระบุว่า พ่อแม่ต้องให้การศึกษาตามสมควรแก่บุตร
- พ.ร.บ. คุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 ห้ามให้เด็กทำงานหนัก หรือทำงานแทนการเรียน
- มาตรา 1574 อนุญาตให้ศาลเพิกถอนอำนาจปกครองของพ่อแม่ หากพ่อแม่ไม่ปฏิบัติตามหน้าที่
สิ่งที่พ่อแม่เข้าใจผิด:
- คิดว่า "ลูกต้องช่วยแบ่งเบาภาระของครอบครัว ถึงจะเป็นลูกที่ดี"
- คิดว่า "การให้ลูกออกจากโรงเรียนเพื่อทำงาน ไม่ใช่เรื่องผิดกฎหมาย"
บทเรียนจากคดีนี้:
- พ่อแม่มีหน้าที่ให้ลูกได้รับการศึกษา การบังคับให้ลูกทำงานแทนการเรียน อาจเข้าข่ายละเมิดสิทธิเด็ก
- หากพ่อแม่ละเลยหน้าที่ของตนเอง ลูกสามารถร้องเรียนและขอให้ศาลพิจารณาเพิกถอนอำนาจปกครองได้
สรุปแล้ว... ศาลพิจารณาเรื่องสิทธิ์ของพ่อแม่กับลูกอย่างไร?
กฎหมายไม่ได้ให้ "พ่อแม่มีสิทธิ์ทุกอย่าง" แบบไม่มีขีดจำกัด หากพ่อแม่ทำผิดกฎหมาย หรือ ใช้อำนาจเกินขอบเขต ศาลสามารถ
- สั่งให้พ่อแม่หมดสิทธิ์ปกครองลูก
- สั่งให้คืนทรัพย์สินที่ใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต
- ตัดสินให้ลูกเป็นฝ่ายชนะ และดำเนินคดีอาญากับพ่อแม่ หากทำผิดกฎหมายร้ายแรง
แล้วพ่อแม่ควรใช้สิทธิ์ในตัวลูกอย่างไรให้ถูกต้อง และไม่เกิดปัญหาทางกฎหมาย?
สรุป – พ่อแม่มีสิทธิ์ในตัวลูกแค่ไหน? และควรใช้อย่างไร?
จากทุกประเด็นที่พูดมา จะเห็นได้ว่า พ่อแม่ไม่ได้มีสิทธิ์ในตัวลูกแบบไม่มีขอบเขต แต่มีอำนาจปกครองตามที่กฎหมายกำหนด และต้องใช้สิทธิ์นั้น เพื่อประโยชน์ของลูก ไม่ใช่เพื่อความพึงพอใจของพ่อแม่เอง
กฎหมายให้สิทธิ์พ่อแม่ ในการเลี้ยงดู อบรม ให้การศึกษา และจัดการทรัพย์สินของลูก แต่ทุกอย่างต้องอยู่ในกรอบของ ความเหมาะสมและไม่ละเมิดสิทธิ์ของลูก
ถ้าพ่อแม่ใช้อำนาจเกินไป เช่น ใช้ความรุนแรง บังคับลูกในเรื่องที่ไม่สมควร หรือใช้ทรัพย์สินของลูกโดยมิชอบ อาจกลายเป็นการละเมิดสิทธิ์ของลูก และอาจมีปัญหาทางกฎหมายตามมาได้
พ่อแม่ควรใช้สิทธิ์อย่างไรให้เหมาะสม?
1. ใช้สิทธิ์ของพ่อแม่ให้เป็นไปเพื่ออนาคตของลูก ไม่ใช่เพื่อควบคุมชีวิตลูก
พ่อแม่สามารถแนะนำแนวทางชีวิตลูกได้ แต่ควรให้ลูก มีสิทธิ์เลือกอนาคตของตัวเอง ไม่ใช่บังคับให้ทำทุกอย่างตามใจพ่อแม่
ถ้าลูกอยากเรียนในสายที่ตัวเองชอบ แต่พ่อแม่บังคับให้เรียนในสายที่พ่อแม่ต้องการ ลูกมีสิทธิ์ปฏิเสธ เพราะกฎหมายไม่ได้ให้พ่อแม่บังคับลูกในเรื่องนี้
2. ลงโทษได้ แต่ต้องไม่เกินขอบเขตของกฎหมาย
มาตรา 1567 (2) อนุญาตให้พ่อแม่ทำโทษลูกได้ แต่ต้องอยู่ในขอบเขตที่สมควร เช่น การตักเตือนหรือการกำหนดบทลงโทษที่ไม่รุนแรง
ถ้าพ่อแม่ใช้ความรุนแรง เช่น ตีลูกจนเกิดบาดแผล กักขัง หรือด่าทอให้เสียศักดิ์ศรี อาจเข้าข่ายการทำร้ายร่างกาย หรือการละเมิดสิทธิเด็ก และอาจมีความผิดทางกฎหมาย
3. ให้คำแนะนำ แต่อย่าละเมิดความเป็นส่วนตัวของลูก
เมื่อเด็กโตขึ้น ย่อมมีชีวิตส่วนตัวของตัวเอง พ่อแม่สามารถสอนและแนะนำได้ แต่ต้องเคารพความเป็นส่วนตัวของลูก
ถ้าพ่อแม่แอบเข้าถึงโทรศัพท์ลูกโดยไม่มีเหตุผล บังคับให้ลบบัญชีโซเชียลโดยไม่ยอมฟังเหตุผล อาจเข้าข่ายการละเมิดสิทธิของลูกได้
4. การจัดการทรัพย์สินของลูก ต้องทำอย่างโปร่งใส และเพื่อประโยชน์ของลูก
หากลูกยังไม่บรรลุนิติภาวะ พ่อแม่สามารถจัดการทรัพย์สินของลูกได้ แต่ต้องใช้เพื่อประโยชน์ของลูกเท่านั้น ไม่ใช่เพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง
เมื่อบุตรอายุ 20 ปีบริบูรณ์ พ่อแม่ไม่มีสิทธิ์แตะต้องทรัพย์สินของลูกอีกต่อไป หากพ่อแม่ยังคงถอนเงินไปใช้โดยพลการ อาจเข้าข่ายความผิดฐานยักยอกทรัพย์ได้
พ่อแม่ต้องจำไว้ว่า… "การเป็นพ่อแม่ไม่ใช่การมีอำนาจเหนือชีวิตลูก"
พ่อแม่มีหน้าที่ให้ลูกเติบโตอย่างมีคุณภาพชีวิตที่ดี ไม่ใช่ใช้ "อำนาจปกครอง" เป็นเครื่องมือบังคับลูกในทุกเรื่อง
- พ่อแม่ที่ดี คือพ่อแม่ที่ใช้สิทธิ์ของตัวเองอย่างเหมาะสม
- พ่อแม่ที่เข้าใจลูก คือพ่อแม่ที่รู้ว่าเมื่อไหร่ควรแนะนำ และเมื่อไหร่ควรปล่อยให้ลูกเรียนรู้เอง
- พ่อแม่ที่เคารพสิทธิของลูก คือพ่อแม่ที่ทำให้ลูกเติบโตมาอย่างมีความสุข และมีความมั่นใจในตัวเอง
ถ้าพ่อแม่ใช้สิทธิ์เกินขอบเขต หรือทำสิ่งที่ละเมิดสิทธิ์ลูก อาจไม่ได้เป็นแค่เรื่องในครอบครัว แต่อาจเป็นเรื่องของกฎหมายด้วย
สุดท้ายนี้...
พ่อแม่มีสิทธิ์ในตัวลูกได้แค่ไหน? คำตอบก็คือ "มีได้ แต่ต้องอยู่ในขอบเขตของกฎหมาย และต้องคำนึงถึงสิทธิของลูกด้วย"
หากพ่อแม่ใช้อำนาจอย่างเหมาะสม ให้ลูกมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ และปกป้องลูกจากอันตราย ครอบครัวจะเป็นพื้นที่ที่อบอุ่น และปลอดภัยที่สุด
แต่ถ้าพ่อแม่ใช้อำนาจในทางที่ผิด ไม่ฟังลูก หรือทำร้ายลูก ลูกเองก็สามารถปกป้องสิทธิ์ของตัวเองตามกฎหมายได้เช่นกัน
บทความนี้ทำให้คุณเข้าใจเรื่องสิทธิ์ของพ่อแม่และลูกมากขึ้นไหม?
ถ้าคุณต้องการคำปรึกษาเพิ่มเติม เกี่ยวกับเรื่องสิทธิ์ของพ่อแม่และลูกตามกฎหมาย สามารถปรึกษาทนายที่มีประสบการณ์ได้ที่ Legardy แพลตฟอร์มที่รวมทนายความจากทั่วประเทศ
ครอบครัวที่ดีไม่ใช่แค่การมีพ่อแม่ที่มีสิทธิ์ในตัวลูก แต่ต้องเป็นครอบครัวที่เคารพและเข้าใจกันด้วย 😊
งานที่มีลิขสิทธิ์คืออะไร? ทำไมต้องสนใจ?
"ถ้าผมแต่งเพลงเอง แต่มีคนเอาไปร้องใน TikTok ได้ล้านวิว ผมจะทำอะไรได้บ้าง?"
"ผมวาดรูปเอง แต่เจอร้านเอาไปพิมพ์ขาย ถ้าผมไม่เคยจดลิขสิทธิ์ ผมทำอะไรได้ไหม?"
นี่คือคำถามที่ผมเห็นบ่อยมากจากผู้ใช้งานบนแพลตฟอร์ม Legardy คนจำนวนไม่น้อยยังคิดว่า "ลิขสิทธิ์" เป็นเรื่องไกลตัว ทั้งที่ความจริงมันอยู่รอบตัวเราทุกวัน ตั้งแต่เพลงที่ฟัง หนังที่ดู ไปจนถึงงานออกแบบที่เราสร้างขึ้นเอง
งานที่มีลิขสิทธิ์คืออะไร?
งานที่มีลิขสิทธิ์ก็คือ "งานสร้างสรรค์" ที่กฎหมายรับรองว่าเป็นของผู้สร้างสรรค์ โดยที่ ไม่ต้องจดทะเบียน แค่คุณสร้างงานขึ้นมา มันก็ได้รับการคุ้มครองโดยอัตโนมัติ ลิขสิทธิ์จะให้สิทธิ์เจ้าของในการควบคุมว่าใครจะทำซ้ำ แก้ไข หรือเผยแพร่งานนั้นต่อสาธารณะ
ถ้าไม่มีลิขสิทธิ์จะเกิดอะไรขึ้น?
ลองนึกภาพว่า คุณแต่งเพลงขึ้นมาเอง แล้ววันหนึ่งมีนักร้องดังนำไปร้องแล้วปล่อยเป็นซิงเกิลใหม่โดยไม่ให้เครดิตคุณ ถ้ากฎหมายลิขสิทธิ์ไม่มีอยู่ คุณก็ไม่มีสิทธิ์เรียกร้องอะไรเลย แต่เพราะลิขสิทธิ์มีอยู่ กฎหมายจึงให้สิทธิ์คุณในการฟ้องร้องเรียกค่าเสียหาย หรือให้เขาหยุดใช้ผลงานของคุณ
📌 มาตรากฎหมายที่เกี่ยวข้อง
ตาม มาตรา 6 ของ พ.ร.บ. ลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 กำหนดไว้อย่างชัดเจนว่า งานที่ได้รับความคุ้มครองลิขสิทธิ์ ได้แก่
งานวรรณกรรม นาฏกรรม ศิลปกรรม ดนตรีกรรม โสตทัศนวัสดุ ภาพยนตร์ สิ่งบันทึกเสียง งานแพร่เสียงแพร่ภาพ และงานอื่น ๆ ในแผนกวรรณคดี วิทยาศาสตร์ หรือศิลปะ
อธิบายง่าย ๆ คือ ถ้างานของคุณ ถูกสร้างขึ้นจากความคิดสร้างสรรค์ของคุณเอง ไม่ใช่แค่คัดลอกงานคนอื่น มันก็ถือว่ามีลิขสิทธิ์
ลิขสิทธิ์, สิทธิบัตร, เครื่องหมายการค้า ต่างกันยังไง?
หลายคนสับสนระหว่าง ลิขสิทธิ์ (Copyright), สิทธิบัตร (Patent) และเครื่องหมายการค้า (Trademark) ซึ่งจริง ๆ แล้วทั้งสามสิ่งนี้คุ้มครอง "ทรัพย์สินทางปัญญา" แต่แตกต่างกัน
- ลิขสิทธิ์ คุ้มครอง งานสร้างสรรค์ เช่น หนังสือ เพลง ภาพวาด ภาพยนตร์ และซอฟต์แวร์
- สิทธิบัตร คุ้มครอง การประดิษฐ์และนวัตกรรม ที่มีความใหม่และเป็นประโยชน์ เช่น เทคโนโลยีใหม่ หรือกระบวนการผลิตใหม่
- เครื่องหมายการค้า คุ้มครอง ชื่อสินค้า โลโก้ หรือสัญลักษณ์ที่ใช้ในเชิงพาณิชย์ เช่น โลโก้ของแบรนด์ดังต่าง ๆ
ถ้าคุณวาดรูปแล้วมีคนเอาไปใช้โดยไม่ขออนุญาต คุณต้องใช้ลิขสิทธิ์
ถ้าคุณคิดค้นอุปกรณ์ใหม่ ๆ แล้วไม่อยากให้ใครลอก คุณต้องขอสิทธิบัตร
ถ้าคุณเปิดร้านแล้วอยากกันคนลอกชื่อร้าน คุณต้องจดเครื่องหมายการค้า
สรุป: ทำไมต้องสนใจเรื่องลิขสิทธิ์?
เพราะมันเป็น สิทธิ์ของคุณ และช่วยให้คุณ ปกป้องผลงานของตัวเอง
ถ้าไม่มีลิขสิทธิ์ คนอื่นอาจนำผลงานของคุณไปใช้โดยที่คุณไม่มีอำนาจเรียกร้องอะไรเลย
และถ้าคุณมีปัญหาหรือต้องการคำแนะนำเกี่ยวกับลิขสิทธิ์ สามารถปรึกษาทนายบน Legardy ได้เลย มีทนายเชี่ยวชาญด้านนี้ที่พร้อมให้คำแนะนำ
ปรึกษาทนายตัวจริง
สอบถามได้ทุกเรื่องราวทางกฎหมาย
"โดนโกง โดนประจาน" ปรึกษาได้ในคลิกเดียว
สมัครเป็นทนายออนไลน์
แพล็ทฟอร์มรวบรวม
งานกฎหมายจากทั่วประเทศ



