7 ขั้นตอนฟ้องยึดทรัพย์ ลูกหนี้หนีไม่พ้น! อ่านก่อนเสียเวลา.png
เผยแพร่เมื่อ: 2025-02-19

สวัสดีครับ ผมเป็นแอดมินของ Legardy แพลตฟอร์มที่รวมทนายจากทั่วประเทศไทย ที่นี่มีคนเข้ามาปรึกษาเกี่ยวกับ “การฟ้องยึดทรัพย์” เยอะมาก ทั้งเจ้าหนี้ที่อยากได้เงินคืน และคนที่กำลังเจอปัญหาถูกฟ้องยึดทรัพย์เอง

เรื่องนี้ไม่ใช่แค่ ฟ้องแล้วรอศาลสั่งยึดทรัพย์ มันมี รายละเอียดเยอะ กว่าที่คิด! มีหลายคนเข้าใจผิด คิดว่าแค่ชนะคดีในศาลแล้วเงินจะไหลเข้าบัญชีเลย ซึ่งไม่จริง เพราะบางครั้งลูกหนี้ไม่มีเงินหรือไม่มีทรัพย์สินให้ยึดเลย!

ในบทความนี้ผมจะเล่าให้ฟัง ทุกขั้นตอนของการฟ้องยึดทรัพย์ ตั้งแต่ เช็กทรัพย์สินลูกหนี้ – ยื่นฟ้องศาล – ขอหมายบังคับคดี – ไปจนถึงขายทอดตลาดทรัพย์สิน และจะอธิบายแบบเข้าใจง่ายที่สุด

 

ฟ้องยึดทรัพย์คืออะไร? เจ้าหนี้ต้องรู้ก่อนเดินเกม

7 ขั้นตอนฟ้องยึดทรัพย์ ลูกหนี้หนีไม่พ้น! อ่านก่อนเสียเวลา (2).png

ปุ่มอ่านเพิ่มเติม
ท่านสามารถอ่านคำปรึกษาจริงได้ที่นี่ อ่านเพิ่มเติม

สั้นๆ เลยนะครับ: ฟ้องยึดทรัพย์ คือ กระบวนการตามกฎหมายที่ให้ เจ้าหนี้ที่ชนะคดีแล้ว สามารถใช้สิทธิ์ บังคับคดี เพื่อ ยึดทรัพย์สินของลูกหนี้ มาขายทอดตลาด และนำเงินมาใช้หนี้

แต่ฟังดูเหมือนง่าย แต่จริงๆ แล้วมันมีขั้นตอนซับซ้อนมาก!

📌 สถานการณ์ตัวอย่าง
A: เจ้าหนี้ที่ฟ้องชนะแล้ว ลูกหนี้ยังไม่จ่าย ต้องทำยังไงต่อ?
B: ลูกหนี้ไม่มีเงินสดให้ แต่มีบ้าน มีรถ สามารถยึดอะไรได้บ้าง?

📜 มาตรากฎหมายที่เกี่ยวข้อง

  • มาตรา 271 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง: กำหนดว่า เมื่อเจ้าหนี้ชนะคดี ศาลจะออกคำพิพากษาบังคับให้ลูกหนี้จ่ายเงินตามคำพิพากษา
  • มาตรา 275 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง: ถ้าลูกหนี้ไม่จ่ายตามคำพิพากษา เจ้าหนี้สามารถยื่นขอหมายบังคับคดีเพื่อยึดทรัพย์สินของลูกหนี้ได้

👉 สรุปสั้นๆ:
ถ้าลูกหนี้ ไม่จ่ายหนี้ตามคำพิพากษา เจ้าหนี้สามารถ ขอให้กรมบังคับคดียึดทรัพย์ของลูกหนี้และขายทอดตลาด เพื่อนำเงินมาใช้หนี้ได้

 

7 ขั้นตอนฟ้องยึดทรัพย์ เจาะลึกทุกจุดที่ต้องระวัง!

ถ้าคุณอ่านมาถึงตรงนี้ แสดงว่าคุณคงมั่นใจแล้วว่าลูกหนี้ของคุณ มีทรัพย์สินให้ยึด และไม่มีการซ่อนหรือโอนหนี ถัดไปคือ ขั้นตอนจริงของการฟ้องยึดทรัพย์ ซึ่งผมจะอธิบายแบบ ชัดเจน ทุกจุดที่เจ้าหนี้ต้องระวัง เพราะถึงแม้คุณจะทำถูกทุกอย่าง แต่พลาดแค่จุดเดียว อาจทำให้เสียเวลาฟ้องฟรี

 

ขั้นตอนที่ 1: เช็กให้ชัวร์ ลูกหนี้ยังอยู่ดีหรือหนีหนี้ไปแล้ว?

ก่อนฟ้องยึดทรัพย์ อย่าเพิ่งไปศาลทันที เพราะบางครั้งลูกหนี้อาจจะย้ายออกจากที่อยู่เดิม หรือมีการเปลี่ยนชื่อบัญชีทรัพย์สินไปแล้ว ถ้าคุณฟ้องโดยไม่เช็กให้แน่ชัด ศาลอาจเรียกตัวลูกหนี้มาแล้วไม่เจอ ทำให้ต้องเสียเวลาตามหากันใหม่

เจ้าหนี้ที่ฉลาดจะ ใช้เวลาก่อนฟ้อง สืบข้อมูลลูกหนี้ให้ครบ ดูว่าลูกหนี้อยู่ที่ไหนตอนนี้ มีงานทำหรือไม่ รายได้เป็นยังไง และทรัพย์สินที่คุณต้องการยึดยังอยู่ในชื่อของลูกหนี้หรือเปล่า

เคสที่เจอบ่อยคือ ลูกหนี้หายตัว เปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์ ลาออกจากงาน หรือย้ายบ้านหนี หากเป็นกรณีนี้ ต้องใช้กฎหมายช่วยสืบข้อมูล ซึ่งสามารถร้องขอต่อศาลให้เรียกข้อมูลจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้

 

ขั้นตอนที่ 2: รวบรวมหลักฐานให้แน่น ก่อนขึ้นศาล

กฎหมายไทยไม่อนุญาตให้คุณฟ้องยึดทรัพย์ได้เลย ถ้ายังไม่มีคำพิพากษาจากศาลก่อน ดังนั้น เอกสารที่คุณต้องมีให้พร้อมก่อนยื่นฟ้อง ได้แก่

  • คำพิพากษาที่ศาลตัดสินแล้วว่าลูกหนี้ต้องชำระหนี้
  • หลักฐานว่าลูกหนี้ไม่จ่ายหนี้ตามคำพิพากษา
  • รายละเอียดเกี่ยวกับทรัพย์สินของลูกหนี้ ที่คุณต้องการให้ศาลสั่งยึด

ถ้าเอกสารไม่ครบ ศาลอาจปัดตกคำร้องของคุณได้ทันที และคุณต้องเริ่มกระบวนการใหม่ทั้งหมด

 

ขั้นตอนที่ 3: ยื่นฟ้องต่อศาล เดินเกมตามกฎหมาย

หลังจากเตรียมเอกสารพร้อมแล้ว เจ้าหนี้ต้องไปยื่นคำร้องต่อ ศาลที่เคยพิจารณาคดีของคุณ เพื่อให้ศาลออกหมายบังคับคดี เจ้าหนี้ต้องระบุในคำร้องว่า ต้องการให้ศาลสั่งยึดทรัพย์อะไรของลูกหนี้ เช่น บ้าน ที่ดิน รถ หรือเงินในบัญชี

เมื่อยื่นคำร้องแล้ว ศาลจะพิจารณาและตรวจสอบว่ามีหลักฐานเพียงพอหรือไม่ ถ้าทุกอย่างถูกต้อง ศาลจะออกหมายบังคับคดีให้ ซึ่งหมายนี้จะถูกส่งไปยังกรมบังคับคดีเพื่อดำเนินการยึดทรัพย์ต่อไป

 

ขั้นตอนที่ 4: ศาลตัดสินแล้ว ต้องทำยังไงต่อ?

ถึงแม้คุณจะได้หมายบังคับคดีแล้ว แต่ไม่ได้หมายความว่าคุณจะได้เงินทันที เพราะหลังจากนี้กรมบังคับคดีจะต้องส่งหมายแจ้งไปยังลูกหนี้ ให้เขารับทราบและมีโอกาสใช้สิทธิ์ในการคัดค้าน

ลูกหนี้บางรายพอรู้ว่าตัวเองกำลังจะถูกยึดทรัพย์ อาจใช้วิธีการดึงเวลา โดยการยื่นอุทธรณ์ หรือเจรจาขอไกล่เกลี่ยกับเจ้าหนี้อีกครั้ง ถ้าคุณต้องการได้เงินเร็ว อย่าหลงกลลูกหนี้ที่พยายามเล่นเกมถ่วงเวลา

 

ขั้นตอนที่ 5: ขอหมายบังคับคดี ใบเบิกทางสู่การยึดทรัพย์

ถ้าลูกหนี้ไม่อุทธรณ์ หรือคัดค้านไม่สำเร็จ กรมบังคับคดีจะเริ่มกระบวนการยึดทรัพย์ ซึ่งหมายความว่า เจ้าหนี้จะได้สิทธิ์ในการขายทอดตลาด ทรัพย์สินของลูกหนี้เพื่อเปลี่ยนเป็นเงิน

แต่ต้องระวัง! บางกรณีที่เจอบ่อยคือ ลูกหนี้ไปยื่นเรื่องขอให้ศาลคุ้มครองทรัพย์สินบางประเภท ทำให้เจ้าหนี้ต้องรอการพิจารณาเพิ่มเติม ซึ่งอาจทำให้กระบวนการบังคับคดีล่าช้าไปอีก

 

ขั้นตอนที่ 6: ยึดทรัพย์แล้ว ลูกหนี้ยังดิ้นได้อีกไหม?

เมื่อถึงขั้นตอนนี้ เจ้าหนี้อาจจะคิดว่า ลูกหนี้หมดหนทางแล้ว แต่จริงๆ แล้วลูกหนี้บางรายยังมีลูกเล่นอีกมากมาย เช่น

  • ยื่นคำร้องต่อศาลขอให้พิจารณาใหม่
  • ร้องเรียนว่าทรัพย์สินที่ถูกยึด ไม่ใช่ของเขาแต่เป็นของบุคคลอื่น
  • ขอให้ศาลพิจารณาว่าทรัพย์สินที่ยึด เป็นทรัพย์สินที่กฎหมายคุ้มครอง ห้ามยึด

ดังนั้นเจ้าหนี้ต้องเตรียมตัวเผื่อไว้ว่า แม้จะถึงขั้นตอนยึดทรัพย์แล้ว กระบวนการอาจยังไม่จบง่ายๆ

 

ขั้นตอนที่ 7: ขายทอดตลาด ยึดทรัพย์แล้วได้เงินคืนเมื่อไหร่?

เมื่อทรัพย์สินถูกยึดแล้ว กรมบังคับคดีจะดำเนินการ ขายทอดตลาด ซึ่งอาจใช้เวลาหลายเดือนถึงหลายปี ขึ้นอยู่กับว่า ทรัพย์สินที่ถูกยึดเป็นประเภทไหน

กรณีที่พบเจอบ่อยคือ ขายทอดตลาดไม่ได้ เช่น บ้านที่อยู่ในทำเลไม่ดี หรือทรัพย์สินที่ไม่มีคนสนใจซื้อ ถ้าเกิดเหตุการณ์นี้ เจ้าหนี้อาจต้องรอ หรือหาวิธีอื่นเพื่อบังคับลูกหนี้ให้จ่ายหนี้คืน

 

กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการฟ้องยึดทรัพย์

มาตรา 271 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
เจ้าหนี้สามารถฟ้องบังคับคดีเพื่อให้ลูกหนี้ชำระหนี้ตามคำพิพากษา

มาตรา 275 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
หากลูกหนี้ไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา ศาลสามารถออกหมายบังคับคดีให้ยึดทรัพย์ได้

มาตรา 286 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
คำพิพากษามีอายุ 10 ปี เจ้าหนี้ต้องดำเนินการภายในระยะเวลานี้

 

ใครบ้างที่สามารถฟ้องยึดทรัพย์ได้? อย่าเสียเวลา ถ้าลูกหนี้อยู่ในกลุ่มนี้!

การ ฟ้องยึดทรัพย์ ไม่ใช่ว่าใครอยากฟ้องก็ฟ้องได้เลย ถ้าจะใช้สิทธิ์ทางกฎหมายให้ได้ผล ต้องเข้าใจก่อนว่า เจ้าหนี้แบบไหนที่มีสิทธิ์ฟ้อง? และ ลูกหนี้แบบไหนที่ฟ้องไปก็เสียเวลาเปล่า? เพราะถึงคุณจะชนะคดี แต่ถ้าฟ้องผิดคน หรือเจอลูกหนี้ประเภทที่ไม่มีอะไรให้ยึดเลย สุดท้ายก็เหมือนเทหนี้ทิ้ง

เจ้าหนี้ที่มีสิทธิ์ฟ้องยึดทรัพย์ ต้องมีอะไรบ้าง?

เจ้าหนี้ที่จะ ฟ้องยึดทรัพย์ลูกหนี้ ได้ต้องเข้าเงื่อนไขตามกฎหมายก่อน ถ้าไม่มีเงื่อนไขเหล่านี้ ฟ้องไปก็ไม่มีประโยชน์ ศาลไม่รับเรื่อง กรมบังคับคดีทำอะไรไม่ได้ หรือที่แย่กว่านั้น ลูกหนี้อาจจะพลิกกลับมาเล่นงานเจ้าหนี้แทน

  • เงื่อนไขแรก: ต้องมีคำพิพากษาให้ลูกหนี้จ่ายเงิน
    คุณจะฟ้องยึดทรัพย์ได้ ก็ต่อเมื่อคุณ ชนะคดีในศาลแล้ว และมีคำพิพากษาระบุให้ลูกหนี้ชำระหนี้ตามกฎหมาย (มาตรา 271, 275 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง) ถ้ายังไม่มีคำพิพากษา ไปฟ้องยึดทรัพย์ไม่ได้เด็ดขาด
  • เงื่อนไขที่สอง: ลูกหนี้ต้องผิดนัดชำระหนี้ตามคำพิพากษา
    แม้คุณจะชนะคดีแล้ว แต่ถ้าลูกหนี้ยังไม่ถึงกำหนดจ่าย หรือศาลให้เวลาผ่อนชำระ แล้วคุณรีบไปยึดทรัพย์ก่อนกำหนด อาจกลายเป็นว่าคุณละเมิดสิทธิ์ของลูกหนี้เอง ดังนั้น การบังคับคดีต้องเกิดขึ้นหลังจากที่ลูกหนี้ เพิกเฉยหรือปฏิเสธที่จะจ่ายเงินตามคำพิพากษา
  • เงื่อนไขที่สาม: ต้องยื่นเรื่องขอหมายบังคับคดีภายใน 10 ปี
    คำพิพากษาของศาล มีอายุ 10 ปี หมายความว่า ถ้าคุณปล่อยให้เวลาผ่านไปนานเกิน 10 ปี โดยไม่ดำเนินการอะไร คำพิพากษานั้นก็หมดอายุและใช้บังคับไม่ได้อีกต่อไป

ลูกหนี้แบบไหนที่ฟ้องยึดทรัพย์ไปก็เสียเวลาเปล่า?

เรื่องที่เจ้าหนี้ทุกคนต้องรู้ก่อนฟ้องคือ "ลูกหนี้ของคุณมีทรัพย์สินให้ยึดหรือไม่?" เพราะต่อให้คุณชนะคดี แต่ถ้าลูกหนี้ไม่มีอะไรให้ยึดเลย หรือยึดไปแล้วขายไม่ได้ มันก็ไม่มีประโยชน์

  • กรณีที่หนึ่ง: ลูกหนี้ไม่มีทรัพย์สินหรือเงินสดเลย
    ถ้าลูกหนี้ไม่มีทรัพย์สิน ไม่มีเงินเดือน ไม่มีรายได้ ไม่มีที่ดิน ไม่มีรถ ไม่มีบัญชีธนาคาร หรือแม้แต่ชื่อในเอกสารทรัพย์สินใดๆ ยึดอะไรไม่ได้เลย เจ้าหนี้ก็คงได้แค่รอจนกว่าลูกหนี้จะมีเงิน
  • กรณีที่สอง: ลูกหนี้โอนทรัพย์สินหนี
    ลูกหนี้บางคนพอรู้ตัวว่ากำลังถูกฟ้อง รีบโอนบ้าน โอนที่ดิน โอนรถ ให้คนอื่นในครอบครัว เพื่อให้ศาลและกรมบังคับคดีหาทรัพย์สินไม่เจอ แล้วสุดท้ายก็ยึดอะไรไม่ได้เลย
  • กรณีที่สาม: ทรัพย์สินของลูกหนี้อยู่ในประเภทที่กฎหมายห้ามยึด
    กฎหมายกำหนดชัดเจนว่า ทรัพย์สินบางประเภทเจ้าหนี้ยึดไม่ได้ เช่น เงินบำนาญ เครื่องมือทำมาหากิน ที่อยู่อาศัยหลักที่มีมูลค่าไม่เกินตามที่กำหนด ดังนั้น อย่าเพิ่งรีบฟ้อง ต้องเช็กให้ดีว่าทรัพย์สินที่ลูกหนี้มีอยู่ สามารถถูกยึดได้จริงหรือเปล่า

ตัวอย่างสถานการณ์ A และ B: ใครยึดทรัพย์ได้ ใครยึดไม่ได้?

  • A: เจ้าหนี้ที่มีสิทธิ์ฟ้องและยึดทรัพย์ได้
    คุณเป็นเจ้าหนี้ที่ฟ้องชนะคดี ลูกหนี้เป็นเจ้าของที่ดินแปลงใหญ่ในจังหวัดเชียงใหม่ มีบ้าน มีรถ มีเงินเดือนประจำ แต่ยังไม่ยอมจ่ายหนี้ คุณสามารถขอศาลออกหมายบังคับคดีเพื่อให้กรมบังคับคดีเข้ายึดที่ดิน รถยนต์ หรือหักเงินเดือนของลูกหนี้ได้
  • B: เจ้าหนี้ที่ฟ้องไปแต่ไม่ได้อะไรเลย
    คุณเป็นเจ้าหนี้ที่ฟ้องชนะคดี แต่ลูกหนี้ไม่มีทรัพย์สินอะไรเป็นของตัวเองเลย บ้านก็เช่าอยู่ รถก็เป็นชื่อญาติ ไม่มีเงินเดือนประจำ มีแต่เงินสดที่เก็บไว้ ไม่มีบัญชีธนาคาร คุณยื่นเรื่องบังคับคดีไป แต่สุดท้าย ยึดอะไรไม่ได้เลย

กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการฟ้องยึดทรัพย์

  • มาตรา 271 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
    ศาลสามารถบังคับให้ลูกหนี้ชำระหนี้ตามคำพิพากษาได้
  • มาตรา 275 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
    ถ้าลูกหนี้ไม่ชำระหนี้ เจ้าหนี้สามารถขอหมายบังคับคดี เพื่อให้กรมบังคับคดีดำเนินการยึดทรัพย์ได้
  • มาตรา 286 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
    เจ้าหนี้ต้องยื่นขอหมายบังคับคดีภายใน 10 ปี หลังจากได้รับคำพิพากษา

 

สำรวจทรัพย์สินก่อนฟ้อง: ลูกหนี้ซ่อนทรัพย์ไว้ไหน?

ผมเห็นคำถามนี้บ่อยมากในกระทู้ของ Legardy "ชนะคดีแล้ว ฟ้องยึดทรัพย์ไปแล้ว แต่สุดท้ายกรมบังคับคดีแจ้งว่า ลูกหนี้ไม่มีทรัพย์สินให้ยึด แบบนี้เจ้าหนี้จะทำยังไงต่อ?"

คำตอบคือ ถ้าคุณไม่อยากเสียเวลา คุณต้องสืบทรัพย์ก่อนฟ้อง เพราะการฟ้องยึดทรัพย์ ไม่ใช่แค่เรื่องกฎหมาย แต่เป็นเรื่องการวางแผน ถ้าฟ้องไปโดยไม่รู้ว่าลูกหนี้มีทรัพย์สินอะไร อาจจะเจอเคสที่ยึดอะไรไม่ได้เลย หรือแย่กว่านั้น ลูกหนี้อาจจะ "ย้ายทรัพย์" ไปก่อนที่คุณจะฟ้อง

ก่อนฟ้อง เจ้าหนี้ต้องมั่นใจก่อนว่า ลูกหนี้ยังมีทรัพย์สินให้ยึด หรืออย่างน้อยต้องรู้ว่าทรัพย์สินเหล่านั้นอยู่ที่ไหน และถูกซ่อนไว้หรือเปล่า

 

ลูกหนี้มีทรัพย์อะไรให้ยึดได้บ้าง?

ถ้าให้พูดแบบตรงไปตรงมา ทรัพย์สินที่สามารถถูกยึดได้นั้น ต้องเป็นทรัพย์สินที่อยู่ในชื่อของลูกหนี้เอง และต้องเป็นทรัพย์ที่กฎหมายอนุญาตให้ยึดได้

เช่น

  • ที่ดิน บ้าน คอนโด หรืออสังหาริมทรัพย์อื่นๆ ที่เป็นของลูกหนี้
  • รถยนต์หรือยานพาหนะที่จดทะเบียนในชื่อลูกหนี้
  • เงินเดือน รายได้จากธุรกิจ หรือเงินในบัญชีธนาคาร
  • หุ้นในบริษัท หรือทรัพย์สินที่มีมูลค่าทางการเงิน
  • เครื่องประดับ ของมีค่าต่างๆ

แต่กฎหมายก็ไม่ได้ให้เจ้าหนี้ "ยึดได้ทุกอย่าง" ถ้าทรัพย์สินที่ต้องการยึดอยู่ในกลุ่มของ ทรัพย์สินที่กฎหมายคุ้มครอง ก็ไม่สามารถยึดมาใช้หนี้ได้ เช่น

  • ที่อยู่อาศัยหลักของลูกหนี้ที่มีมูลค่าไม่เกินเกณฑ์ที่กำหนด
  • เครื่องมือทำมาหากิน หรืออุปกรณ์ที่ลูกหนี้ใช้ประกอบอาชีพ
  • เงินบำนาญ หรือเงินที่ได้รับจากสวัสดิการรัฐ

เรื่องนี้ต้องดูให้ดี เพราะถ้าไปฟ้องขอยึดทรัพย์ผิดประเภท ศาลก็ไม่อนุมัติให้ยึด แถมเจ้าหนี้ยังต้องเสียค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีอีก

 

ถ้าลูกหนี้ "ซ่อนทรัพย์" จะตามหายังไง?

เคสที่ผมเจอบ่อยมากจากกระทู้ของ Legardy คือ ลูกหนี้พอรู้ว่าถูกฟ้อง ก็รีบโอนทรัพย์สินไปให้ญาติพี่น้อง หรือสร้างธุรกรรมปลอมขึ้นมาเพื่อให้ทรัพย์สินหายไปจากชื่อของตัวเอง

ตัวอย่างที่เห็นบ่อยๆ เช่น

  • โอนบ้านให้พ่อแม่ หรือให้ภรรยา สามี ถือกรรมสิทธิ์แทน
  • เปลี่ยนชื่อเจ้าของรถยนต์ให้เป็นชื่อพี่น้อง
  • ถอนเงินจากบัญชีธนาคารทั้งหมดไปซ่อนไว้
  • ตั้งบริษัทใหม่แล้วโยกทรัพย์สินไปที่บริษัทแทน

ถ้าเจอเคสแบบนี้ เจ้าหนี้ก็ยังมีทางสู้ แต่ต้องใช้กฎหมายให้เป็น

 

เจอลูกหนี้โอนทรัพย์หนี ฟ้องเพิกถอนได้ไหม?

กฎหมายไทยไม่ได้เปิดช่องให้ลูกหนี้โอนทรัพย์หนีเจ้าหนี้ได้ง่ายๆ ถ้าเจ้าหนี้สามารถพิสูจน์ได้ว่า ลูกหนี้จงใจโอนทรัพย์เพื่อหนีหนี้ เจ้าหนี้สามารถ ฟ้องเพิกถอนการโอนทรัพย์สินได้

ตาม มาตรา 237 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ระบุว่า
"ถ้าลูกหนี้ได้โอนทรัพย์สินให้บุคคลอื่นโดยมีเจตนาทุจริต และส่งผลให้เจ้าหนี้ไม่ได้รับชำระหนี้ เจ้าหนี้สามารถฟ้องเพิกถอนการโอนทรัพย์สินนั้นได้"

แปลเป็นภาษาคนก็คือ ถ้าลูกหนี้โอนบ้าน โอนรถ ให้คนอื่นโดยตั้งใจหนีหนี้ ศาลสามารถสั่งให้การโอนนั้นเป็นโมฆะ และให้กรมบังคับคดีนำทรัพย์นั้นกลับมายึดขายทอดตลาดเพื่อชำระหนี้

แต่ต้องเข้าใจก่อนว่า การฟ้องเพิกถอนการโอนทรัพย์ต้องมีหลักฐานชัดเจน และต้องดำเนินคดีภายใน 1 ปีนับจากวันที่เจ้าหนี้รู้ว่ามีการโอนทรัพย์สินเกิดขึ้น หรือ ภายใน 10 ปี นับจากวันที่โอน ไม่งั้นหมดสิทธิ์

 

ถ้าลูกหนี้ไม่มีอะไรให้ยึดเลย จะทำยังไงต่อ?

คำถามนี้เป็นคำถามที่เจ้าหนี้หลายคนต้องเจอ เพราะบางครั้ง ถึงแม้จะชนะคดี แต่ลูกหนี้ไม่มีทรัพย์สินจริงๆ หรือมีแต่มันอยู่ในประเภทที่ยึดไม่ได้ เจ้าหนี้ควรทำอย่างไร?

วิธีแก้ปัญหามีอยู่ 3 ทางเลือกหลักๆ

หนึ่ง: รอให้ลูกหนี้มีทรัพย์สินในอนาคต
หนี้ที่มีคำพิพากษาสามารถบังคับคดีได้ ภายใน 10 ปี ถ้าตอนนี้ลูกหนี้ไม่มีอะไรให้ยึดเลย ก็อาจรอดูอีกสักระยะ เพราะถ้าลูกหนี้กลับมามีรายได้ในอนาคต เจ้าหนี้ก็สามารถใช้สิทธิ์ยึดทรัพย์ได้

สอง: สืบหาทรัพย์สินให้ละเอียดขึ้น
บางครั้งลูกหนี้อาจจะไม่ได้ไม่มีทรัพย์สิน แต่เจ้าหนี้ยังสืบได้ไม่ลึกพอ มีกรณีที่ลูกหนี้ซ่อนเงินไว้ในชื่อคนอื่น หรือใช้บัญชีของคนในครอบครัว ดังนั้นการใช้บริการนักสืบทรัพย์สิน หรือขอให้ศาลมีคำสั่งเรียกดูข้อมูลจากธนาคารก็เป็นอีกทางเลือก

สาม: ทำข้อตกลงใหม่กับลูกหนี้
ถ้าฟ้องไปแล้วยึดอะไรไม่ได้เลย การเจรจาอาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่า บางครั้งลูกหนี้เองก็ไม่ได้อยากเป็น "คนเบี้ยวหนี้" แต่เพราะตอนนี้ไม่มีเงินจ่ายจริงๆ การเจรจาผ่อนชำระ หรือขอให้ลูกหนี้หาเงินกู้มาปิดหนี้ อาจเป็นวิธีที่ทำให้เจ้าหนี้ได้เงินคืนเร็วกว่าการรอคอย

 

กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการสืบทรัพย์และเพิกถอนการโอนทรัพย์

มาตรา 237 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
เจ้าหนี้สามารถฟ้องเพิกถอนการโอนทรัพย์สินของลูกหนี้ได้ หากพิสูจน์ได้ว่ามีเจตนาทุจริตในการหนีหนี้

มาตรา 286 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
คำพิพากษาของศาลสามารถใช้บังคับคดีได้ ภายใน 10 ปี

 

ปัญหาที่เจ้าหนี้ต้องเจอ ฟ้องยึดทรัพย์แล้วใช่ว่าจะได้เงิน!

7 ขั้นตอนฟ้องยึดทรัพย์ ลูกหนี้หนีไม่พ้น! อ่านก่อนเสียเวลา (3).png

จากที่เห็นในกระทู้ของ Legardy หลายคนคิดว่า ชนะคดีแล้ว ฟ้องยึดทรัพย์แล้ว ก็ต้องได้เงินคืนแน่ๆ แต่ในความเป็นจริง กระบวนการหลังยึดทรัพย์นั้นมีอุปสรรคเพียบ ไม่ใช่ว่า ยึดวันนี้ พรุ่งนี้ได้เงิน บางคนรอเป็นปี ทรัพย์สินก็ยังขายไม่ออก หรือเจอลูกหนี้ที่ใช้ทุกวิถีทางเพื่อดึงเกมถ่วงเวลา

ถ้าเจ้าหนี้ไม่มีความรู้ อาจติดอยู่ในวังวนของการรอคอยไปเรื่อยๆ จนหมดอายุความ ดังนั้น ในบทความนี้ผมจะมาเล่าปัญหาที่เจ้าหนี้ต้องเจอ และ วิธีแก้เกมให้ได้เงินเร็วที่สุด

 

 

ฟ้องยึดทรัพย์แล้ว แต่ไม่ได้เงินเลย ทำไม?

ปัญหานี้เจอบ่อยมาก และมันเกิดได้จากหลายสาเหตุ บางกรณีไม่ใช่ความผิดของเจ้าหนี้เลย แต่เป็นเพราะ ระบบกฎหมายและช่องโหว่ที่ลูกหนี้ใช้เพื่อถ่วงเวลา

  • กรณีแรก: ลูกหนี้ไม่มีทรัพย์สินให้ยึดจริงๆ
    ฟ้องไป ศาลสั่งยึดทรัพย์แล้ว แต่กรมบังคับคดีแจ้งกลับมาว่า ไม่มีทรัพย์สินใดๆ ที่สามารถยึดได้ นี่เป็นสถานการณ์ที่เจ้าหนี้เจอมากที่สุด และไม่มีทางแก้ไข นอกจากรอให้ลูกหนี้มีทรัพย์สินในอนาคต

บางคนอาจคิดว่า "ถ้าลูกหนี้ไม่มีทรัพย์สิน ทำไมเขายังใช้ชีวิตปกติได้?" นั่นเพราะลูกหนี้บางคน ใช้ทรัพย์สินในชื่อคนอื่น เช่น บ้านเป็นชื่อพ่อแม่ รถเป็นชื่อแฟน เงินเดือนก็โอนไปเข้าบัญชีของญาติพี่น้อง แทนที่จะใช้บัญชีตัวเอง

  • กรณีที่สอง: ลูกหนี้โอนทรัพย์สินหนี แต่เจ้าหนี้ไม่รู้ตัวเร็วพอ
    มีหลายเคสที่ลูกหนี้ รู้ตัวว่ากำลังถูกฟ้อง จึงรีบโอนทรัพย์สินออกจากชื่อของตัวเองไปให้บุคคลอื่น เช่น ให้พ่อแม่ ญาติ หรือแม้แต่สร้างนิติบุคคลขึ้นมาแล้วเอาทรัพย์สินไปไว้ในบริษัทแทน

ถ้าเจ้าหนี้มารู้ตัวหลังจากการโอนเสร็จสิ้นไปแล้ว ก็ยังพอมีทางสู้ เจ้าหนี้สามารถใช้สิทธิ์ ฟ้องเพิกถอนการโอนทรัพย์สินได้ ตามมาตรา 237 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ซึ่งศาลจะพิจารณาว่า การโอนนั้นมีเจตนาทุจริตหรือไม่

แต่ต้องรีบดำเนินการภายใน 1 ปี นับจากวันที่เจ้าหนี้รู้ว่ามีการโอนทรัพย์สิน ถ้าเกิน 1 ปีไปแล้ว ฟ้องไม่ได้

 

ยึดทรัพย์แล้ว ทำไมยังขายทอดตลาดไม่ได้?

อีกปัญหาหนึ่งที่เจ้าหนี้ต้องเจอคือ ทรัพย์สินถูกยึดแล้ว แต่ขายทอดตลาดไม่ได้ เพราะไม่มีใครซื้อ หรือมูลค่าต่ำกว่าหนี้ที่ลูกหนี้เป็นอยู่

ตัวอย่างเคสที่เกิดขึ้นจริง:
เจ้าหนี้ฟ้องยึดทรัพย์ และศาลสั่งให้ยึดบ้านของลูกหนี้เพื่อนำไปขายทอดตลาด แต่พอขายจริง ไม่มีใครมาซื้อ เพราะบ้านอยู่ในทำเลที่ไม่ดี หรือมีภาระผูกพันอื่นๆ เช่น ค่าธรรมเนียมที่ต้องจ่ายเพิ่มเติมสูง

ถ้าทรัพย์สินขายไม่ออก เจ้าหนี้ก็ต้องรอ และในบางกรณี ศาลอาจต้องสั่งลดราคาขายทอดตลาดลงเรื่อยๆ จนกว่าจะมีคนซื้อ ซึ่งอาจใช้เวลาหลายเดือน หรือเป็นปี

 

ลูกหนี้อุทธรณ์ คัดค้าน ยืดเวลายึดทรัพย์

อย่าคิดว่าลูกหนี้จะยอมให้ยึดทรัพย์ไปง่ายๆ เพราะพวกเขาสามารถ ยื่นอุทธรณ์หรือคัดค้านคำสั่งศาลได้ โดยอ้างเหตุผลต่างๆ เช่น

  • ทรัพย์สินที่ถูกยึดนั้น เป็นของบุคคลอื่น ไม่ใช่ของลูกหนี้
  • การประเมินมูลค่าทรัพย์สินที่ใช้ขายทอดตลาด ต่ำเกินไป ไม่เป็นธรรม
  • ขอใช้สิทธิ์เจรจาขอผ่อนชำระหนี้ เพื่อยืดเวลาออกไปให้ได้นานที่สุด

บางคนถึงขั้นยอม เสียค่าธรรมเนียมศาลเพื่อยื่นเรื่องคัดค้านทุกกระบวนการ เพื่อให้กระบวนการยึดทรัพย์เดินหน้าช้าที่สุด

 

วิธีรับมือ: ทำยังไงให้ได้เงินคืนเร็วที่สุด?

การฟ้องยึดทรัพย์ ไม่ควรหวังเพียงให้กฎหมายทำงานของมันเอง เจ้าหนี้ต้องรู้จักใช้กลยุทธ์ให้เป็น เพื่อให้ได้เงินคืนเร็วขึ้น

1. สืบทรัพย์สินก่อนฟ้องให้ลึกที่สุด
ก่อนจะฟ้อง ต้องแน่ใจว่าลูกหนี้มีทรัพย์สินที่สามารถยึดได้จริง ตรวจสอบ อสังหาริมทรัพย์ บัญชีธนาคาร หุ้น หรือรายได้ของลูกหนี้ เพื่อให้มั่นใจว่า ถ้าฟ้องแล้ว ยึดทรัพย์ได้แน่นอน

2. ถ้ารู้ว่าลูกหนี้โอนทรัพย์สินหนี ต้องรีบฟ้องเพิกถอน
หากลูกหนี้โอนทรัพย์สินออกจากชื่อของตัวเอง อย่าปล่อยผ่าน ต้องรีบยื่นฟ้องเพิกถอนภายใน 1 ปี ตามมาตรา 237 ไม่งั้นจะหมดสิทธิ์ทวงคืน

3. ถ้าทรัพย์สินขายทอดตลาดไม่ได้ ให้เจรจากับลูกหนี้โดยตรง
หากทรัพย์สินขายทอดตลาดไม่ออก บางครั้งเจรจาโดยตรงกับลูกหนี้อาจได้ผลเร็วกว่า เช่น ให้ลูกหนี้หาคนซื้อทรัพย์สินเอง แล้วนำเงินมาจ่ายหนี้

4. ถ้าลูกหนี้ใช้วิธีคัดค้าน ต้องเตรียมทีมกฎหมายให้พร้อม
ถ้าลูกหนี้พยายามใช้กระบวนการทางกฎหมายเพื่อดึงเวลา เจ้าหนี้ต้องเตรียมทนายที่มีประสบการณ์ เพื่อโต้แย้งและเร่งรัดกระบวนการ

 

กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับปัญหาหลังยึดทรัพย์

มาตรา 237 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
ถ้าลูกหนี้โอนทรัพย์สินโดยเจตนาหลบหนีหนี้ เจ้าหนี้สามารถฟ้องเพิกถอนการโอนภายใน 1 ปี

มาตรา 286 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
ถ้าฟ้องยึดทรัพย์แล้ว แต่ไม่มีการบังคับคดีภายใน 10 ปี คำพิพากษาจะหมดอายุ

 

ค่าธรรมเนียมฟ้องยึดทรัพย์ ต้องใช้เงินแค่ไหน?

เรื่องที่เจ้าหนี้มักไม่ค่อยคิดถึงตอนฟ้องก็คือ "ต้นทุนในการฟ้อง" หลายคนเข้าใจว่าชนะคดีแล้ว จะได้เงินคืนเต็มจำนวนทันที แต่ในความเป็นจริง กระบวนการฟ้องยึดทรัพย์ต้องใช้เงินก่อน ซึ่งหากคำนวณไม่ดี สุดท้ายอาจกลายเป็นขาดทุนมากกว่าที่จะได้เงินคืน

ผมเห็นหลายกรณีจากกระทู้ของ Legardy ที่เจ้าหนี้ฟ้องไป แต่ต้องยอมถอนฟ้องกลางคัน เพราะค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายต่างๆ สูงกว่าหนี้ที่ต้องการทวงคืน สุดท้ายต้องยอมปล่อยให้ลูกหนี้ลอยนวลไปแบบฟรีๆ

ในหัวข้อนี้ ผมจะอธิบายว่าคุณต้อง ใช้เงินเท่าไหร่ ตั้งแต่วันแรกที่เริ่มฟ้องจนถึงวันสุดท้ายของการบังคับคดี และจะมีวิธีไหนที่ช่วยลดค่าใช้จ่ายได้บ้าง

 

ค่าธรรมเนียมศาล คิดเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ของยอดหนี้?

ตาม พระราชบัญญัติค่าธรรมเนียมศาล พ.ศ. 2525 การฟ้องยึดทรัพย์ต้องเสีย ค่าธรรมเนียมศาล ซึ่งคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ของยอดหนี้ที่ต้องการเรียกคืน

  • หนี้ไม่เกิน 300,000 บาท → ค่าธรรมเนียม 2% ของยอดหนี้ แต่ต้องไม่น้อยกว่า 1,000 บาท
  • หนี้เกิน 300,000 บาท แต่ไม่เกิน 50,000,000 บาท → ค่าธรรมเนียม 1% ของยอดหนี้
  • หนี้เกิน 50,000,000 บาท → ค่าธรรมเนียมไม่เกิน 500,000 บาท

ตัวอย่างเช่น ถ้าฟ้องลูกหนี้ที่เป็นหนี้ 1,000,000 บาท ค่าธรรมเนียมศาลที่ต้องจ่ายคือ 10,000 บาท

 

ค่าทนาย คิดเป็นกี่เปอร์เซ็นต์?

ถ้าเจ้าหนี้ไม่มีความรู้ด้านกฎหมาย การจ้างทนายความเป็นสิ่งจำเป็น เพราะกระบวนการฟ้องยึดทรัพย์มีความซับซ้อน และหากยื่นฟ้องผิด อาจเสียเวลาฟ้องซ้ำ

ค่าจ้างทนายขึ้นอยู่กับความซับซ้อนของคดี

  • คดีหนี้ต่ำกว่า 1,000,000 บาท → ค่าทนายประมาณ 10,000 - 50,000 บาท
  • คดีหนี้ 1,000,000 - 5,000,000 บาท → ค่าทนายประมาณ 50,000 - 100,000 บาท
  • คดีหนี้สูงกว่า 10,000,000 บาท → ค่าทนายอาจสูงถึง 300,000 บาทขึ้นไป

บางกรณี ทนายอาจคิดค่าใช้จ่ายแบบ "Success Fee" หรือค่าบริการที่จ่ายเมื่อคดีสำเร็จ โดยคิดเป็น 10 - 30% ของเงินที่เจ้าหนี้ได้รับคืน

 

ค่าธรรมเนียมบังคับคดี และค่าใช้จ่ายอื่นๆ

การบังคับคดีไม่ได้ฟรี หลังจากศาลมีคำสั่งให้ยึดทรัพย์ เจ้าหนี้ต้องเสียค่าธรรมเนียมเพิ่มเติมให้กับกรมบังคับคดี

  • ค่าธรรมเนียมขอหมายบังคับคดี → 500 - 1,000 บาท
  • ค่าธรรมเนียมยึดทรัพย์ → 5,000 - 10,000 บาท (ขึ้นอยู่กับจำนวนทรัพย์สิน)
  • ค่าธรรมเนียมขายทอดตลาด → 3% ของราคาทรัพย์สินที่ขายได้

ตัวอย่างเช่น ถ้ายึดบ้านของลูกหนี้ไปขายทอดตลาดได้ 3,000,000 บาท เจ้าหนี้ต้องเสียค่าธรรมเนียมขายทอดตลาดประมาณ 90,000 บาท

 

รวมค่าใช้จ่ายทั้งหมด ก่อนฟ้องต้องคิดให้ดี!

ถ้าคิดเป็นตัวเลขกลมๆ เจ้าหนี้ที่ต้องการยึดทรัพย์ ต้องเตรียมงบประมาณไม่น้อยกว่า 20,000 - 50,000 บาท ในคดีทั่วไป และ อาจสูงถึง 200,000 - 500,000 บาทในคดีใหญ่

ดังนั้น ก่อนฟ้องควรคิดให้ดีว่า "คุ้มค่าหรือไม่?" บางกรณี ถ้ายอดหนี้ไม่สูงมาก อาจไม่คุ้มที่จะฟ้อง เพราะค่าใช้จ่ายสูงกว่าหนี้ที่ต้องการทวงคืน

 

ถ้าค่าใช้จ่ายสูงเกินไป เจ้าหนี้มีทางเลือกอะไรบ้าง?

หากคุณต้องการฟ้องยึดทรัพย์ แต่กังวลว่า ค่าใช้จ่ายสูงเกินไป ยังมีอีกหลายทางเลือกที่อาจช่วยลดภาระได้

หนึ่ง: ใช้บริการไกล่เกลี่ยก่อนฟ้อง
ปัจจุบันกรมบังคับคดีมีบริการ "ไกล่เกลี่ยหนี้ก่อนฟ้อง" ซึ่งช่วยให้เจ้าหนี้และลูกหนี้สามารถเจรจากันได้โดยไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมศาล บางกรณีเจ้าหนี้อาจได้เงินเร็วกว่า โดยไม่ต้องรอให้คดีจบ

สอง: ขอให้ศาลยกเว้นค่าธรรมเนียม
ในบางกรณี หากเจ้าหนี้มีหลักฐานว่าตัวเอง มีปัญหาทางการเงิน สามารถยื่นคำร้องขอยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลได้ ตามมาตรา 152 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

สาม: รวมกลุ่มเจ้าหนี้ฟ้องพร้อมกัน
หากลูกหนี้ติดหนี้หลายคน เจ้าหนี้สามารถรวมกลุ่มกันฟ้องในคดีเดียวกัน เพื่อลดค่าธรรมเนียมศาล และทำให้กระบวนการบังคับคดีมีประสิทธิภาพมากขึ้น

 

กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับค่าธรรมเนียมการฟ้องยึดทรัพย์

พระราชบัญญัติค่าธรรมเนียมศาล พ.ศ. 2525
กำหนดอัตราค่าธรรมเนียมศาล คิดเป็นเปอร์เซ็นต์ของยอดหนี้

มาตรา 152 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
เจ้าหนี้สามารถขอยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลได้ หากมีหลักฐานว่าไม่สามารถจ่ายได้จริง

ฟ้องยึดทรัพย์ไม่ใช่คำตอบเดียว – เจ้าหนี้ต้องวางแผนให้ดี!

หลังจากที่เราเดินเรื่องมาตลอดตั้งแต่ การสืบทรัพย์สิน – การยื่นฟ้อง – การยึดทรัพย์ – ไปจนถึงการขายทอดตลาด คุณคงเห็นแล้วว่า กระบวนการฟ้องยึดทรัพย์มีรายละเอียดมากกว่าที่คิด ไม่ใช่แค่เดินเข้าไปศาล ฟ้อง แล้วได้เงินคืนทันที

ในทางกฎหมาย เจ้าหนี้มีสิทธิ์เรียกร้องเงินคืนแน่นอน แต่ในทางปฏิบัติ ไม่ใช่ทุกเคสที่เจ้าหนี้จะได้เงินคืนจริง เพราะลูกหนี้บางราย ไม่มีทรัพย์สินให้ยึด หรือ ใช้ช่องโหว่ทางกฎหมายเพื่อถ่วงเวลา ดังนั้น ก่อนตัดสินใจฟ้อง คุณต้องคิดให้รอบคอบก่อนว่า "มันคุ้มหรือไม่?"

ปุ่มอ่านเพิ่มเติม
ปรึกษาทนายกับ Legardy ฟรี ปรึกษาเลย

คุณควรฟ้องยึดทรัพย์หรือไม่? เช็กให้ชัวร์ก่อนเดินเกม!

✅ ถ้าลูกหนี้มีทรัพย์สินชัดเจน เช่น บ้าน ที่ดิน รถยนต์
→ ฟ้องยึดทรัพย์อาจเป็นทางเลือกที่คุ้มค่า แต่ต้องเตรียมเงินสำหรับค่าธรรมเนียมต่างๆ

✅ ถ้าลูกหนี้ไม่มีทรัพย์สินอะไรเลย
→ ฟ้องไปก็ไม่มีอะไรให้ยึด อาจต้องรอให้ลูกหนี้มีเงินในอนาคต หรือใช้วิธีอื่นแทน

✅ ถ้าลูกหนี้มีรายได้ประจำ และทำงานในบริษัท
→ แทนที่จะฟ้องยึดทรัพย์ อาจใช้วิธีอายัดเงินเดือนลูกหนี้ได้เลย ซึ่งทำให้ได้เงินเร็วกว่า

✅ ถ้าหนี้ไม่เยอะ และไม่อยากเสียค่าธรรมเนียมฟ้องศาล
→ ลองใช้วิธี ไกล่เกลี่ย หรือขายหนี้ให้บริษัททวงหนี้ แทน อาจได้เงินเร็วขึ้น

Legardy ช่วยคุณได้ – ปรึกษาทนายก่อนฟ้อง

 

ปรึกษาทนายตัวจริง

สอบถามได้ทุกเรื่องราวทางกฎหมาย

"โดนโกง โดนประจาน" ปรึกษาได้ในคลิกเดียว

ทนายพร้อมให้คำปรึกษาตลอด 24 ชม.
4.8/5
รีวิวจากผู้ใช้งานจริงมากกว่า 16000 รีวิว
sanook ข่าวสด มติชน spring
cta
ปรึกษาทนาย 24 ชั่วโมง
“ ได้รับคำตอบทันที ! “
ติดต่อเราทาง LINE