คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 937/2518
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 420, 425, 887
จำเลยที่ 3 จ้าง ซ. ขนอิฐไปส่งให้โจทก์ ซ. ใช้รถยนต์บรรทุกขนอิฐไป โดยจำเลยที่ 1 เป็นคนขับ จำเลยที่ 1 ขับรถด้วยความประมาทชนรถจี๊ปของโจทก์เสียหายและพนักงานของโจทก์บาดเจ็บจำเลยที่ 3 เป็นเพียงผู้ขายอิฐให้โจทก์ จึงไม่ต้องรับผิด จำเลยที่ 4 เป็นผู้รับประกันภัยค้ำจุนรถยนต์บรรทุกคันนั้นกับ ซ. ต้องรับผิดใช้ค่าเสียหายร่วมกับจำเลยที่ 1 ให้แก่โจทก์ด้วยถึงแม้ว่าโจทก์จะไม่ได้ฟ้องเรียกค่าเสียหายจาก ซ. แต่กลับมาฟ้องจำเลยที่ 2 โดยอ้างว่าจำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างหรือผู้แทนของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 4 ก็หาหลุดพ้นจากความรับผิดตามสัญญาที่ได้ทำไว้กับ ซ. ไม่ เพราะโจทก์ผู้ต้องเสียหายชอบที่จะได้รับค่าสินไหมทดแทนจากจำเลยที่ 4 ได้โดยตรงอยู่แล้ว ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 887 วรรคสอง
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างขับรถยนต์เลขทะเบียน ส.บ.02038 ของจำเลยที่ 2 หรือบุคคลอื่นที่เข้ามาร่วมกิจการกับจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 3 เป็นผู้ว่าจ้างจำเลยที่ 2 ขนอิฐบล๊อก ซี.เอ็ม เป็นประจำ จำเลยที่ 4 เป็นผู้รับประกันวินาศภัยรถยนต์คันดังกล่าว
เมื่อวันที่ 17 เมษายน 2518 จำเลยที่ 1 ได้ขับรถยนต์คันดังกล่าวบรรทุกอิฐบล๊อก ซี.เอ็ม ของจำเลยที่ 3 ไปส่งที่โรงงานของโจทก์ จำเลยที่ 1 ขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ชนรถยนต์จี๊ปหมายเลขทะเบียน ก.ท.ฐ-3837 ของโจทก์ที่นายวันชัย นรามณฑล ขับสวนมา เสียหายเป็นเงิน 38,000 บาท นายสำราญได้รับบาดเจ็บรวมเป็นเงินค่าเสียหายทั้งสิ้น 42,880 บาท ขอให้ศาลบังคับจำเลยทั้งสี่ใช้ค่าเสียหายดังกล่าวพร้อมทั้งดอกเบี้ย
จำเลยที่ 1 ที่ 4 ขาดนัดยื่นคำให้การและจำเลยที่ 1 ขาดนัดพิจารณาด้วย
จำเลยที่ 2 ให้การว่าไม่ได้เป็นเจ้าของรถหมายเลขทะเบียน ส.บ.02038 และไม่ได้นำรถคันดังกล่าวไปประกันภัยกับจำเลยที่ 4 จำเลยที่ 1 ไม่ใช่ลูกจ้างของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 ไม่เคยขนอิฐบล๊อก ซี.เอ็ม ให้จำเลยที่ 3 เหตุที่รถชนกันเป็นเพราะความประมาทของพนักงานของโจทก์ รถยนต์โจทก์เสียหายไม่เกิน 15,000 บาท นายสำราญมิได้มอบหมายให้โจทก์ฟ้อง โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 3 ให้การว่าไม่มีส่วนในการละเมิด รถชนกันเพราะความประมาทของพนักงานโจทก์ ค่าซ่อมรถจี๊ป ไม่ถึง 2,000 บาท โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เพราะไม่ได้เป็นผู้เสียหาย
ในวันสืบพยานโจทก์แถลงว่า รถคันเกิดเหตุเป็นรถของบุคคลภายนอกซึ่งเข้ามาร่วมกิจการขนส่งของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 จึงต้องรับผิดจำเลยที่ 1 ไม่ใช่ลูกจ้างของจำเลยที่ 2 แต่เป็นลูกจ้างของบุคคลที่เป็นเจ้าของรถคันนั้น จำเลยที่ 2, 3 และ 4 ยอมรับว่าโจทก์มอบอำนาจให้นายดนัยฟ้องคดีนี้
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าเสียหาย 12,380 บาทพร้อมทั้งดอกเบี้ยร้อยละ 7 ครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ 17 เมษายน 2513 ไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาได้ตรวจประชุมปรึกษาแล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์ซื้ออิฐบล๊อก ซี.เอ็ม จากจำเลยที่ 3 จำเลยที่ 3 ได้จ้างนายเซี้ยงแซ่ตั้ง ขนอิฐไปส่งให้โจทก์ นายเซี้ยง ใช้รถยนต์บรรทุกเลขทะเบียน ส.บ.02038 ขนอิฐ โดยจำเลยที่ 1 เป็นคนขับ จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์ด้วยความประมาทชนรถจี๊ป เลขทะเบียนก.ท.ฐ-3837 ของโจทก์เสียหายนายสำราญที่นั่งมาในรถยนต์จี๊ป ได้รับบาดเจ็บ คดีมีประเด็นจะต้องวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1 จะต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้โจทก์เพียงใด จำเลยที่ 2, 3 และ 4 จะต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์หรือไม่
ประเด็นข้อแรกเรื่องความเสียหายนั้น เห็นว่าที่ศาลล่างทั้งสองกำหนดค่าเสียหายให้โจทก์ 10,000 บาท เป็นจำนวนที่สมควรแล้ว
ประเด็นเรื่องจำเลยที่ 2, 3 และ 4 จะต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์หรือไม่นั้น จำเลยนำสืบว่ารถยนต์บรรทุกคันที่เกิดเหตุเป็นของนายเซี้ยง โจทก์เองก็ได้แถลงรับต่อศาลว่ารถยนต์คันนี้ไม่ใช่ของจำเลยที่ 2 ข้อเท็จจริงในเรื่องนี้เป็นอันฟังได้ตามที่จำเลยสืบปัญหาคงมีต่อไปว่านายเซี้ยง ได้เอารถยนต์คันนี้เข้าร่วมกิจการขนส่งกับจำเลยที่ 2 ดังที่โจทก์ฟ้องหรือไม่ ข้อนี้โจทก์สืบไม่ได้ ทางจำเลยมีนายเซี้ยง เจ้าของรถ และนายสำราญ วงศ์วรรณ ผู้จัดการ จำเลยที่ 3 มาสืบฟังได้ว่า จำเลยที่ 3 ไม่เคยติดต่อจ้างจำเลยที่ 2 ขนอิฐบล๊อก แต่จ้างนายเซี้ยง ดังนี้ จำเลยที่ 2 จึงไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการขนส่งรายนี้แต่อย่างใด ส่วนจำเลยที่ 3 นั้นเป็นเพียงผู้ขายอิฐบล๊อกให้โจทก์ จึงไม่ต้องรับผิด คนที่ต้องรับผิดก็คือนายเซี้ยง ผู้รับจ้างขนอิฐบล๊อกไปส่งให้โจทก์ ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่าจำเลยที่ 2 ที่ 3 ไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์จึงชอบแล้ว แต่สำหรับจำเลยที่ 4 ผู้รับประกันภัยค้ำจุนรถยนต์บรรทุกเลขทะเบียน ส.บ.02038กับนายเซี้ยง นั้น ถึงโจทก์จะไม่ได้ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากนายเซี้ยง จำเลยที่ 4 ก็หาหลุดพ้นจากความรับผิดตามสัญญาที่ได้ทำกับนายเซี้ยง ไม่ เพราะโจทก์ผู้ต้องความเสียหายชอบจะได้รับค่าสินไหมทดแทนจากจำเลยที่ 4 ได้โดยตรงอยู่แล้วดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 887 วรรคสอง ฎีกาโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้น
พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้จำเลยที่ 4 รับผิดชดใช้ค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ยรวมทั้งค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นแก่โจทก์ร่วมกับจำเลยที่ 1 ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น กับใช้ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ฎีกาแก่โจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 2 ศาล รวม 500 บาท ให้โจทก์ใช้ค่าทนายชั้นฎีกา 300 บาทแทน จำเลยที่ 2 ส่วนจำเลยที่ 3 ไม่ยื่นคำแก้ฎีกาจึงไม่กำหนดค่าทนายความให้ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
หมายเลขคดีดำศาลฎีกา nan
แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ชื่อคู่ความ โจทก์ - บริษัท ไทยพลาสติกและเคมีภัณฑ์ จำกัด โดยนายดนัย แผ่อารยะ ผู้รับมอบอำนาจ จำเลย - นายแกละ (ไม่ทราบนามสกุล) ที่ 1 กับพวกรวม 4 คน
ชื่อองค์คณะ อุดม ทันด่วน พิชัย รชตะนันทน์ ชุ่ม สุนทรธัย
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ที่ตัดสิน nan