คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9/2518
ประมวลกฎหมายอาญา ม. 177, 180 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 1713, 1716, 1718
คดีร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกประเด็นในคดีมีว่า ผู้ร้องเป็นทายาทหรือผู้มีส่วนได้เสียที่จะมีสิทธิยื่นคำร้องขอต่อศาลหรือไม่ มีเหตุที่จะแต่งตั้งผู้จัดการมรดกหรือไม่ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1713 และผู้ร้องเป็นบุคคลต้องห้ามที่จะเป็นผู้จัดการมรดกตามมาตรา 1718 หรือไม่ส่วนที่ว่าเจ้ามรดกมีทายาทกี่คน ทรัพย์มรดกมีเท่าไรนั้นมิใช่ข้อสำคัญในคดี ดังนั้น แม้ผู้ร้องจะเบิกความเกี่ยวกับจำนวนทายาทหรือแสดงหลักฐานทรัพย์มรดกไม่ตรงต่อความจริงไปบ้าง ก็ไม่มีมูลความผิดฐานเบิกความเท็จ หรือแสดงหลักฐานเท็จตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177,180
คดีฟ้องขอถอดถอนผู้จัดการมรดกประเด็นในคดีอยู่ที่ว่าผู้จัดการมรดกปฏิบัติหน้าที่ผู้จัดการมรดกตามกฎหมายหรือไม่ซึ่งหน้าที่ผู้จัดการมรดกนี้เริ่มต้นแต่ศาลมีคำสั่งแต่งตั้งตามมาตรา 1716 ดังนั้น แม้ผู้จัดการมรดกจะเบิกความเท็จในคดีดังกล่าวว่าไม่รู้ตัวทายาทของเจ้ามรดกบางคนในขณะที่ยื่นคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกก็ตาม ก็ไม่ใช่ข้อสำคัญในคดี จึงไม่มีมูลความผิดฐานเบิกความเท็จตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เบิกความเท็จในข้อสารสำคัญของคดี ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 2884/2512 ซึ่งจำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกของนายฮั่งยิ้ม แซ่เบ๊ กับในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 7186/2514 ซึ่งจำเลยที่ 1ถูกฟ้องถอดถอนจากการเป็นผู้จัดการมรดก และจำเลยที่ 1 ทำบัญชีทรัพย์มรดกยื่นต่อศาลไม่ครบถ้วนโดยจงใจยักยอกทรัพย์สินกองมรดก นอกจากนี้จำเลยทั้ง 5 ยังร่วมกันแจ้งความเท็จต่อนายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกลาง เพื่อจะฉ้อโกงทรัพย์มรดกดังกล่าว ทำให้โจทก์ทั้งสองและน้องของโจทก์อีกสามคนเสียหายขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137, 177, 180, 341, 352353, 354, 83, 84, 86, 91
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วมีคำสั่งว่า คดีโจทก์มีมูลเฉพาะข้อหาแจ้งความเท็จตามมาตรา 137 ข้อหานอกนั้นไม่มีมูลให้ยกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ขอให้สั่งว่าคดีโจทก์มีมูลในฐานเบิกความเท็จและแสดงหลักฐานเท็จตามมาตรา 177, 180 ด้วย
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1 ได้เบิกความต่อศาลในคดีที่จำเลยที่ 1ร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกของนายฮั่งยิ้ม แซ่เบ๊ ผู้ตายว่า นายฮั่งยิ้มมีทายาท6 คน และมีทรัพย์มรดกประมาณ 790,000 บาท ความจริงนายฮั่งยิ้มมีบุตรอื่นกับนางนิภาอีก 5 คน ซึ่งเป็นทายาทของนายฮั่งยิ้มเช่นเดียวกัน และนายฮั่งยิ้มผู้ตายมีทรัพย์มรดกประมาณ 2,400,000 บาท และจำเลยที่ 1 เบิกความในคดีที่นางนิภาเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ขอให้ถอดถอนจากการเป็นผู้จัดการมรดกต่อศาลแพ่งว่าจำเลยที่ 1 เพิ่งทราบว่า โจทก์กับน้องอีก 3 คนเป็นทายาทนายฮั่งยิ้มหลังจากถูกฟ้องแล้ว ซึ่งความจริงจำเลยที่ 1 ทราบก่อนแล้ว กับเมื่อจำเลยที่ 1ยื่นบัญชีทรัพย์ในกองมรดกของนายฮั่งยิ้มก็ทำไม่ถูกต้อง มีรายการทรัพย์ไม่ครบดังนี้ เห็นว่าในคดีซึ่งจำเลยที่ 1 ร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกประเด็นในคดีมีว่าจำเลยเป็นทายาทหรือผู้มีส่วนได้เสียที่จะมีสิทธิยื่นคำร้องขอต่อศาลหรือไม่มีเหตุที่จะแต่งตั้งผู้จัดการมรดกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1713 หรือไม่ และจำเลยเป็นบุคคลต้องห้ามที่จะเป็นผู้จัดการมรดกตามมาตรา 1718 หรือไม่ ส่วนที่ว่าเจ้ามรดกมีทายาทกี่คน ทรัพย์มรดกมีเท่าไรนั้น แม้จำเลยจะเบิกความหรือแสดงหลักฐานไม่ตรงต่อความจริงไปบ้างก็หาใช่ข้อสำคัญในคดีไม่และสำหรับคดีที่จำเลยที่ 1 ถูกฟ้องขอถอดถอนออกจากการเป็นผู้จัดการมรดกนั้นประเด็นในคดีอยู่ที่ว่า จำเลยปฏิบัติผิดหน้าที่ผู้จัดการมรดกตามกฎหมายหรือไม่ ซึ่งหน้าที่ผู้จัดการมรดกนี้เริ่มต้นแต่ศาลมีคำสั่งแต่งตั้งตามมาตรา 1716 ดังนั้น แม้จำเลยจะเบิกความเท็จในคดีดังกล่าวว่า จำเลยไม่รู้ตัวทายาทของเจ้ามรดกบางคนในขณะที่จำเลยร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกก็ตาม ก็ไม่ใช่ข้อสำคัญในคดีเช่นเดียวกันการกระทำของจำเลยที่ 1 ยังไม่มีมูลความผิดฐานแสดงหลักฐานเท็จหรือเบิกความเท็จ
พิพากษายืน
หมายเลขคดีดำศาลฎีกา nan
แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ชื่อคู่ความ โจทก์ - นางสาวนงเยาว์ กรุงวงศ์ กับพวก จำเลย - นายจุ้นเฮี้ยง แซ่ตั้ง กับพวก
ชื่อองค์คณะ ชุ่ม สุนทรธัย สัญชัย สัจจวานิช แผ้ว ศิวะบวร
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ที่ตัดสิน nan