สารบัญ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8408/2540

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8408/2540

ประมวลรัษฎากร ม. 118 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 120, 126, 192

แม้โจทก์บรรยายฟ้องผิดไปว่า บริษัทฮ. เป็นผู้เสียหายก็ตามแต่ทางพิจารณาได้ความว่า บริษัทส.เป็นผู้เสียหายการดำเนินกระบวนพิจารณาชั้นผัดฟ้องฝากขังก็ระบุชื่อผู้เสียหายถูกต้องมาแต่แรก ดังนี้ ถือว่าเป็นข้อผิดพลาดเล็กน้อย และข้อแตกต่างดังกล่าวมิใช่สาระสำคัญ ทั้งจำเลยไม่หลงข้อต่อสู้เพราะไม่ติดใจสืบพยาน ศาลจึงลงโทษจำเลยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 192 วรรคสองกรณีมิใช่เป็นเรื่องทางพิจารณาได้ความแตกต่างในสาระสำคัญที่ศาลต้องพิพากษายกฟ้องตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 192 วรรคสอง ตราสารใดที่ไม่ปิดแสตมป์บริบูรณ์ตามประมวลรัษฎากรมาตรา 118 นั้น จะใช้เป็นพยานหลักฐานไม่ได้เฉพาะคดีแพ่งเท่านั้น ไม่รวมถึงคดีอาญาด้วย ดังนี้การที่ผู้เสียหายทำหนังสือให้ ฐ. ผู้รับมอบอำนาจไปแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนเกี่ยวกับเช็คเรียกเก็บเงินไม่ได้ แม้หนังสือดังกล่าวจะปิดอากรแสตมป์ 10 บาท ก็ตาม แต่เมื่อไปแจ้งความตามหนังสือดังกล่าวแล้ว กรณีเป็นการมอบอำนาจให้ร้องทุกข์และเมื่อมีการร้องทุกข์ที่ชอบด้วยกฎหมายแล้ว พนักงานสอบสวนจึงมีอำนาจสอบสวน และพนักงานอัยการโจทก์มีอำนาจฟ้องคดีนี้

เนื้อหาฉบับเต็ม

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2537 เวลากลางวันจำเลยกระทำความผิดต่อกฎหมายหลายกรรมต่างกัน คือ จำเลยออกเช็คของธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) 2 ฉบับ ลงวันที่ 10 ธันวาคม 2537 สั่งจ่ายเงินจำนวน 99,612 บาท และลงวันที่ 13 ธันวาคม 2537 สั่งจ่ายเงินจำนวน 43,800 บาท ให้แก่บริษัทเฮ้งชัยเทรดดิ้ง (1981) จำกัด ผู้เสียหาย เพื่อชำระหนี้ค่าซื้อสินค้า ซึ่งเป็นหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมาย แต่ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินโดยให้เหตุผลอย่างเดียวกันทั้ง 2 ฉบับ ว่าบัญชีปิดแล้วการกระทำของจำเลยเป็นการออกเช็คโดยเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คและออกเช็คโดยในขณะที่ออกไม่มีเงินอยู่ในบัญชีอันจะฟังให้ใช้เงินตามเช็คได้ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คพ.ศ. 2534 มาตรา 4 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91

จำเลยให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 กระทงแรก จำเลย 8 เดือน กระทงที่สองจำคุก 4 เดือน รวมจำคุก 12 เดือน

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยฎีกาข้อแรกว่า บริษัทเฮ้งชัยเทรดดิ้ง (1981) จำกัด ซึ่งเป็นชื่อผู้เสียหายตามที่โจทก์ฟ้อง แตกต่างจากที่ได้ความตามทางพิจารณาซึ่งชื่อว่าบริษัทเฮ้งชัยแสงเทรดดิ้ง (1981) จำกัด อันเป็นการแตกต่างในสาระสำคัญตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสอง ต้องพิพากษายกฟ้อง กรณีไม่ใช่เป็นการพิมพ์ชื่อผิดพลาดตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยนั้น เห็นว่าแม้ข้อเท็จจริงที่โจทก์บรรยายฟ้องว่า บริษัทเฮ้งชัย เทรดดิ้ง (1981) จำกัด เป็นผู้เสียหายแต่ทางพิจารณาได้ความว่า บริษัทเฮ้งชัยแสงเทรดดิ้ง (1981) จำกัด เป็นผู้เสียหายถือว่าเป็นข้อผิดพลาดเล็กน้อยทั้งไม่ปรากฏว่ามีชื่อนิติบุคคลทั้งสองชื่อดังกล่าวต่างหากแยกจากกัน เชื่อว่าเป็นบริษัทเดียวกัน การดำเนินกระบวนพิจารณาชั้นผัดฟ้องฝากขังก็ระบุชื่อผู้เสียหายถูกต้องมาแต่แรกดังนี้ ข้อแตกต่างดังกล่าวจึงมิใช่สาระสำคัญและจำเลยไม่หลงข้อต่อสู้เพราะไม่ติดใจสืบพยาน ศาลจึงลงโทษจำเลยได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสอง

ปัญหาสุดท้ายที่จำเลยฎีกาว่า ใบมอบอำนาจที่ผู้เสียหายมอบอำนาจแก่นางสาวฐิยากร เอ้งฉ้วน ตามเอกสารหมาย ป.จ.6 ปิดอากรแสตมป์เพียง 10 บาท ไม่ชอบตามประมวลรัษฎากร เพราะระบุว่าแจ้งความเกี่ยวกับเช็คเรียกเก็บเงินไม่ได้ เพียงแต่ให้แจ้งความหมายถึงแจ้งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทราบไว้เป็นหลักฐานเท่านั้น ถือว่าไม่มีการมอบอำนาจให้ร้องทุกข์ในคดีความผิดต่อส่วนตัว พนักงานสอบสวนจึงไม่มีอำนาจสอบสวนนั้น เห็นว่า ประมวลรัษฎากร มาตรา 118 บัญญัติว่า"ตราสารใดไม่ปิดแสตมป์บริบูรณ์จะใช้ เป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งไม่ได้" ตามบทบัญญัติดังกล่าวตราสารใดที่ไม่ปิดแสตมป์บริบูรณ์จะใช้เป็นพยานหลักฐานไม่ได้เฉพาะคดีแพ่งเท่านั้น ไม่รวมถึงคดีอาญาด้วย เมื่อผู้เสียหายมอบอำนาจให้นางสาวฐิยากรผู้รับมอบอำนาจไปแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนเกี่ยวกับเช็คเรียกเก็บเงินไม่ได้ ตามหนังสืออำนาจเอกสารหมาย ป.จ.6 แม้หนังสือดังกล่าวจะปิดอากรแสตมป์10 บาท แต่นางสาวฐิยากรก็ไปแจ้งความตามหนังสือดังกล่าวด้วยกรณีเป็นการมอบอำนาจให้ร้องทุกข์และมีการร้องทุกข์ที่ชอบด้วยกฎหมายแล้ว พนักงานสอบสวนจึงมีอำนาจสอบสวน และโจทก์มีอำนาจฟ้องคดีนี้

พิพากษายืน

หมายเลขคดีดำศาลฎีกา nan

แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ชื่อคู่ความ โจทก์ - พนักงานอัยการ จังหวัด กำแพงเพชร จำเลย - นาย วิริยะ ยิ่ง นิยม

ชื่อองค์คณะ พิธี อุปปาติก ไพศาล รางชางกูร ผล อนุวัตรนิติการ

ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ที่ตัดสิน nan

ข้อจำกัดความรับผิดชอบ: ข้อมูลเหล่านี้อาจไม่ใช่เวอร์ชันล่าสุด รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจมีข้อมูลที่เป็นปัจจุบันหรือแม่นยำกว่า เราไม่รับประกันหรือรับประกันเกี่ยวกับความถูกต้อง ความสมบูรณ์ หรือความเพียงพอของข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้หรือข้อมูลที่เชื่อมโยงกับเว็บไซต์ของรัฐ โปรดตรวจสอบแหล่งที่มาอย่างเป็นทางการ
ข้อมูลอ้างอิงจากเว็บไซต์ : www.krisdika.go.th, deka.supremecourt.or.th
ติดต่อเราทาง LINE