สารบัญ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 817/2543

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 817/2543

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 142 ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 286

ในคดีแพ่งคู่ความไม่จำเป็นต้องยกบทกฎหมายขึ้นมากล่าวอ้างในคำฟ้องหรือคำให้การ เพียงแต่กล่าวอ้างข้อเท็จจริงก็พอแล้ว ศาลย่อมมีอำนาจยกบทกฎหมายขึ้นมาปรับแก่คดีตามข้อเท็จจริงที่พิจารณาได้ความได้ เมื่อคดีนี้โจทก์กล่าวไว้ในคำฟ้องว่าโจทก์ซื้อที่ดินที่ น. จัดสรร เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ดังที่โจทก์กล่าวอ้างไว้ในคำฟ้องและฟังได้ว่าที่ดินพิพาท น. ซื้อมาเพื่อทำเป็นทางให้ผู้ซื้อที่ดินจากการจัดสรรใช้เป็นทางเข้าออกสู่ทางสาธารณะ การที่ศาลล่างทั้งสองยกเอาบทกฎหมายคือ ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 286 มาปรับกับข้อเท็จจริงที่พิจารณาได้ความแล้ววินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทตกเป็นภารจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์ตามประกาศของคณะปฏิวัติฉบับดังกล่าว จึงไม่ใช่เป็นการพิพากษานอกจากที่ปรากฏในคำฟ้อง

เนื้อหาฉบับเต็ม

โจทก์ทั้งสองฟ้องขอให้บังคับจำเลยนำเอาทางภารจำยอมซึ่งมีความกว้าง8 เมตร ยาว 70 เมตร ในที่ดินโฉนดเลขที่ 25503 ตำบลกระทุ่มล้ม อำเภอสามพรานจังหวัดนครปฐม ไปจดทะเบียนภารจำยอมเรื่องทางเดินต่อเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดนครปฐม สาขาสามพราน หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนา และให้จำเลยรื้อถอนด่านเก็บเงินที่กีดขวางทางเดินภารจำยอมดังกล่าว

จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การ ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 25503 ตำบลกระทุ่มล้ม อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม ตามแผนที่เอกสารหมาย จ.12 ตกเป็นทางภารจำยอมของที่ดินโฉนดเลขที่ 33005, 32994 และ 32995 ตำบลกระทุ่มล้ม อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม ให้จำเลยรื้อถอนด่านเก็บเงินที่กีดขวางทางภารจำยอม

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "ที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์ทั้งสองฟ้องว่าได้ภารจำยอมโดยการใช้ทางเดิน 10 ปี ไม่ได้บรรยายหรือกล่าวอ้างเกี่ยวกับประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 286 และไม่ได้นำสืบในประเด็นนี้ การที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 3หยิบยกประกาศของคณะปฏิวัติฉบับดังกล่าวขึ้นมาวินิจฉัย จึงเป็นการพิพากษานอกจากที่ปรากฏในคำฟ้องของโจทก์ทั้งสอง ขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 นั้น โจทก์ทั้งสองกล่าวในฟ้องว่าซื้อที่ดินที่นายนันทวัฒน์บิดาจำเลยจัดสรรขาย โจทก์ทั้งสองได้ใช้ทางพิพาทต่อจากเจ้าของเดิมรวมระยะเวลาเกินกว่า 10 ปีแล้ว และศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่า ที่ดินพิพาทตกเป็นทางภารจำยอมของที่ดินของโจทก์ทั้งสองหรือไม่เพียงใด ศาลฎีกาเห็นว่า ในคดีแพ่งคู่ความหาจำเป็นต้องยกบทกฎหมายขึ้นมากล่าวอ้างในคำฟ้องหรือคำให้การไม่ เพียงแต่กล่าวอ้างข้อเท็จจริงก็พอแล้ว ศาลย่อมมีอำนาจยกบทกฎหมายขึ้นมาปรับแก่คดีตามข้อเท็จจริงที่พิจารณาได้ความได้ ในเมื่อคดีนี้โจทก์ทั้งสองกล่าวไว้ในคำฟ้องว่าโจทก์ทั้งสองซื้อที่ดินที่นายนันทวัฒน์จัดสรร เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ดังที่โจทก์ทั้งสองกล่าวไว้ในคำฟ้องและฟังได้ว่าที่ดินพิพาทนายนันทวัฒน์ซื้อมาเพื่อทำเป็นทางให้ผู้ซื้อที่ดินจากการจัดสรรใช้เป็นทางเข้าออกสู่ทางสาธารณะ ดังนั้น การที่ศาลล่างทั้งสองยกเอาบทกฎหมายคือ ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 286 มาปรับกับข้อเท็จจริงที่พิจารณาได้ความแล้ววินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทตกเป็นภารจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์ทั้งสองตามประกาศของคณะปฏิวัติฉบับดังกล่าวจึงไม่ใช่เป็นการพิพากษานอกจากที่ปรากฏในคำฟ้อง ฎีกาจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นเดียวกัน"

พิพากษายืน

หมายเลขคดีดำศาลฎีกา nan

แหล่งที่มา สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ชื่อคู่ความ โจทก์ - บริษัท สยามฟลอริคัลเจอร์ จำกัด กับพวก จำเลย - นางสาว กฤษณีย์ อุทุมพร

ชื่อองค์คณะ ชูชาติ ศรีแสง ธีระวัฒน์ ภัทรานวัช สบโชค สุขารมณ์

ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ที่ตัดสิน nan

ข้อจำกัดความรับผิดชอบ: ข้อมูลเหล่านี้อาจไม่ใช่เวอร์ชันล่าสุด รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจมีข้อมูลที่เป็นปัจจุบันหรือแม่นยำกว่า เราไม่รับประกันหรือรับประกันเกี่ยวกับความถูกต้อง ความสมบูรณ์ หรือความเพียงพอของข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้หรือข้อมูลที่เชื่อมโยงกับเว็บไซต์ของรัฐ โปรดตรวจสอบแหล่งที่มาอย่างเป็นทางการ
ข้อมูลอ้างอิงจากเว็บไซต์ : www.krisdika.go.th, deka.supremecourt.or.th
ติดต่อเราทาง LINE