คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 816/2518
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 7, 113, 136, 204, 653, 654, 655 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 93 (2)
จำเลยอ้างว่าชำระหนี้เงินกู้ให้โจทก์แล้วบางส่วน และโจทก์ออกใบรับให้ แต่ต่อมาปลวกขึ้นบ้านจำเลยกินใบรับนั้นเสียดังนี้จำเลยนำพยานบุคคลมาสืบได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 93(2)
จำเลยกู้เงินโจทก์ไปจริงเพียง 2,000 บาท ซึ่งจำเลยชำระแล้ว 1,000 บาท ส่วนอีก 2,420 บาท เป็นดอกเบี้ยล่วงหน้าที่โจทก์เรียกเกินอัตราและคิดดอกเบี้ยทบต้นโดยมิได้มีการตกลงเป็นหนังสือต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 654,655 ดังนั้นดอกเบี้ยดังกล่าว จึงเป็นหนี้ที่ไม่สมบูรณ์ตกเป็นโมฆะส่วนหนี้เงินต้นที่ยังคงค้างชำระอยู่อีก 1,000 บาทนั้น ยังคงสมบูรณ์อยู่ สัญญากู้ไม่ตกเป็นโมฆะทั้งฉบับ ในส่วนที่สมบูรณ์โจทก์ย่อมมีสิทธิฟ้องบังคับได้และมีสิทธิได้รับดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7 ครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะชำระเงินเสร็จ
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกู้เงินไป 4,420 บาท ดอกเบี้ยตามกฎหมายกำหนดชำระวันที่ 20 ธันวาคม 2514 แต่จำเลยไม่ชำระ จึงขอให้จำเลยชำระเงินต้นพร้อมดอกเบี้ย นับแต่วันผิดนัด
จำเลยให้การว่า กู้เงินโจทก์จริงเพียง 2,000 บาท โจทก์นำดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 5 ต่อเดือน กำหนดเวลา 1 ปีมารวมด้วยเป็น 3,200 บาท ถึงกำหนดแล้วจำเลยไม่ชำระจึงทำสัญญากันใหม่ และเอาดอกเบี้ย 1,220 บาท ตามสัญญาที่ต่อใหม่รวมเข้าไปด้วย จึงเป็นยอดเงิน 4,420 บาท จำเลยชำระเงินให้แล้ว1,000 บาท เมื่อ 8 ธันวาคม 2515
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีสำหรับเงินต้น 2,000 บาท นับแต่วันกู้ถึงวันที่ 8 ธันวาคม 2515 ระยะหนึ่งกับให้จำเลยชำระเงินต้นที่เหลือ 1,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยนับแต่ 9 ธันวาคม2515 ไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้จำเลยชำระเงินต้น 4,420 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันทำสัญญาจนกว่าจะชำระเงินเสร็จ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยนำสืบว่าเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2515 จำเลยกู้เงินมาจากสหกรณ์ออมทรัพย์ครูตรัง จำกัด เป็นเงิน 8,400 บาท โดยจำเลยรับราชการครูและเป็นสมาชิกสหกรณ์นั้นปรากฏตามเอกสารหมาย ล.1 จำเลยนำเงินที่กู้มาได้ไปชำระหนี้รายอื่น และชำระหนี้ให้โจทก์ 1,000 บาท เมื่อวันที่ 8ธันวาคม 2515 โจทก์ออกใบรับเงินให้ ต่อมาปลวกขึ้นบ้านจำเลยกัดใบรับเงินนี้เสีย จึงไม่มีส่งอ้าง จำเลยนำพยานบุคคลคือ นายวิน วงษ์ดี ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านและนายยิ้ม หนูสอน มาสืบว่าได้รู้เห็นจำเลยชำระเงิน 1,000 บาทให้โจทก์ และโจทก์ออกใบรับให้จำเลย ซึ่งจำเลยมีสิทธิที่จะสืบเช่นนี้ได้ตามนัยแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 93(2) โจทก์มิได้สืบหักล้างในข้อนี้อย่างใด จึงฟังได้ว่าจำเลยชำระหนี้ให้โจทก์แล้ว 1,000 บาท
สรุปแล้ว คดีฟังได้ว่าจำเลยกู้เงินโจทก์ไปจริงเพียง 2,000 บาท ซึ่งจำเลยชำระแล้ว 1,000 บาท ส่วนอีก 2,420 บาท เป็นดอกเบี้ยล่วงหน้าที่โจทก์เรียกเกินอัตราและคิดดอกเบี้ยทบต้นโดยมิได้มีการตกลงเป็นหนังสือ เป็นการต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 654, 655 ฉะนั้น หนี้ดอกเบี้ยดังกล่าวจึงเป็นหนี้ที่ไม่สบูรณ์ ตกเป็นโมฆะ ส่วนหนี้เงินต้นที่ยังค้างชำระอยู่อีก1,000 บาทนั้น ยังคงสมบูรณ์อยู่ สัญญากู้หมาย จ.1 ไม่ตกเป็นโมฆะทั้งฉบับในส่วนที่สมบูรณ์โจทก์มีสิทธิฟ้องบังคับได้ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย
พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงินต้น1,000 บาท ให้แก่โจทก์พร้อมทั้งดอกเบี้ยสำหรับเงิน 1,000 บาท ในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะชำระเสร็จ
หมายเลขคดีดำศาลฎีกา nan
แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ชื่อคู่ความ โจทก์ - นายคล้อย รอดทุกข์ จำเลย - นายประศาสณ์หรือทิ้ง สัคคุณี
ชื่อองค์คณะ ผสม จิตรชุ่ม บัญญัติ สุชีวะ เดช วุฒิสิงห์ชัย
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ที่ตัดสิน nan