สารบัญ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8098/2540

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8098/2540

ประมวลกฎหมายอาญา ม. 80, 340

จำเลยกับคนร้ายอีก 2 คน ใช้รถจักรยานยนต์เป็นพาหนะทำการปล้นสร้อยข้อมือทองคำของผู้เสียหาย เมื่อคนร้ายคนหนึ่งปลดสร้อยข้อมือออกไปจากข้อมือของผู้เสียหายไปได้นั้น ทรัพย์นั้นจึงขาดจากการครอบครองของผู้เสียหาย แต่อยู่ในมือคนร้ายคนนั้นพร้อมที่จะนำไปได้ย่อมเป็นการเคลื่อนที่ไปจากแหล่งที่ทรัพย์นั้นติดตรึงอยู่ตามปกติไปอยู่ในความครอบครองของคนร้ายเป็นการเอาไปโดยสมบูรณ์เป็นการปล้นทรัพย์สำเร็จแม้ผู้เสียหายแย่งคืนมาในทันทีก็เป็นกรณีเกิดขึ้นหลังจากการเอาทรัพย์นั้นไปแล้ว ย่อมไม่ทำให้การเอาทรัพย์ไปซึ่งสมบูรณ์แล้วกลับเป็นว่าไม่สมบูรณ์ไปได้

เนื้อหาฉบับเต็ม

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340, 340 ตรี,83, 33 ริบรถจักรยานยนต์ของกลาง

จำเลยให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340วรรคสอง, 340 ตรี จำคุก 18 ปี คำให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ลดโทษให้หนึ่งในสี่คงจำคุก 13 ปี 2 เดือน ริบรถจักรยานยนต์ของกลาง

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรคสอง, 340 ตรี, 80 จำคุก 12 ปี คำให้การรับสารภาพชั้นจับกุมเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาคดีอยู่บ้าง ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 8 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า ขณะเกิดเหตุเป็นเวลากลางคืนจำเลยกับคนร้ายอีก 2 คน รวม 3 คน ใช้รถจักรยานยนต์เป็นยานพาหนะ และจำเลยใช้สันมีดฟันศีรษะผู้เสียหายจนเป็นอันตรายแก่กายในการปล้นทรัพย์สร้อยข้อมือทองคำหนัก1 บาท มีราคา 4,500 บาท ของผู้เสียหาย เมื่อคนร้ายคนหนึ่งปลดสร้อยข้อมือที่ข้อมือของผู้เสียหายออกได้ ผู้เสียหายก็แย่งสร้อยข้อมือนั้นคืนมาได้ทันที ตามฎีกาของโจทก์มีข้อกฎหมายเพียงว่าเป็นการปล้นทรัพย์สำเร็จหรือเพียงพยายามปล้นทรัพย์เท่านั้น เห็นว่าเมื่อคนร้ายคนหนึ่งปลดสร้อยข้อมืออกไปจากข้อมือของผู้เสียหายไปได้นั้นทรัพย์นั้นจึงขาดจากการครอบครองของผู้เสียหาย แต่อยู่ในมือคนร้ายคนนั้นพร้อมที่จะนำไปได้ย่อมเป็นการเคลื่อนที่ไปจากแหล่งที่ทรัพย์นั้นติดตรึงอยู่ตามปกติไปอยู่ในความครอบครองของคนร้ายเป็นการเอาไปโดยสมบูรณ์เป็นการปล้นทรัพย์สำเร็จ แต่ผู้เสียหายสามารถแย่งคืนมาในทันที เป็นกรณีเกิดขึ้นหลังจากการเอาทรัพย์นั้นไปแล้ว ย่อมไม่ทำให้การเอาทรัพย์ไปซึ่งสมบูรณ์แล้วกลับเป็นว่าไม่สมบูรณ์ไปได้ ฎีกาที่จำเลยอ้างมาในคำแก้ฎีกานั้นข้อเท็จจริงตามฎีกาที่อ้างนั้นยังไม่ได้ความว่าทรัพย์อันเป็นวัตถุในการวิ่งราวนั้นหลุดไปจากความครอบครองของผู้เสียหาย จึงมีข้อเท็จจริงไม่ตรงกับคดีนี้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2พิพากษาว่าเป็นเพียงความผิดฐานพยายามนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น"

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น

หมายเลขคดีดำศาลฎีกา nan

แหล่งที่มา สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ชื่อคู่ความ โจทก์ - พนักงานอัยการจังหวัดพิษณุโลก จำเลย - นาย ศักดิ์ชัย สุขเกษม

ชื่อองค์คณะ พิธี อุปปาติก ไพศาล รางชางกูร สมลักษณ์ จัดกระบวนพล

ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ที่ตัดสิน nan

ข้อจำกัดความรับผิดชอบ: ข้อมูลเหล่านี้อาจไม่ใช่เวอร์ชันล่าสุด รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจมีข้อมูลที่เป็นปัจจุบันหรือแม่นยำกว่า เราไม่รับประกันหรือรับประกันเกี่ยวกับความถูกต้อง ความสมบูรณ์ หรือความเพียงพอของข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้หรือข้อมูลที่เชื่อมโยงกับเว็บไซต์ของรัฐ โปรดตรวจสอบแหล่งที่มาอย่างเป็นทางการ
ข้อมูลอ้างอิงจากเว็บไซต์ : www.krisdika.go.th, deka.supremecourt.or.th
ติดต่อเราทาง LINE