คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7725/2540
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 494, 1299 วรรคหนึ่ง, 1367, 1378, 1379
ล. สามีโจทก์เป็นผู้มีชื่อถือสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทตาม น.ส.3 ล. นำที่ดินพิพาทไปจดทะเบียนขายฝากให้แก่จำเลย ต่อมาโจทก์และ ล. ใช้สิทธิไถ่ถอนการขายฝากภายในกำหนด และจำเลยได้คืน น.ส.3 กับหนังสือสัญญาขายฝากคืนให้แก่โจทก์และ ล. แล้ว หลังจากนั้นโจทก์และ ล. ได้ร่วมกันครอบครองที่ดินพิพาทจนกระทั่ง ล. ถึงแก่กรรมโจทก์ก็ครอบครองที่ดินตลอดมา โจทก์ย่อมเป็นผู้มีสิทธิครอบครอง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1378 และ1379 เมื่อการครอบครองดังกล่าวเกิดจากการใช้สิทธิไถ่ถอนการขายฝากคืนจากจำเลยผู้ซื้อฝากภายในกำหนด แม้ไม่มี การจดทะเบียนไถ่ถอนการขายฝากก็เป็นเพียงทำให้การกลับคืนมา ซึ่งทรัพย์สิทธิในที่ดินยังไม่บริบูรณ์เท่านั้น แต่ในระหว่าง โจทก์และจำเลยด้วยกัน ย่อมมีผลใช้ยันกันได้ โจทก์ย่อมมี สิทธิฟ้องขอให้จำเลยจดทะเบียนไถ่ถอนการขายฝากที่ดินพิพาท แก่โจทก์ได้
โจทก์ฟ้องขอให้พิพากษาว่าที่ดินหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3) เลขที่ 65 ตำบลนาดูน อำเภอนาดูน จังหวัดมหาสารคามเป็นของโจทก์ให้จำเลยไปจดทะเบียนโอนให้แก่โจทก์ หากจำเลยไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา
จำเลยให้การว่า ที่ดินพิพาทเป็นสินส่วนตัวของนายไลย์ไม่ใช่ทรัพย์สินที่โจทก์ร่วมกับนายไลย์ทำมาหาได้ จำเลยรับซื้อฝากที่ดินพิพาทจากนายไลย์ แต่นายไลย์ไม่ไถ่ถอนภายในกำหนดจึงตกเป็นสิทธิของจำเลยโดยเด็ดขาด หลังจากนั้นโจทก์และนายไลย์ได้ขอทำกินในที่ดินพิพาทโดยแบ่งผลผลิตให้จำเลย ต่อมาจำเลยตกลงขายที่ดินพิพาทให้นายลวย ปัสติ ในระหว่างที่ยังหาเงินมาซื้อไม่ได้ นายลวยได้ขอเช่าที่ดินพิพาทจากจำเลย โดยให้โจทก์และนายไลย์เข้าทำกินแทนตลอดมาจนถึงปัจจุบัน การที่โจทก์และนายไลย์เข้าทำกินในที่ดินพิพาทจึงเป็นการครอบครองแทนจำเลยจำเลยไม่เคยคืนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้โจทก์ โจทก์กับพวกได้รับหนังสือรับรองการทำประโยชน์ไปจากเจ้าหน้าที่ที่ดิน ซึ่งจำเลยนำไปฝากไว้เมื่อครั้งยื่นเรื่องราวขอขายที่ดินพิพาทให้นายลวย โจทก์ยังมิได้บอกกล่าวเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือที่ดินว่าจะยึดถือเพื่อตน โจทก์ไม่ใช่เจ้าของที่ดินพิพาท จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ผู้ร้องสอดยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความโดยอ้างว่า หลังจากนายไลย์ไม่ไถ่ถอนการขายฝากแล้ว จำเลยนำที่ดินพิพาทมาขายให้แก่ผู้ร้องสอดในราคา 3,000 บาท ผู้ร้องสอดชำระราคาครบถ้วนแล้วโดยได้ทำหลักฐานเป็นหนังสือไว้แก่เจ้าพนักงานที่ดินอำเภอวาปีปทุม จังหวัดมหาสารคาม และได้ปิดประกาศกำหนดวันจดทะเบียนโอนแล้วแต่มีเหตุขัดข้อง จำเลยได้ส่งมอบที่ดินพิพาทให้ผู้ร้องสอดครอบครองแล้ว ผู้ร้องสอดได้ให้น้องชายผู้ร้องสอดนายไลย์ และโจทก์เข้าทำกินในที่ดินพิพาทแทนตลอดมา เมื่อทางราชการตัดถนนสายบรบือ-บุรีรัมย์ ผ่านที่ดินพิพาทผู้ร้องสอดก็มอบให้นายไลย์เป็นผู้ดำเนินการแบ่งขายให้ทางราชการแทน ขอให้พิพากษาว่าที่ดินพิพาทเป็นของผู้ร้องสอดและให้จำเลยจดทะเบียนโอนขายให้แก่ผู้ร้องสอดภายใน 15 วัน หากจำเลยไม่ดำเนินการให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทนกับห้ามโจทก์และบริวารเข้าเกี่ยวข้องในที่ดินพิพาท
ศาลชั้นต้นอนุญาตให้ผู้ร้องสอดเข้าเป็นคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(1)
โจทก์ให้การแก้คำร้องสอดว่า โจทก์กับนายไลย์ไม่ได้ครอบครองที่ดินพิพาทโดยอาศัยสิทธิของผู้ร้องสอด นายไลย์ไถ่ถอนการขายฝากที่ดินพิพาทกับจำเลยแล้ว แต่ยังมิได้จดทะเบียนไถ่ถอนเนื่องจากปี 2511 ทางราชการได้ยกฐานะตำบลนาดูนเป็นกิ่งอำเภอ ทำให้ที่ดินพิพาทขึ้นต่อกิ่งอำเภอนาดูนการติดต่อประสานงานเพื่อจดทะเบียนไถ่ถอนการขายฝากจึงลำบากขึ้น และไม่มีการจดทะเบียนไถ่ถอนจนถึงปัจจุบัน ปี 2519 นายไลย์ได้แบ่งขายที่ดินพิพาทบางส่วนให้กระทรวงการคลังเพื่อสร้างทางหลวงสายบรบือ-บุรีรัมย์ ในฐานะเจ้าของมิใช่ผู้ร้องสอดมอบหมายให้ทำแทน ผู้ร้องสอดไม่เคยซื้อที่ดินพิพาทจากจำเลย แต่ทั้งสองฝ่ายได้สมคบกันทำหลักฐานเท็จเพื่อจะนำที่ดินไปแบ่งกัน เพราะโจทก์เคยมอบหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่ดินพิพาทให้แก่ผู้ร้องสอดและนายทองพูน ศรีวงศ์ยาง นำไปขอกู้เงินจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร แต่สารบัญจดทะเบียนที่ดินยังขายฝากให้แก่จำเลยผู้ร้องสอดจึงไปติดต่อขอให้จำเลยจดทะเบียนไถ่ถอนการขายฝากแต่จำเลยไม่ยอมจะเอาเงิน 100,000 บาท ต่อมาจำเลยกับพวกข่มขู่โจทก์ให้มอบหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้แก่จำเลย แต่โจทก์ไม่ยอม จำเลยจึงทำหนังสือเท็จขึ้นมาว่า ได้มอบหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้แก่ผู้ร้องสอดและนายทองพูนเพื่อโต้แย้งสิทธิของโจทก์
จำเลยให้การแก้คำร้องสอดในทำนองเดียวกับที่ให้การแก้คำฟ้องของโจทก์
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า โจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 65 ตำบลนาดูนอำเภอนาดูน จังหวัดมหาสารคาม ให้จำเลยจดทะเบียนโอนสิทธิครอบครองที่ดินให้โจทก์ หากจำเลยไม่ยอมจดทะเบียนโอนให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทน ให้ยกคำร้องของผู้ร้องสอด
จำเลยอุทธรณ์ โดยผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุอันควรอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์เสียด้วยนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้เป็นยุติว่าโจทก์เป็นภริยาของนายไลย์ สีหาโบราณหรือสีหาบูราณจดทะเบียนสมรสกันเมื่อปี 2519 เดิมนายไลย์เป็นผู้มีชื่อถือสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 65ตำบลนาดูน อำเภอวาปีปทุม จังหวัดมหาสารคาม ซึ่งต่อมาได้มีการแยกเขตการปกครองให้ตำบลนาดูนขึ้นต่ออำเภอนาดูนจังหวัดมหาสารคาม นายไลย์ได้นำที่ดินพิพาทไปจดทะเบียนขายฝากให้แก่จำเลยเมื่อวันที่ 18 กันยายน 2510 ในราคา 1,926 บาท กำหนดไถ่ถอนภายใน 3 เดือน หลังจากขายฝากแล้วโจทก์และนายไลย์ร่วมกันครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินตลอดมา โดยไม่มีการจดทะเบียนไถ่ถอนการขายฝากคืนแต่อย่างใด ในปี 2518 นายไลย์ได้แบ่งขายที่ดินพิพาทบางส่วนให้กรมทางหลวงเพื่อสร้างถนนสายบรบือ-บุรีรัมย์นายไลย์ถึงแก่กรรมเมื่อปี 2532 โจทก์ก็ยังคงครอบครองที่ดินพิพาทต่อมา มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ว่าโจทก์และนายไลย์ได้ใช้สิทธิไถ่ถอนการขายฝากที่ดินพิพาทจากจำเลยแล้วหรือไม่นั้น ตามข้อนำสืบของจำเลยเพื่อแสดงให้เห็นว่าจำเลยมิได้คืนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) ให้แก่โจทก์ดังที่โจทก์อ้าง แต่เป็นลักษณะที่โจทก์ได้ไปจากสำนักงานที่ดินเองเห็นว่า นอกจากหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เอกสารหมาย จ.1 จะอยู่ที่โจทก์แล้วยังมีหนังสือสัญญาขายฝาก ฉบับผู้ซื้อ (จำเลย) อยู่ที่โจทก์ด้วยซึ่งจำเลยก็มิได้นำสืบให้เห็นว่าเหตุใดหนังสือสัญญาขายฝากฉบับของจำเลยจึงไปอยู่ที่โจทก์ส่วนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) ที่จำเลยยืนยันว่าเก็บอยู่ที่สำนักงานที่ดินอำเภอนาดูนตั้งแต่ครั้งที่ยื่นคำขอจดทะเบียนขายที่ดินพิพาทแก่นายสงวนนั้น ปรากฏจากการตรวจสอบของสำนักงานที่ดินอำเภอนาดูนตามคำร้องเรียนของจำเลย มีแต่กรณีที่นายไลย์ขายฝากแก่จำเลยเมื่อวันที่ 18 กันยายน 2510และที่นายไลย์ขายให้แก่กรมทางหลวงเมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2518และมีเรื่องที่จำเลยและนายสงวนยื่นคำขอยกเลิกคำขอจดทะเบียนซื้อและขายเท่านั้น โดยไม่ปรากฏว่ามีการมอบหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) ไว้ที่สำนักงานที่ดินแต่อย่างใด นางวนิภาสุชาตะกุล พยานจำเลยเองซึ่งเคยรับราชการเป็นพนักงานที่ดินอำเภอนาดูนระหว่างเดือนมิถุนายนถึงตุลาคม 2534 เบิกความว่าหากผู้ขายฝากไม่ไถ่ถอนภายในกำหนด สิทธิครอบครองย่อมตกเป็นของผู้ซื้อฝากแล้ว ถ้าจะมีการทำนิติกรรมเกี่ยวกับที่ดินแปลงดังกล่าวก็ไม่จำต้องนำหนังสือสัญญาขายฝากมาแสดง และตามระเบียบปฏิบัติขณะอยู่ระหว่างดำเนินการประกาศขายอยู่ ทางเจ้าพนักงานที่ดินจะคืนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้เจ้าของไป ฉะนั้น หากจำเลยจะได้ยื่นหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) ให้แก่เจ้าหน้าที่ที่ดินจริง จำเลยก็ต้องขอรับคืนไปแล้วตั้งแต่เมื่อครั้งยื่นเรื่องขอยกเลิกการขายที่ดินให้แก่นายสงวน ไม่มีเหตุผลใดที่จำเลยจะฝากไว้กับเจ้าหน้าที่ที่ดินตลอดมาจนถึงปี 2534 เป็นเวลาถึง20 ปีเศษ โดยไม่คิดหรือสนใจที่จะติดตามเอาคืนกลับไป ข้ออ้างของจำเลยดังกล่าวจึงเป็นข้ออ้างลอย ๆ ปราศจากพยานหลักฐานสนับสนุนพยานหลักฐานโจทก์มีน้ำหนักดีกว่าพยานหลักฐานของจำเลย ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยได้คืนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3)และสัญญาขายฝากที่ดินฉบับผู้ซื้อให้แก่โจทก์และนายไลย์แล้วอันแสดงว่าโจทก์ได้ใช้สิทธิขอไถ่ถอนการขายฝากที่ดินพิพาทจากจำเลยภายในกำหนด โดยโจทก์ชำระเงินค่าไถ่ถอนให้แก่จำเลยเรียบร้อยแล้วจำเลยจึงคืนเอกสารดังกล่าวแก่โจทก์และนายไลย์ เพียงแต่ยังมีเหตุขัดข้องที่ยังไม่อาจไปจดทะเบียนไถ่ถอนการขายฝากคืนในระหว่างนั้นเท่านั้น
มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ต่อไปว่า โจทก์หรือจำเลยเป็นผู้มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาท เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์และนายไลย์ขอไถ่ถอนการขายฝากภายในกำหนด โดยชำระเงินค่าไถ่ถอนแก่จำเลย และจำเลยคืนหนังสือรับรองการทำประโยชน์และหนังสือสัญญาขายฝากแก่โจทก์และนายไลย์แล้วโจทก์และนายไลย์ได้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทตลอดมาจนกระทั่งนายไลย์ตายเมื่อปี 2532 โจทก์ก็ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทต่อมา แม้จะยังมิได้จดทะเบียนไถ่ถอนการขายฝาก โจทก์ก็มีเจตนาที่จะยึดถือครอบครองที่ดินเพื่อตนแล้วจึงได้ประโยชน์จากข้อสันนิษฐานของกฎหมายว่า โจทก์ได้สิทธิครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1767 จำเลยอ้างว่าเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทโดยได้ให้ผู้ร้องสอดเช่า แล้วผู้ร้องสอดให้โจทก์และนายไลย์ครอบครองแทน โจทก์และนายไลย์จึงเป็นเพียงผู้ครอบครองแทนจำเลยเท่านั้น เห็นว่า พยานหลักฐานโจทก์มีน้ำหนักดีกว่าพยานหลักฐานจำเลย ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ว่า โจทก์และนายไลย์มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาท เมื่อนายไลย์ถึงแก่กรรมโจทก์ครอบครองที่ดินตลอดมาโจทก์ย่อมเป็นผู้มีสิทธิครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1378 และ 1379 เมื่อการครอบครองดังกล่าวเกิดจากการใช้สิทธิไถ่ถอนการขายฝากคืนจากจำเลยภายในกำหนด แม้จะไม่มีการจดทะเบียนไถ่ถอนการขายฝากก็เป็นเพียงทำให้การกลับคืนมาซึ่งทรัพยสิทธิในที่ดินยังไม่บริบูรณ์เท่านั้น แต่ในระหว่างโจทก์และจำเลยด้วยกันเองย่อมมีผลใช้ยันกันได้ จำเลยไม่ใช่เจ้าของที่ดินพิพาทอีกต่อไป โจทก์มีสิทธิฟ้องขอให้จำเลยจดทะเบียนไถ่ถอนการขายฝากที่ดินพิพาทแก่โจทก์ได้
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาให้เป็นพับ
หมายเลขคดีดำศาลฎีกา nan
แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ชื่อคู่ความ โจทก์ - นาง เงิน ศรีหาโบราณหรือศรีหาบูรา ณ โจทก์ - ผู้ร้องสอด โจทก์ - นาย สำรวย หรือ ลวย สีหาบูราณหรือปั สติ จำเลย - นาย คำ ปา สา จัง
ชื่อองค์คณะ อร่าม หุตางกูร สุนทร สิทธิเวชวิจิตร อำนวย เต้พันธ์
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ที่ตัดสิน nan