คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 771/2540
ประมวลกฎหมายอาญา ม. 218 (4) ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 227
พฤติการณ์ของพยานที่ยินยอมออกจากบ้านไปกับจำเลยในยามค่ำมืดล่วงเลยกำหนดเวลาที่บุคคลทั่วไปจะรับประทานขนมโดยยินยอมปฏิบัติตามคำสั่งของจำเลยทุกประการไม่ว่าจำเลยจะสั่งให้ขับรถจักรยานยนต์ไปในทิศทางใดและจอดหยุดรอณที่ใดแม้จะให้นำรถจักรยานยนต์ไปซ่อนไว้ในคูข้างถนนและเฝ้ารถจักรยานยนต์ไว้ขณะที่จำเลยกับพวกนำถึงปุ๋ยเข้าไปในโรงเรียนที่เกิดเหตุพยานก็ยินยอมปฏิบัติตามโดยดีอีกทั้งไม่ได้แสดงอาการตื่นเต้นตกใจเมื่อไฟไหม้โรงเรียนแต่กลับขับรถจักรยานยนต์พาจำเลยกับพวกไปส่งยังสถานที่ซึ่งจำเลยซ่อนรถจักรยานยนต์ของตนไว้ทั้งๆที่ทราบดีว่าจำเลยกับพวกวางเพลิงพฤติการณ์ดังกล่าวจึงเป็นการผิดปกติวิสัยของบุคคลผู้ถูกหลอกลวงให้เดินทางไปกับคนร้ายและพบการกระทำความผิดที่ร้ายแรงเพราะโดยสัญชาตญาณของผู้ที่ประสบเหตุร้ายแรงดังกล่าวและในฐานะที่เป็นชาวมุสลิมเช่นเดียวกับประชาชนส่วนใหญ่ในละแวกที่เกิดเหตุพยานน่าที่จะร้องตะโกนบอกให้ประชาชนเหล่านั้นทราบเพื่อจะได้ช่วยกันดับเพลิงและแจ้งให้เจ้าหน้าที่บ้านเมืองทราบในโอกาสต่อมาแต่ไม่ปรากฏว่าพยานได้ดำเนินการใดๆคงเก็บงำไว้เป็นเวลานานถึง2วันจึงเล่าให้ส. เพื่อนร่วมงานฟังเป็นการผิดปกติวิสัยของบุคคลผู้อยู่ในภาวะเช่นพยานจะพึงกระทำจึงเป็นการส่อพิรุธว่าพยานอาจจะไม่รู้เหตุการณ์ดังที่เบิกความในคืนเกิดเหตุนอกจากจะมีการวางเพลิงโรงเรียนที่เกิดเหตุแล้วยังมีการวางเพลิงโรงเรียนอื่นในเขตจังหวัดสงขลายะลาปัตตานีและนราธิวาสในเวลาเดียวกันได้ใช้วิธีการและวัสดุเชื้อเพลิงเหมือนๆกันอีกถึง37แห่งเชื่อว่าเป็นการกระทำของกลุ่มขบวนการก่อการร้ายเดียวกันซึ่งดำเนินงานอย่างมีระบบโดยวางแผนกำหนดตัวบุคคลวิธีการปฏิบัติตลอดถึงวัสดุเชื้อเพลิงที่ใช้ไว้อย่างรอบคอบและรัดกุมงานก่อการร้ายจึงสำเร็จลุล่วงไปได้ตัวบุคคลผู้ดำเนินงานจึงน่าจะเป็นผู้ที่อยู่ในขบวนการเดียวกันและไว้วางใจได้ไม่มีเหตุอันใดที่จะชักชวนบุคคลอื่นซึ่งอยู่นอกขบวนการให้เข้ามาทำงานเพราะอาจทำให้แผนงานที่กำหนดไว้เสียหายและยังเป็นการเปิดเผยความลับของขบวนการแก่บุคคลภายนอกอีกด้วยฉะนั้นคำเบิกความของพยานจึงขัดต่อเหตุผลไม่น่าเชื่อถือพยานหลักฐานโจทก์มีเหตุสงสัยตามสมควรว่าจำเลยเป็นคนร้ายรายนี้หรือไม่จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา227วรรคสอง
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 218,83 และริบของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 218(4), 83 จำคุก 20 ปี ริบของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้เถียงกันในชั้นนี้รับฟังเป็นยุติว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุในฟ้อง ได้มีคนร้ายวางเพลิงเผาอาคารเรียนโรงเรียนบ้านกูยิ ซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน 1 หลัง เป็นเหตุให้อาคารเรียนและทรัพย์สินที่อยู่ภายในอาคารเรียนได้รับความเสียหายคิดเป็นเงิน 1,027,600 บาท คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยได้กระทำความผิดฐานวางเพลิงเผาโรงเรียนอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินหรือไม่ ตามทางนำสืบของโจทก์ พยานที่อ้างว่ารู้เห็นเหตุการณ์ขณะจำเลยกับพวกเข้าไปวางเพลิงโรงเรียนที่เกิดเหตุมีเพียงปากเดียว คือ นายซาฮีบูเลาะ ตาเฮ จึงต้องรับฟังคำเบิกความของพยานปากนี้ด้วยความระมัดระวัง ข้อเท็จจริงได้ความจากคำเบิกความของนายซาฮีบูเลาะว่า เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม2536 เวลาประมาณ 24 นาฬิกา จำเลยขับรถจักรยานยนต์โดยมีพวกอีกคนหนึ่งนั่งซ้อนท้ายมาหาพยานที่บ้าน และชวนให้พยาน ขับรถจักรยานยนต์ตามไป บอกว่าจะไปหาขนมรับประทาน พยานขับรถจักรยานยนต์ตามที่จำเลยกับพวกไปจนกระทั่งถึงหมู่บ้านบาเลาะบาซะ อำเภอยี่งอจังหวัดนราธิวาส จำเลยกับพวกซ่อนรถจักรยานยนต์คันที่จำเลยขับไว้บริเวณศาลาอ้างว่ากลัวคนจำเสียงรถได้ แล้วจำเลยกับพวกนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ของพยานไปตามเส้นทางที่จำเลยบอก โดยพยานไม่ทราบว่าจะไปที่ใด แต่ที่พยานยอมไปด้วยเพราะเห็นว่าเป็นเพื่อนกัน พยานขับรถจักรยานยนต์ไปได้สักครู่หนึ่งจำเลยบอกให้จอดจำเลยลงจากรถจักรยานยนต์แล้วเดินเข้าไปในสวนยางพาราข้างทางประมาณ 5 นาที ก็เดินกลับออกมาพร้อมด้วยถึงปุ๋ยซึ่งมีวัตถุบรรจุอยู่ภายใน แต่ไม่ทราบว่าเป็นอะไรเพียงได้กลิ่นเหมือนถ่านหินซึ่งชาวบ้านใช้เป็นเชื้อเพลิงในการจุดตะเกียงสำหรับกรีดยางพาราจำเลยบอกให้พยานขับรถจักรยานยนต์ไปยังหมู่บ้านกูยิซึ่งอยู่ในอำเภอเดียวกัน ครั้นถึงหมู่บ้านดังกล่าว จำเลยสั่งให้พยานจอดรถจักรยานยนต์และนำไปซ่อนไว้ในคูข้างถนนห่างจากโรงเรียนกูยิประมาณ 100 เมตร โดยให้พยานอยู่เฝ้ารถจักรยานยนต์ส่วนจำเลยกับพวกนำถึงปุ๋ยเข้าไปในโรงเรียนบ้านกูยิ หลังจากนั้นประมาณ15 นาที มีไฟลุกไหม้ขึ้นที่อาคารเรียนของโรงเรียนดังกล่าว จำเลยกับพวกวิ่งกลับออกมา พยานถามจำเลยว่าเผาโรงเรียนใช่หรือไม่จำเลยบอกว่าใช่และกำชับพยานว่าอย่าบอกใคร พยานขับรถจักรยานยนต์พาจำเลยกับพวกกลับมาในเส้นทางเดินจนถึงศาลาที่ซ่อนรถจักรยานยนต์ไว้ แล้วจำเลยกับพวกจึงแยกย้ายไป โดยก่อนไปจำเลยมอบเงินให้แก่พยาน 1,000 บาท พร้อมกับกำชับอีกว่าอย่าบอกใคร พยานกลับถึงบ้านเมื่อเวลาประมาณ 2 นาฬิกาของวันที่ 1 สิงหาคม 2536 จากคำเบิกความของนายซาฮีบูเลาะดังกล่าว แสดงว่าพยานเดินทางไปยังโรงเรียนที่เกิดเหตุเพราะถูกจำเลยหลอกลวงไม่ได้เต็มใจไปด้วย แต่เมื่อพิจารณาพฤติการณ์ของพยานที่ยินยอมออกจากบ้านไปกับจำเลยในยามค่ำมืดดึกดื่น ล่วงเลยกำหนดเวลาที่บุคคลทั่วไปจะรับประทานขนมโดยยินยอมปฏิบัติตามคำสั่งของจำเลยทุกประการ ไม่ว่าจำเลยจะสั่งให้ขับรถจักรยานยนต์ไปในทิศทางใดและจอดหยุดรอ ณ ที่ใด แม้จะสั่งให้นำรถจักรยานยนต์ไปซ่อนไว้ในคูข้างถนนและเฝ้ารถจักรยานยนต์ไว้ขณะที่จำเลยกับพวกนำถุงปุ๋ยเข้าไปในโรงเรียนที่เกิดเหตุพยานก็ยินยอมปฏิบัติตามโดยดี อีกทั้งไม่ได้แสดงอาการตื่นเต้นตกใจเมื่อไฟไหม้โรงเรียนที่เกิดเหตุ แต่กลับขับรถจักรยานยนต์พาจำเลยกับพวกไปส่งยังสถานที่ซึ่งจำเลยซ่อนรถจักรยานยนต์ของตนไว้ทั้ง ๆ ที่ทราบดีว่าจำเลยกับพวกเป็นผู้วางเพลิงโรงเรียนที่เกิดเหตุ พฤติการณ์ของพยานดังกล่าวเป็นการผิดปกติวิสัยของบุคคลผู้ถูกหลอกลวงให้เดินทางไปกับคนร้ายและพบการกระทำความผิดที่ร้ายแรงการวางเพลิงโรงเรียนซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ใช้เป็นสถานที่อบรมสั่งสอนอนุชนของชาติให้มีความรู้เฉลียวฉลาดโดยไม่คำนึงถึงเชื้อชาติ ศาสนา นับว่าเป็นการก่ออาชญากรรมที่ร้ายแรงและบ่อนทำลายความเจริญก้าวหน้าของอนุชนซึ่งได้รับประโยชน์จากโรงเรียนแห่งนั้น ในคืนเกิดเหตุหากนายซาฮีบูเลาะรู้เห็นเหตุการณ์ดังที่เบิกความ โดยสัญชาติญาณของผู้ที่ประสบเหตุร้ายแรงดังกล่าวและในฐานะที่เป็นชาวมุสลิมเช่นเดียวกับประชาชนส่วนใหญ่ในละแวกที่เกิดเหตุ ชั้นแรกพยานก็น่าที่จะร้องตะโกนบอกให้ประชาชนเหล่านั้นทราบ เพื่อจะได้ช่วยกันดับเพลิงอย่างเร่งด่วน และแจ้งให้เจ้าหน้าที่บ้านเมืองไม่ว่าจะเป็นฝ่ายปกครองหรือตำรวจทราบในโอกาสต่อมา แต่ไม่ปรากฏว่าพยานได้ดำเนินการใด ๆ เลย คงเก็บงำไว้เป็นเวลานานถึง 2 วัน จึงเล่าให้นายสะมะแอ เจ๊ะเลาะเพื่อนร่วมงานทราบ เป็นการผิดปกติวิสัยของบุคคลผู้อยู่ในภาวะเช่นพยานจะพึงกระทำเช่นกัน พฤติการณ์ทั้งหมดของพยานปากนี้ดังกล่าวมาส่อพิรุธว่าพยานอาจจะไม่รู้เห็นเหตุการณ์ดังที่เบิกความในคืนเกิดเหตุนอกจากจะมีการวางเพลิงโรงเรียนบ้านกูยิแล้ว ยังมีการวางเพลิงโรงเรียนอื่นในเขตจังหวัดสงขลา ยะลา ปัตตานี และนราธิวาสในเวลาเดียวกันโดยใช้วิธีการและวัสดุเชื้อเพลิงเหมือน ๆกันอีกถึง 37 แห่ง เชื่อว่าเป็นการกระทำของกลุ่มขบวนการก่อการร้ายเดียวกัน ซึ่งดำเนินงานอย่างมีระบบโดยวางแผนกำหนดตัวบุคคล วิธีการปฏิบัติ รวมตลอดถึงวัสดุเชื้อเพลิงที่ใช้ไว้อย่างรอบคอบและรัดกุม งานก่อการร้ายจึงสำเร็จลุล่วงไปได้นับว่าเป็นการก่อการร้ายที่อุกอาจมากและเป็นความผิดที่มีอัตราโทษสูง ตัวบุคคลผู้ดำเนินงานจึงน่าจะเป็นผู้ที่อยู่ในขบวนการเดียวกันและไว้วางใจได้ ไม่มีเหตุผลอันใดที่จะชักชวนบุคคลอื่นซึ่งอยู่นอกขบวนการของพวกตนให้เข้ามาทำงาน ทั้งนี้เพราะนอกจากบุคคลนั้นอาจจะไม่ให้ความร่วมมือจนทำให้แผนงานที่กำหนดไว้เสียหายแล้ว ยังเป็นการเปิดเผยความลับของขบวนการแก่บุคคลภายนอกอีกด้วย เป็นอันตรายต่อขบวนการอย่างยิ่ง คำเบิกความของนายซาฮีบูเลาะดังกล่าวข้างต้นจึงขัดต่อเหตุผลไม่น่าเชื่อถือนอกจากนี้ถึงแม้ข้อเท็จจริงจะได้ความตามทางนำสืบของโจทก์ว่าจำเลยเป็นสมาชิกของกลุ่มขบวนการก่อการร้ายพูโลซึ่งเป็นผู้วางเพลิงในโรงเรียนในคดีนี้และโรงเรียนอื่นรวม 38 แห่งแต่ก็ได้ความจากคำเบิกความของพันตำรวจโทประจวบ กรีแก้วและร้อยโทชวลิต ชูดำว่า ตามรายงานของพันตำรวจโทประจวบไม่ปรากฏว่ามีชื่อจำเลยเป็นผู้วางเพลิงโรงเรียนและร้อยโทชวลิตก็ไม่ได้ยืนยันว่าจำเลยเป็นผู้กระทำการดังกล่าว เพียงแต่ตามสายข่าวของทหารพยานเชื่อว่าจำเลยน่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องเท่านั้นศาลฎีกาเห็นว่าตามพฤติการณ์แห่งคดี พยานหลักฐานโจทก์มีเหตุสงสัยตามสมควรว่าจำเลยเป็นคนร้ายรายนี้หรือไม่ จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 227 วรรคสอง ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลยมานั้นไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น"
พิพากษากลับ ให้ยก ฟ้อง
หมายเลขคดีดำศาลฎีกา nan
แหล่งที่มา สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ชื่อคู่ความ โจทก์ - พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการสูงสุด จำเลย - นาย โต๊ะกูเฮงหรือกูมะนาเส กอตอนีลอ
ชื่อองค์คณะ ปรีชา นาคพันธุ์ อำนวย สุขพรหม ระพินทร บรรจงศิลป
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ที่ตัดสิน nan