สารบัญ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 754/2519

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 754/2519

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 7, 391, 572 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 142

โจทก์ทำสัญญาเช่าซื้อที่ดินจากจำเลยและได้ชำระค่าเช่าซื้อบางส่วนให้จำเลยแล้วต่อมาโจทก์จำเลยแสดงเจตนาเลิกสัญญากันและเป็นผลให้โจทก์จำเลยกลับคืนสู่ฐานะเดิม ดังนี้ จำเลยจึงต้องคืนเงินค่าเช่าซื้อที่ได้รับไว้ให้โจทก์รวมทั้งดอกเบี้ยของเงินดังกล่าวด้วยโดยคิดตั้งแต่เวลาที่รับเงินนั้นไว้ในอัตราร้อยละ 7 ครึ่งต่อปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 7 ประกอบด้วย มาตรา 391

แม้โจทก์จะมีสิทธิได้รับดอกเบี้ยโดยคิดตั้งแต่เวลาที่จำเลบรับเงินไว้แต่เมื่อโจทก์ฎีกาขอดอกเบี้ยมาเพียงนับแต่วันพ้นกำหนดคำบอกกล่าวให้คืนเงินค่าเช่าซื้อเท่านั้น ศาลฎีกาย่อมพิพากษาให้ได้เท่าที่ขอ

เนื้อหาฉบับเต็ม

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทำสัญญาเช่าซื้อที่ดินจากจำเลย 3 แปลง ผ่อนชำระค่าเช่าซื้อให้แล้ว 38,200 บาท ต่อมาจำเลยไม่ยอมรับค่าเช่าซื้อจากโจทก์ ทั้งปฏิบัติผิดสัญญาอีกหลายประการ โจทก์จึงให้ทนายความบอกเลิกสัญญากับจำเลยและให้จำเลยคืนเงินค่าที่ดินแต่จำเลยไม่จัดการอย่างไร จึงขอให้จำเลยร่วมกันคืนเงิน 38,200 บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ยร้อยละ 7 ครึ่งต่อปี นับแต่วันที่จำเลยผิดสัญญา

จำเลยที่ 1 ที่ 2 ให้การว่า โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาไม่ชำระค่าเช่าซื้อติดต่อกัน 3 งวด จำเลยที่ 1 ไม่ต้องคืนเงินค่าเช่าซื้อให้โจทก์ และจำเลยที่ 2 มิได้มีนิติสัมพันธ์เป็นส่วนตัวกับโจทก์จึงไม่ต้องรับผิด

จำเลยที่ 3 ให้การว่า จำเลยที่ 3 ทำสัญญาเช่าซื้อที่ดินกับโจทก์ในฐานะตัวแทนกองพลทหารปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยาน จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์

ศาลชั้นต้นฟังว่า โจทก์และจำเลยที่ 1 ที่ 2 ไม่มีฝ่ายใดผิดสัญญา แต่ตามพฤติการณ์ของทั้งสองฝ่ายเป็นการแสดงเจตนาว่าจะเลิกสัญญา สัญญาเช่าซื้อจึงเป็นอันเลิกกันจำเลยที่ 1 ต้องคืนเงินค่าเช่าซื้อ 38,200 บาทให้โจทก์ และต้องเสียดอกเบี้ยนับจากเดือนที่จำเลยที่ 1 ทราบถึงการบอกเลิกสัญญาให้โจทก์ด้วย จำเลยที่ 2 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1 จึงต้องร่วมรับผิดด้วยส่วนจำเลยที่ 3 ไม่ได้เป็นตัวแทนของจำเลยที่ 1 ที่ 2 พิพากษาให้จำเลยที่ 1 ที่ 2ร่วมกันชำระเงิน 38,200 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ 7 ครึ่งต่อปี นับแต่เดือนสิงหาคม 2515 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ จำเลยที่ 3 ให้ยกฟ้อง

จำเลยที่ 1 ที่ 2 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 ร่วมกันคืนเฉพาะเงิน38,200 บาท ให้โจทก์โดยไม่ต้องชำระดอกเบี้ย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาเฉพาะข้อกฎหมายว่า เมื่อคู่สัญญากลับคืนสู่ฐานะเดิม โจทก์ได้บอกกล่าวกำหนดเวลาให้จำเลยส่งคืนเงินค่าเช่าซื้อจำเลยเพิกเฉย จำเลยจะต้องเสียดอกเบี้ยนับแต่วันพ้นกำหนดหรือไม่

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาเฉพาะข้อกฎหมาย ข้อเท็จจริงยุติตามที่ศาลล่างวินิจฉัยว่า โจทก์จำเลยแสดงเจตนาเลิกสัญญากันและเป็นผลให้โจทก์จำเลยกลับคืนสู่ฐานะเดิม เห็นว่า จำเลยต้องคืนค่าเช่าซื้อ 38,200 บาท ให้โจทก์รวมทั้งดอกเบี้ยของเงินดังกล่าวด้วยโดยคิดตั้งแต่เวลาที่รับเงินนั้นไว้ในอัตราร้อยละ 7 ครึ่งต่อปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 7 ประกอบด้วยมาตรา 391 แต่โจทก์ฎีกาขอมาเพียงนับแต่วันพ้นกำหนดตามคำบอกกล่าวให้คืนเงินค่าเช่าซื้อเท่านั้น จึงพิพากษาให้ได้เท่าที่ขอ

พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์เป็นให้จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ร่วมกันใช้ดอกเบี้ยตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

หมายเลขคดีดำศาลฎีกา nan

แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ชื่อคู่ความ โจทก์ - นางสุปราณี สุนทรสวัสดิ์ จำเลย - ห้างหุ้นส่วนจำกัดสุมนสังสิทธิ์ โดยนางสุมน สังสิทธิ์ จำเลย - หุ้นส่วนผู้จัดการ ที่ 1, นางสุมน สังสิทธิ์ ที่ 2 พันโทปรีดา พิชชาโชติ ที่ 3

ชื่อองค์คณะ พิทยา มงคล คมกริช นุรักษ์ สมชัย ทรัพยวณิช

ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ที่ตัดสิน nan

ข้อจำกัดความรับผิดชอบ: ข้อมูลเหล่านี้อาจไม่ใช่เวอร์ชันล่าสุด รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจมีข้อมูลที่เป็นปัจจุบันหรือแม่นยำกว่า เราไม่รับประกันหรือรับประกันเกี่ยวกับความถูกต้อง ความสมบูรณ์ หรือความเพียงพอของข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้หรือข้อมูลที่เชื่อมโยงกับเว็บไซต์ของรัฐ โปรดตรวจสอบแหล่งที่มาอย่างเป็นทางการ
ข้อมูลอ้างอิงจากเว็บไซต์ : www.krisdika.go.th, deka.supremecourt.or.th
ติดต่อเราทาง LINE