คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 707/2525
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 1304, 1367 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 55
ที่พิพาทเป็นบริเวณคูเมืองและกำแพงเมืองเชียงใหม่ อันเป็นโบราณวัตถุ จึงเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน แม้โจทก์จะได้รับโฉนดมา โจทก์ก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินนี้ ทั้งปรากฏว่าโจทก์ไม่เคยเข้าครอบครองที่พิพาทเลย จึงไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลย
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า "ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ที่พิพาทเป็นที่ดินโฉนดที่ 25914 ตำบลศรีภูมิ (ช้างเผือก) อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ มีชื่อโจทก์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์
มีปัญหาจะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่าที่พิพาทเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินหรือไม่
พิเคราะห์แล้ว คดีนี้โจทก์อ้าง นายอุทัย โกมลมิตร ปลัดอำเภอเมืองเชียงใหม่ นายณรงค์ ศรีนพคุณ ที่ดินจังหวัดเชียงใหม่ นายอุดม องอาจราชพัสดุจังหวัดเชียงใหม่ เป็นพยานในฐานะเป็นผู้ที่ได้ร่วมไปตรวจที่พิพาทตามที่นายอำเภอเมืองเชียงใหม่ให้ไปตรวจ ในชั้นโจทก์ยื่นคำร้องต่อนายอำเภอเมืองเชียงใหม่ว่าพวกจำเลยสร้างบ้านเรือนบุกรุกที่พิพาทนายอุทัยเบิกความว่าบ้านเรือนราษฎรที่ว่าสร้างบุกรุกที่พิพาทนั้นปลูกสร้างบนที่ดินซึ่งเคยเป็นคูปู่รุณ ไปจนติดแนวกำแพงเก่า นายณรงค์เบิกความว่าได้เคยไปดูที่พิพาทมาครั้งหนึ่งมีกำแพงเก่าอยู่ในโฉนด มีคูอยู่ข้าง ๆ กำแพงนายอุดมเบิกความว่าการตรวจสอบกระทำโดยตรวจสอบหมุดหลักฐานบริเวณที่ดินซึ่งผู้ร้อง (คือโจทก์) ยื่นคำร้องว่ามีผู้บุกรุก ซึ่งในขณะนั้น มีบ้านเรือนของราษฎร (คือพวกจำเลย) ตั้งอยู่ พบหมุดหลักฐานบางจุดมีการรังวัดแนวเขต ปรากฏว่ากำแพงเมืองเก่าทั้งหมดตั้งอยู่ในที่ดินที่ผู้ร้องอ้างว่าเป็นของผู้ร้องจากทิศเหนือไปทิศใต้ตลอดแนว กำแพงนี้เป็นโบราณสถานจึงถือว่าที่ดินนี้เป็นที่ราชพัสดุ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่สั่งเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องร่วมกันตรวจสอบหาข้อยุติอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งขณะพยานเบิกความ คณะกรรมการได้ให้เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดเรียกโจทก์ให้มาขอเพิกถอนโฉนดเสีย ความทั้งหมดนี้เมื่อพิเคราะห์ประกอบกับที่ตัวโจทก์เองเบิกความว่าสภาพที่พิพาทเป็นที่ลุ่มมีหนองน้ำ ป่าหญ้าบางแห่งแล้ว เห็นได้ว่าที่พิพาทเป็นบริเวณคูเมืองและกำแพงเมืองเชียงใหม่ อันเป็นโบราณวัตถุตามเอกสารหมาย ล.3 ซึ่งจำเลยทั้งสิบอ้างมาเป็นพยาน ที่ดินบริเวณนี้จึงเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน แม้โจทก์จะได้รับโฉนดมาโจทก์ก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินนี้ ศาลฎีกาเห็นว่าพยานจำเลยซึ่งพยานโจทก์เบิกความเจือสมสนับสนุนอยู่ มีน้ำหนักว่าพยานโจทก์ ฟังได้ว่าที่พิพาทมิใช่ที่ดินของโจทก์ ทั้งปรากฏในคำเบิกความของตัวโจทก์ตอนหนึ่งว่าเมื่อโจทก์ซื้อที่พิพาท จำเลยบางคนปลูกกระท่อมอยู่ในที่พิพาทแล้ว โจทก์ไม่ได้เข้าปลูกสร้างทำประโยชน์ในที่พิพาทเพราะพวกจำเลยไม่ยอมให้เข้าไปซึ่งแสดงว่าโจทก์ไม่เคยเข้าครอบครองที่พิพาทเลย เมื่อที่พิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง"
พิพากษายืน
หมายเลขคดีดำศาลฎีกา nan
แหล่งที่มา เนติบัณฑิตยสภา
ชื่อคู่ความ โจทก์ - นางสาวิตรี ชัยวิวัธน์ จำเลย - นางสนับ แซ่ฮุ้น กับพวก
ชื่อองค์คณะ สุไพศาล วิบุลศิลป์ อาจ ปัญญาดิลก ไพศาล สว่างเนตร
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ที่ตัดสิน nan