สารบัญ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6809/2542

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6809/2542

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 1599, 1600

ที่ดินพิพาทเป็นของ อ. จำเลยไม่ได้ฝากให้ อ. ดูแลที่ดินพิพาทแทน และ ด. ได้ซื้อที่ดินพิพาทจาก อ. แล้ว แต่ ด. ยังไม่ได้รับการจดทะเบียนโอนชื่อเป็นของ ด. เมื่อ อ. ตายเสียก่อน โจทก์เป็นทายาทผู้รับมรดกและในฐานะผู้จัดการมรดกของ อ. ผู้ตาย สิทธิในทางทรัพย์สินรวมทั้งหน้าที่และความรับผิดต่าง ๆ ของ อ. ก็ตกทอดแก่โจทก์ทันทีรวมทั้งหน้าที่ในการโอนที่ดินพิพาทที่ขายด้วย เมื่อจำเลยเข้าเกี่ยวข้องโดยมิชอบด้วยกฎหมาย โจทก์ก็มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาทได้

เนื้อหาฉบับเต็ม

โจทก์ฟ้องขอให้พิพากษาว่าที่ดินพิพาทเป็นทรัพย์มรดกของร้อยตำรวจเอกอินทร์ จุลมิน ให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากที่ดินพิพาทและห้ามเกี่ยวข้อง ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นรายเดือน เดือนละ 1,200 บาท นับตั้งแต่วันฟ้องวันที่ 17 มกราคม 2537 จนกว่าจำเลยและบริวารได้ออกจากที่ดินพิพาท

จำเลยให้การ แก้ไขคำให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยเป็นเจ้าของที่ดินพิพาท ครั้นปี 2505 จำเลยต้องย้ายครอบครัวไปอยู่ที่อื่น จึงฝากให้ร้อยตำรวจเอกอินทร์ จุลมิน บิดาโจทก์ดูแลแทน ในปี 2510 จำเลยได้เข้าครอบครองที่ดินพิพาทใหม่อีกครั้งหนึ่ง โดยได้ครอบครองโดยความสงบ และโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ โดยโจทก์และร้อยตำรวจเอกอินทร์มิได้โต้แย้งการครอบครองของจำเลยแต่อย่างใด หากศาลเห็นว่าที่ดินพิพาทเป็นของร้อยตำรวจเอกอินทร์ โจทก์ก็ไม่มีสิทธิฟ้องเรียกคืนการครอบครองจากจำเลย เนื่องจากเกิน 1 ปี นับแต่จำเลยแย่งการครอบครอง และร้อยตำรวจเอกอินทร์ขายที่ดินพิพาทให้แก่นายอุดร ทองทั่ว แล้ว โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้องโจทก์และพิพากษาให้จำเลยเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท ห้ามโจทก์กับบริวารและนายอุดร ทองทั่ว เกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาท

โจทก์ขาดนัดยื่นคำให้การแก้ฟ้องแย้ง

ผู้ร้องสอดยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความ โดยอ้างว่าร่วมกับจำเลยครอบครองที่ดินพิพาท ต่อมาผู้ร้องสอดขอถอนคำร้อง ศาลชั้นต้นอนุญาต

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ร้อยตำรวจเอกอินทร์ จุลมิน เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท ให้จำเลยและบริวารออกจากที่ดินพิพาท ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ในอัตราเดือนละ 500 บาท นับตั้งแต่วันฟ้องวันที่ 17 มกราคม 2537 จนกว่าจำเลยและบริวารได้ออกจากที่ดินพิพาท ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 1,500 บาท ยกฟ้องแย้ง

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์ ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนจำเลย โดยกำหนดค่าทนายความรวม 2,500 บาท

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงคดีนี้ฟังได้ว่า จำเลยจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ขายที่ดินพิพาทให้แก่ร้อยตำรวจเอกอินทร์แล้ว ร้อยตำรวจเอกอินทร์จึงเป็นบุคคลผู้มีชื่อในทะเบียนเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทตาม ป.พ.พ. มาตรา 1373 ดังนั้น เมื่อร้อยตำรวจเอกอินทร์ขายที่ดินที่มีชื่อตนให้แก่นายอุดรโดยยังไม่ได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่แต่ร้อยตำรวจเอกอินทร์ตายเสียก่อน โจทก์ผู้เป็นบุตรและเป็นผู้จัดการมรดกผู้ตายตามคำสั่งศาลย่อมมีสิทธิที่จะจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่โอนใส่ชื่อนายอุดรเป็นผู้มีชื่อในทะเบียนเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทตามกฎหมายต่อไป ปัญหาในช่วงระหว่างที่ที่ดินพิพาทยังไม่ได้มีการจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ปรากฏว่ามีจำเลยและบริวารมารบกวนขัดสิทธิของนายอุดรผู้ซื้อในอันจะครอบครองทรัพย์สินโดยปกติสุข คดีนี้มีการรบกวนสิทธิเกิดขึ้นเป็นคดีระหว่างนายอุดรผู้ซื้อกับบุคคลภายนอก นายอุดรผู้ซื้อชอบที่จะขอให้ศาลเรียกผู้ขายเข้าเป็นจำเลยร่วมหรือเป็นโจทก์ร่วมกับผู้ซื้อในคดีได้ เพื่อศาลจะได้วินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาทระหว่างผู้เป็นคู่กรณีทั้งหลายรวมไปเป็นคดีเดียวกัน ถ้าผู้ขายเห็นเป็นการสมควรจะสอดเข้าไปในคดีเพื่อปฏิเสธการเรียกร้องของบุคคลภายนอกก็ชอบที่จะทำได้ด้วย ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า การใช้สิทธิของจำเลยมีแต่จะให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลอื่น การใช้สิทธิของจำเลยเป็นการอันมิชอบด้วยกฎหมาย อนึ่ง ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1374 ถ้าผู้ครอบครองถูกรบกวนในการครอบครองทรัพย์สินเพราะมีผู้สอดเข้าเกี่ยวข้องโดยมิชอบด้วยกฎหมายไซร้ ท่านว่าผู้ครอบครองมีสิทธิจะให้ปลดเปลื้องการรบกวนนั้นได้ ถ้าเป็นที่น่าวิตกว่าจะยังมีการรบกวนอีกผู้ครอบครองจะขอต่อศาลให้สั่งห้ามก็ได้ คดีนี้ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงเป็นที่ยุติได้ว่า ที่ดินพิพาทเป็นของร้อยตำรวจเอกอินทร์ จำเลยไม่ได้ฝากให้ร้อยตำรวจเอกอินทร์ดูแลที่ดินพิพาทแทน และนายอุดรได้ซื้อที่ดินพิพาทจากร้อยตำรวจเอกอินทร์แล้ว แต่นายอุดรยังไม่ได้รับการจดทะเบียนโอนชื่อเป็นของนายอุดร ร้อยตำรวจเอกอินทร์ตายเสียก่อน จำเลยและบริวารสอดเข้ามาเกี่ยวข้องโดยมิชอบด้วยกฎหมาย โจทก์เป็นทายาทผู้รับมรดกและในฐานะผู้จัดการมรดกของร้อยตำรวจเอกอินทร์ผู้ตาย สิทธิในทางทรัพย์สินรวมทั้งหน้าที่และความรับผิดต่าง ๆ ของผู้ตายก็ตกทอดแก่โจทก์ทันทีซึ่งรวมทั้งหน้าที่ในการโอนที่ดินพิพาทที่ขายด้วย เมื่อจำเลยเข้าเกี่ยวข้องโดยมิชอบด้วยกฎหมาย โจทก์มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยและบริวารออกจากที่ดินพิพาท

พิพากษากลับว่า ที่ดินพิพาทตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 274 ตำบลน้ำคำ อำเภอเมืองศรีสะเกษ จังหวัดศรีสะเกษ เนื้อที่ 5 ไร่ 2 งาน 49 ตารางวา ร้อยตำรวจเอกอินทร์ จุลมิน เป็นผู้มีชื่อในสารบัญจดทะเบียนว่าได้จดทะเบียนการได้มากับพนักงานเจ้าหน้าที่ โจทก์เป็นทายาทผู้รับมรดกและในฐานะผู้จัดการมรดกของร้อยตำรวจเอกอินทร์ จุลมิน ผู้ตาย ที่ดินอันเป็นกองมรดกของผู้ตายย่อมตกทอดแก่โจทก์ทั้งสิทธิหน้าที่และความรับผิดต่าง ๆ ตามกฎหมาย ให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากที่ดินพิพาท ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 500 บาท นับตั้งแต่วันฟ้องวันที่ 17 มกราคม 2537 จนกว่าจำเลยและบริวารได้ออกจากที่ดิน ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความรวม 6,000 บาท.

หมายเลขคดีดำศาลฎีกา nan

แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ชื่อคู่ความ โจทก์ - จ่าสิบเอกนครอินทร์ จุลมิน จุลมิน - ผู้ร้องสอด - นายชัชวาลย์ ทองกุล จำเลย - นางละมุน ทองกุล

ชื่อองค์คณะ ธีระจิต ไชยาคำ บัญชา สหเกียรติมนตรี สุรพล เจียมจูไร

ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ที่ตัดสิน ศาลจังหวัดศรีสะเกษ - นางสาวณัฐสิรี วราโพธิ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 - นายวสันต์ ตรีสุวรรณ

ข้อจำกัดความรับผิดชอบ: ข้อมูลเหล่านี้อาจไม่ใช่เวอร์ชันล่าสุด รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจมีข้อมูลที่เป็นปัจจุบันหรือแม่นยำกว่า เราไม่รับประกันหรือรับประกันเกี่ยวกับความถูกต้อง ความสมบูรณ์ หรือความเพียงพอของข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้หรือข้อมูลที่เชื่อมโยงกับเว็บไซต์ของรัฐ โปรดตรวจสอบแหล่งที่มาอย่างเป็นทางการ
ข้อมูลอ้างอิงจากเว็บไซต์ : www.krisdika.go.th, deka.supremecourt.or.th
ติดต่อเราทาง LINE