คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6322/2540
ประมวลกฎหมายอาญา ม. 59, 80, 288
ขณะที่จำเลยวิ่งหลบหนีสิบตำรวจตรี ส. และพลตำรวจ ส. จำเลยหันมายิงปืนใส่เจ้าพนักงานตำรวจทั้งสอง1 นัด เพื่อให้พ้นจากการจับกุม จากนั้นหลบซ่อนตัวอยู่ในพุ่มไม้โดยมิได้ยิงปืนใส่เจ้าพนักงานตำรวจทั้งสองอีกเช่นนี้ จะฟังว่าการยิงปืนของจำเลยดังกล่าวเป็นการจ้องเล็งปืนยิงตรงไปยังเจ้าพนักงานตำรวจทั้งสองโดยมีเจตนาฆ่าหาได้ไม่ จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานพยายามฆ่าเจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่
โจทก์ฟ้องว่า เจ้าพนักงานจับจำเลยได้พร้อมด้วยอาวุธปืน1 กระบอก ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนวัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 67 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33,49, 80, 91, 138, 288, 289, 371 ริบของกลาง
จำเลยให้การรับสารภาพข้อหามีเฮโรอีนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตส่วนข้อหาอื่นให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 138 วรรคสอง, 289(2) ประกอบมาตรา 80, 371 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 72 วรรคหนึ่ง,8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72 ทวิ วรรคสอง พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษพ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง, 67 เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานต่อสู้หรือขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติการตามหน้าที่ และฐานพยายามฆ่าเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่ ให้ลงโทษฐานพยายามฆ่าเจ้าพนักงาน ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกตลอดชีวิตฐานมีอาวุธปืนจำคุก 1 ปี ฐานพาอาวุธปืนให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 1 ปี และฐานมีเฮโรอีนจำคุก 1 ปี ฐานพยายามฆ่าเจ้าพนักงาน ฐานมีและพาอาวุธปืนจำเลยให้การรับสารภาพชั้นจับกุมและสอบสวน เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 หนึ่งในสาม ส่วนฐานมีเฮโรอีนรับสารภาพมาโดยตลอดลดโทษให้กึ่งหนึ่ง ฐานพยายามฆ่าเจ้าพนักงาน จำคุก 33 ปี 4 เดือนฐานมีอาวุธปืน จำคุก 8 เดือน และฐานมีเฮโรอีน จำคุก 6 เดือนรวมจำคุก 35 ปี 2 เดือน ริบของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ฐานพยายามฆ่าเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่ ลงโทษจำเลยฐานขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติการตามหน้าที่ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 138 วรรคสอง จำคุก 6 เดือนคำให้การของจำเลยในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 4 เดือน เมื่อรวมกับโทษของจำเลยในความผิดฐานอื่นอีก 3 กระทงแล้ว เป็นจำคุก 26 เดือนนอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยฐานพยายามฆ่าเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "พิเคราะห์แล้ว คดีมีปัญหาในชั้นฎีกาว่าจำเลยได้ใช้อาวุธปืนลูกซองของกลางยิงพยายามฆ่าเจ้าพนักงานตำรวจในการปฏิบัติการตามหน้าที่หรือไม่ โจทก์มีสิบตำรวจตรีสมรักษ์นาคสุวรรณ และพลตำรวจสำรวย ขุนวัง เจ้าพนักงานตำรวจผู้จับจำเลยเป็นพยานเบิกความว่า เจ้าพนักงานได้พบจำเลยกำลังเดินอยู่ในถนนหน้าบ้านจะเข้าจับกุม จำเลยวิ่งหลบหนีลงข้างถนนเข้าไปในสวน พยานทั้งสองจอดรถจักรยานยนต์แล้ววิ่งไล่ตามไปทางคลองชลประทานเห็นจำเลยอยู่ห่างประมาณ 30 เมตร จำเลยหันกลับมาดูเห็นพยานทั้งสองจึงชักอาวุธปืนของกลางจ้องยิงมาที่พยาน พยานได้หมอบลงพื้นกระสุนปืนไม่ถูกพยาน เมื่อจับจำเลยได้แล้ว เจ้าพนักงานตำรวจได้ค้นบริเวณพุ่มไม้ที่จำเลยหลบเข้าไปซ่อนตัวพบกางเกงขายาวสีแดงของจำเลย 1 ตัว ในกระเป๋ากางเกงมีเฮโรอีน 1 หลอดกระสุนปืนลูกซองเบอร์ 12 จำนวน 1 นัด และอาวุธปืนลูกซองของกลางฝังอยู่ในดิน 1 กระบอก และปลอกกระสุนปืนในรังเพลิง 1 ปลอกกับหมอนรองกระสุนปืน 1 ชิ้น ในบริเวณที่จำเลยยิง โดยมีร้อยตำรวจโทปรีชา ศรีสุกุล ผู้เป็นหัวหน้าชุดไปจับจำเลยเบิกความประกอบบันทึกการจับกุม เอกสารหมาย จ.1 และบัญชีของกลางคดีอาญาเอกสารหมาย จ.6 ซึ่งพันตำรวจโทประกฤษ สุคันธกุลพนักงานสอบสวนเป็นผู้จัดทำขึ้น พยานหลักฐานโจทก์ดังกล่าวจึงฟังได้ว่าในวันเกิดเหตุขณะที่จำเลยกำลังวิ่งหลบหนีโดยมีสิบตำรวจตรีสมรักษ์และพลตำรวจสำรวยวิ่งไล่ตามเพื่อจับกุมจำเลยได้ใช้อาวุธปืนลูกซองของกลางยิง 1 นัด ปัญหาต่อไปมีว่าจำเลยได้ยิงโดยมีเจตนาฆ่าเจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่หรือไม่สิบตำรวจตรีสมรักษ์และพลตำรวจสำรวยเบิกความว่า จำเลยหันมายกปืนจ้องยิงทางพยานในระยะห่างประมาณ 30 เมตรแต่พยานหลบหมอบลงกับพื้น กระสุนปืนจึงไม่ถูกพยาน เห็นว่า จำเลยหันมายิงปืนขณะกำลังวิ่งหลบหนีให้พ้นการจับกุม 1 นัด แล้ววิ่งหลบไปซ่อนตัวในพุ่มไม้ โดยไม่ปรากฏว่าจำเลยได้ยิงปืนอีกจึงไม่อาจรับฟังได้ว่าจำเลยได้เล็งปืนจ้องยิงตรงไปที่เจ้าพนักงานตำรวจทั้งสองคนขณะกำลังวิ่งไล่จำเลย ส่วนเจ้าพนักงานตำรวจได้ยิงปืนโต้ตอบหรือไม่ พยานโจทก์สับสนไม่ได้ความชัด แต่รูปคดีน่าเชื่อว่า เจ้าพนักงานตำรวจได้ยิงปืนขู่และจุดไฟเผากิ่งไม้ให้จำเลยออกจากที่ซ่อน จำเลยจึงได้ยอมออกจากที่ซ่อนยินยอมให้จับพฤติการณ์ของจำเลยดังกล่าวยังฟังไม่ชัดว่า จำเลยได้ยิงเจ้าพนักงานตำรวจโดยมีเจตนาฆ่า การกระทำของจำเลยจึงไม่มีความผิดฐานพยายามฆ่าเจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3พิพากษายกฟ้องโจทก์ในข้อหานี้จึงชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น"
พิพากษายืน
หมายเลขคดีดำศาลฎีกา nan
แหล่งที่มา สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ชื่อคู่ความ โจทก์ - พนักงานอัยการ จังหวัด นครศรีธรรมราช จำเลย - นาย จัก เรศ ศรีอุลิต
ชื่อองค์คณะ ปรีชา เฉลิมวณิชย์ ธีระจิต ไชยาคำ ประกาศ บูรพางกูร
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ที่ตัดสิน nan