สารบัญ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6190/2567

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6190/2567

ประมวลกฎหมายอาญา ม. 288, 289 (4) (5) ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 195 วรรคสอง, 225

การกระทำของจำเลยมีการคิดตระเตรียมการไว้ล่วงหน้าหรือไม่ย่อมต้องอาศัยมูลเหตุจูงใจในการกระทำความผิดของจำเลยโดยพิเคราะห์จากพฤติการณ์แห่งคดีและพยานแวดล้อมทั้งก่อนเกิดเหตุและขณะเกิดเหตุประกอบกัน ลำพังข้อเท็จจริงที่ว่าจำเลยพกพาอาวุธมีดมายังที่เกิดเหตุด้วยยังไม่อาจรับฟังอย่างแน่ชัดว่าจำเลยมีการคิดหรือตระเตรียมการวางแผนที่จะฆ่าผู้ตายมาก่อน นอกจากนี้โจทก์ก็ไม่มีพยานหลักฐานอย่างอื่นที่แสดงให้เห็นว่าระหว่างจำเลยและผู้ตายมีข้อขัดแย้งอื่น ๆ ที่มีความรุนแรงถึงขนาดที่จะทำให้จำเลยต้องคิดวางแผนฆ่าผู้ตาย การที่จำเลยใช้อาวุธมีดพกติดตัวอยู่เป็นประจำแทงทำร้ายผู้ตายจนถึงแก่ความตาย เป็นการกระทำที่เกิดขึ้นโดยกะทันหันโดยไม่ได้มีการคิดไตร่ตรองไว้ล่วงหน้า การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนตาม ป.อ. มาตรา 298 (4)

การที่จำเลยใช้อาวุธมีดแทงทำร้ายผู้ตายเป็นการกระทำโดยทรมานและโดยกระทำทารุณโหดร้าย อันจะเป็นความผิด ตาม ป.อ. มาตรา 289 (5) หรือไม่ ปัญหาดังกล่าวแม้จำเลยจะไม่ได้ฎีกา แต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225

การกระทำโดยทรมานและโดยกระทำทารุณโหดร้าย ป.อ. มิได้บัญญัติหรือให้นิยามถึงการกระทำดังกล่าวไว้โดยเฉพาะ การวินิจฉัยถึงการกระทำดังกล่าวจึงต้องวินิจฉัยตามมาตรฐานความรู้สึกของวิญญูชนทั่วไป ซึ่งการฆ่าโดยทรมานหมายถึงการฆ่าโดยกระทำที่มิได้ทำให้ผู้ถูกกระทำถึงแก่ความตายในทันที แต่ทำให้ได้รับความลำบากจนตายลงในที่สุด ส่วนการฆ่าโดยกระทำทารุณโหดร้ายหมายถึงการฆ่าโดยวิธีที่ดุร้ายยิ่งกว่าการกระทำให้ตายโดยทั่ว ๆ ไป ผู้ถูกฆ่าอาจตายในทันทีโดยไม่ได้รับความลำบากเลยก็ได้ การที่จำเลยใช้อาวุธมีดเดือยไก่ ซึ่งมีลักษณะปลายแหลมเรียวโค้ง ความยาวประมาณ 1 คืบ กว้างประมาณ 2 ข้อนิ้วมือ ส่วนด้ามความยาว 3 นิ้ว ซึ่งถือเป็นอาวุธมีดที่ไม่ได้มีขนาดใหญ่มากนัก แทงไปตามอวัยวะส่วนต่าง ๆ ของร่างผู้ตาย เป็นการฆ่าโดยใช้อาวุธตามปกติธรรมดา ไม่ถือเป็นการฆ่าโดยวิธีที่ดุร้ายยิ่งกว่าการกระทำให้ตายโดยทั่ว ๆ ไป และขณะจำเลยใช้อาวุธมีดแทงผู้ตายย่อมต้องปัดป้องต่อสู้ จำเลยจึงแทงผู้ตายหลายครั้งเพื่อให้การกระทำบรรลุผล ไม่ใช่เจตนาให้ผู้ตายได้รับความเจ็บปวดและทรมานจากบาดแผล การกระทำของจำเลยจึงเป็นเพียงความผิดตาม ป.อ. มาตรา 288 เท่านั้น

เนื้อหาฉบับเต็ม

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289

จำเลยให้การรับสารภาพ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 (4) (5) ให้ประหารชีวิต จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 52 (2) คงจำคุก 50 ปี

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังเป็นยุติว่า จำเลยเป็นสามีของนางสาวสุวรรณญาผู้ตาย ก่อนเกิดเหตุจำเลยและผู้ตายไม่ได้อยู่กินร่วมกันฉันสามีภริยาโดยแยกกันอยู่บ้านคนละหลังเป็นระยะเวลาประมาณ 5 เดือน ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุในฟ้อง จำเลยโทรศัพท์นัดผู้ตายให้ไปพบที่รีสอร์ทขณะนั้นผู้ตายประสบอุบัติเหตุได้รับบาดเจ็บที่แขนไม่สามารถขับรถจักรยานยนต์ด้วยตนเองได้ จึงให้นายนันทวัฒน์บุตรของจำเลยและผู้ตายขับรถจักรยานยนต์พาผู้ตายไปส่งที่รีสอร์ทดังกล่าว จำเลยรอผู้ตายอยู่ที่รีสอร์ท ผู้ตายเปิดห้องพักที่รีสอร์ทแล้วบอกให้นายนันทวัฒน์ไปรับประทานอาหาร จากนั้นจำเลยและผู้ตายอยู่ด้วยกันตามลำพังในห้องพักที่เกิดเหตุ ต่อมาจำเลยใช้อาวุธมีดเดือยไก่ปลายแหลมลักษณะเรียวโค้ง ขนาดความยาวและกว้างประมาณ 1 คืบกับ 2 ข้อนิ้วมือ ส่วนด้ามยาว 3 นิ้ว แทงส่วนต่าง ๆ ตามร่างกายของผู้ตายทั้งสิ้น 16 แผล เป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายในเวลาต่อมา หลังเกิดเหตุจำเลยหลบหนี ต่อมาเจ้าพนักงานติดตามจับกุมจำเลยได้หลังเกิดเหตุประมาณ 12 ปี ชั้นสอบสวนจำเลยให้การปฏิเสธ

คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการแรกว่า พยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบประกอบคำรับสารภาพของจำเลยเพียงพอให้รับฟังว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนหรือไม่ โดยจำเลยฎีกาทำนองว่า จำเลยมิได้คิดไตร่ตรองหรือตระเตรียมอาวุธมีดมาฆ่าผู้ตาย แต่จำเลยกระทำไปเนื่องจากโกรธแค้นผู้ตายที่ไม่ยอมคืนดีเพื่ออยู่กินเป็นสามีภริยากับจำเลยเช่นเดิม เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยกะทันหันมิได้มีการตระเตรียมวางแผนล่วงหน้า เห็นว่า ข้อบ่งชี้ที่จะวินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยมีการคิดตระเตรียมการไว้ล่วงหน้าหรือไม่ย่อมต้องอาศัยมูลเหตุจูงใจในการกระทำความผิดของจำเลย โดยพิเคราะห์จากพฤติการณ์แห่งคดีและพยานแวดล้อมทั้งก่อนเกิดเหตุและขณะเกิดเหตุประกอบกัน ข้อเท็จจริงได้ความว่าจำเลยกับผู้ตายอยู่กินฉันสามีภริยาและมีบุตรด้วยกันเพิ่งแยกบ้านและไม่ได้อาศัยอยู่ที่บ้านเดียวกันก่อนเกิดเหตุประมาณ 5 เดือน การที่จำเลยโทรศัพท์นัดหมายให้ผู้ตายมาพบยังรีสอร์ทที่เกิดเหตุ ผู้ตายเดินทางไปยังสถานที่เกิดเหตุตามนัดหมายทั้งที่ตนเองได้รับบาดเจ็บเนื่องจากอุบัติเหตุจนถึงขนาดไม่สามารถขับรถจักรยานยนต์ด้วยตนเองได้ จึงให้นายนันทวัฒน์บุตรชายขับรถจักรยานยนต์ไปส่ง แสดงให้เห็นว่าแม้จำเลยและผู้ตายจะไม่ได้อาศัยอยู่บ้านหลังเดียวกันแล้ว แต่ยังคงมีความสัมพันธ์ติดต่อพูดคุยสื่อสารกันอยู่ ยังไม่ถึงขั้นตัดขาดกันเสียทีเดียว การที่ผู้ตายยินยอมไปพบจำเลยตามที่นัดหมาย ทั้งที่ตนเองได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุและเมื่อพบกับจำเลยยังได้เปิดห้องพักด้วยตนเองและขออยู่กับจำเลยเพียงลำพัง โดยบอกให้บุตรชายออกไปรับประทานอาหาร แสดงให้เห็นว่าก่อนเกิดเหตุผู้ตายและจำเลยไม่น่าจะมีข้อขัดแย้งกันอย่างรุนแรง และจำเลยไม่ได้แสดงพฤติกรรมขู่อาฆาตมาดร้ายหรือประสงค์ต่อชีวิตของผู้ตายมาก่อน ผู้ตายจึงยินยอมไปพบจำเลยและอยู่ด้วยกันตามลำพัง พยานหลักฐานของโจทก์ที่แสดงถึงมูลเหตุจูงใจการกระทำผิดของจำเลยคงปรากฏจากคำให้การของนางจำนันท์มารดาผู้ตาย ซึ่งให้การไว้กับพันตำรวจโทอภิธานและร้อยตำรวจโทเอกราชพนักงานสอบสวนว่า ไม่ทราบรายละเอียดสาเหตุที่แน่นอน แต่คาดว่าน่าจะมาจากสาเหตุส่วนตัวและน่าจะเกี่ยวกับเรื่องหึงหวงระหว่างสามีภริยาเท่านั้น หากข้อเท็จจริงเป็นไปตามสันนิษฐานของนางจำนันท์ สาเหตุที่ทำให้จำเลยกับผู้ตายเกิดข้อขัดแย้งไม่สามารถอยู่ร่วมบ้านเดียวกันได้นั้นเนื่องจากความหึงหวง ถือเป็นปัญหาครอบครัวระหว่างสามีภริยาซึ่งอาจเกิดขึ้นได้ ขณะเกิดเหตุผู้ตายก็มิได้มีสามีใหม่ สาเหตุดังกล่าวจึงไม่น่าจะทำให้จำเลยโกรธแค้นถึงขนาดต้องคิดวางแผนฆ่าผู้ตาย ที่จำเลยพกพาอาวุธมีดติดตัวมายังสถานที่เกิดเหตุด้วย นายนันทวัฒน์ซึ่งเป็นบุตรชายจำเลยและผู้ตาย พยานโจทก์ก็เบิกความถึงเหตุการณ์ขณะขับรถจักรยานยนต์ไปส่งผู้ตายว่า ก่อนที่พยานจะจอดรถจักรยานยนต์ก็พบจำเลยยืนอยู่ที่หน้าห้องเลขที่ 1 ก่อนแล้ว จำเลยสวมเสื้อแขนยาวและกางเกงขายาว และยังเห็นมีดเดือยไก่ที่จำเลยพกติดตัวอยู่เป็นประจำด้วย ซึ่งตรงกับคำให้การของนายนันทวัฒน์ซึ่งให้การต่อพนักงานสอบสวนภายหลังเกิดเหตุเล็กน้อย โดยนายนันทวัฒน์ให้การเกี่ยวกับอาวุธมีดของจำเลยว่า เห็นจำเลยเหน็บมีดเดือยไก่มาด้วย โดยก่อนเกิดเหตุขณะเข้าไปในห้องพักจำเลยบอกว่าร้อนแล้วก็ถอดเสื้อ นายนันทวัฒน์จึงเห็นมีดเดือยไก่เหน็บอยู่ที่เอวด้านหน้า นายนันทวัฒน์เคยเห็นจำเลยพกมีดเล่มดังกล่าวติดตัวอยู่เป็นประจำ ขณะให้การต่อพนักงานสอบสวนนายนันทวัฒน์ มีอายุเพียง 12 ปีเศษ สถานภาพและความสัมพันธ์ที่เป็นบุตรชายของจำเลย ย่อมต้องมีความใกล้ชิดและรู้เห็นพฤติการณ์ของจำเลยซึ่งเป็นบิดาเป็นอย่างดี จึงน่าเชื่อว่านายนันทวัฒน์ให้การในชั้นสอบสวนและเบิกความไปตามข้อเท็จจริงที่ตนเองรับรู้มา โดยไม่ได้มีเจตนาบิดเบือนให้การหรือเบิกความเพื่อช่วยเหลือหรือเพื่อให้เกิดประโยชน์แก่จำเลย ลำพังข้อเท็จจริงที่ว่าจำเลยพกพาอาวุธมีดมายังที่เกิดเหตุด้วย จึงยังไม่อาจรับฟังอย่างแน่ชัดว่าจำเลยมีการคิดหรือตระเตรียมการวางแผนที่จะฆ่าผู้ตายมาก่อน นอกจากนี้โจทก์ก็ไม่มีพยานหลักฐานอย่างอื่นที่แสดงให้เห็นว่าระหว่างจำเลยและผู้ตายมีข้อขัดแย้งอื่น ๆ ที่มีความรุนแรงถึงขนาดที่จะทำให้จำเลยต้องคิดวางแผนฆ่าผู้ตาย พฤติการณ์แห่งคดีน่าเชื่อว่า ก่อนเกิดเหตุจำเลยได้เจรจาพูดคุยกับผู้ตายขอคืนดีเพื่อให้ผู้ตายกลับมาอยู่กินเป็นสามีภริยากับจำเลยเช่นเดิม แต่ถูกผู้ตายปฏิเสธ โดยอาจเกิดการทะเลาะโต้เถียงกัน ทำให้จำเลยเกิดโทสะขาดสติ จึงใช้อาวุธมีดที่พกติดตัวอยู่เป็นประจำแทงทำร้ายผู้ตายจนถึงแก่ความตาย เป็นการกระทำที่เกิดขึ้นโดยกะทันหันโดยไม่ได้มีการคิดไตร่ตรองไว้ล่วงหน้า การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 (4) ตามที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัย ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังขึ้น

ปัญหาวินิจฉัยประการต่อไปมีว่า การที่จำเลยใช้อาวุธมีดแทงทำร้ายผู้ตายเป็นการกระทำโดยทรมานและโดยกระทำทารุณโหดร้าย อันจะเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 (5) หรือไม่ ปัญหาดังกล่าวแม้จำเลยจะไม่ได้ฎีกา แต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 เห็นว่า การกระทำโดยทรมานและโดยกระทำทารุณโหดร้าย ประมวลกฎหมายอาญามิได้บัญญัติหรือให้นิยามถึงการกระทำดังกล่าวไว้โดยเฉพาะ การวินิจฉัยถึงการกระทำดังกล่าวจึงต้องวินิจฉัยตามมาตรฐานความรู้สึกของวิญญูชนทั่วไป ซึ่งการฆ่าโดยทรมานหมายถึงการฆ่าโดยกระทำที่มิได้ทำให้ผู้ถูกกระทำถึงแก่ความตายในทันที แต่ทำให้ได้รับความลำบากจนตายลงในที่สุด ส่วนการฆ่าโดยกระทำทารุณโหดร้ายหมายถึงการฆ่าโดยวิธีที่ดุร้ายยิ่งกว่าการกระทำให้ตายโดยทั่ว ๆ ไป ผู้ถูกฆ่าอาจตายในทันทีโดยไม่ได้รับความลำบากเลยก็ได้ แม้การที่จำเลยใช้มีดเดือยไก่ เป็นอาวุธแทงผู้ตายหลายครั้งถูกบริเวณอวัยวะต่าง ๆ ทำให้เกิดบาดแผลตามร่างกายของผู้ตายถึง 16 แผล โดยบาดแผลพบกระจายทั่วร่างกายทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ตามภาพถ่ายแสดงสถานที่เกิดเหตุ เป็นภาพถ่ายของผู้ตายภายหลังจากถูกแทงเสียชีวิตก็ปรากฏว่าผู้ตายมีรูปร่างใหญ่ท้วม อาวุธมีดที่จำเลยใช้แทงผู้ตายมีลักษณะปลายแหลมเรียวโค้ง ความยาวประมาณ 1 คืบ กว้างประมาณ 2 ข้อนิ้วมือ ส่วนด้ามความยาว 3 นิ้ว ซึ่งถือเป็นอาวุธมีดที่ไม่ได้มีขนาดใหญ่มากนัก การที่จำเลยใช้อาวุธมีดดังกล่าวแทงไปตามอวัยวะส่วนต่าง ๆ ของร่างผู้ตาย เป็นการฆ่าโดยใช้อาวุธตามปกติธรรมดา ไม่ถือเป็นการฆ่าโดยวิธีที่ดุร้ายยิ่งกว่าการกระทำให้ตายโดยทั่ว ๆ ไป และเนื่องจากผู้ตายมีรูปร่างท้วมใหญ่ ขณะจำเลยใช้อาวุธมีดแทง ผู้ตายย่อมต้องปัดป้องต่อสู้เพื่อให้ตนเองพ้นจากการถูกแทง จำเลยจึงแทงผู้ตายหลายครั้งเพื่อให้การกระทำบรรลุผล เป็นเหตุทำให้คมมีดถูกร่างกายของผู้ตายเกิดบาดแผลหลายแห่ง สำหรับวิธีการที่จำเลยใช้มีดแทงก็น่าเชื่อว่า เป็นการกระทำที่ต่อเนื่องติดต่อกัน โดยจำเลยมิได้มีเจตนาที่จะกระทำให้ผู้ตายได้รับความทรมานโดยเลือกแทงตามอวัยวะต่าง ๆ ของผู้ตายแต่ละแห่ง โดยเว้นระยะการแทงในแต่ละครั้งเพื่อให้ผู้ตายได้รับความเจ็บปวดและทรมานจากบาดแผล ที่จำเลยหลบหนีจากที่เกิดเหตุและล็อกประตูห้องที่เกิดเหตุไว้ก็ยังไม่มีเหตุผลให้น่าเชื่อว่า เกิดจากความตั้งใจของจำเลยที่ต้องการถ่วงเวลาไม่ให้มีผู้อื่นเข้าไปช่วยเหลือผู้ตาย เพื่อให้ผู้ตายได้รับความเจ็บปวดทรมานจากบาดแผล ที่ศาลล่างทั้งสองฟังข้อเท็จจริงและวินิจฉัยว่า การกระทำของจำเลยเป็นการฆ่าผู้ตายโดยกระทำโดยทรมานหรือโดยกระทำโดยทารุณโหดร้าย ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา การกระทำของจำเลยจึงเป็นเพียงความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 เท่านั้น

มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการต่อไปว่า การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะหรือไม่ เห็นว่า การที่จำเลยฆ่าผู้ตายจะเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะตามที่ฎีกาหรือไม่ เป็นกรณีที่จำเลยควรที่จะยกขึ้นอ้างหรือต่อสู้ รวมทั้งนำพยานหลักฐานมานำสืบให้ปรากฏข้อเท็จจริงในชั้นพิจารณา แต่ข้อเท็จจริงกลับปรากฏว่าตั้งแต่ถูกจับกุม จำเลยไม่ได้ให้การรับว่าได้ใช้อาวุธมีดแทงผู้ตาย แต่ให้การต่อเจ้าพนักงานตำรวจว่าจะขอให้การในชั้นพิจารณาคดีของศาล ระหว่างการพิจารณาคดีจำเลยก็ไม่เคยให้การอ้างถึงการกระทำของตนว่าเกิดจากบันดาลโทสะ และไม่ได้นำสืบพยานในชั้นพิจารณา ที่จำเลยฎีกาทำนองว่าก่อนเกิดเหตุผู้ตายประพฤติตนไม่ถูกต้องตามศีลธรรม มีความประพฤติเสียหาย ทำให้จำเลยรู้สึกเสื่อมเสียและกดดัน พยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบก็ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงตามที่จำเลยฎีกา จึงฟังไม่ได้ว่าการกระทำของจำเลยเกิดจากการถูกผู้ตายข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมอันจะเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะตามกฎหมายได้ ที่จำเลยฎีกาขอให้ศาลพิพากษาแก้โทษ ให้ลงโทษขั้นต่ำตามที่กฎหมายกำหนด โดยให้ลงโทษน้อยกว่าที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษาลงโทษนั้น เมื่อได้วินิจฉัยแล้วว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ศาลฎีกาย่อมใช้ดุลพินิจลงโทษจำเลยตามบทบัญญัติของกฎหมายที่จำเลยกระทำความผิดโดยกำหนดโทษให้เหมาะสมแก่ความร้ายแรงและพฤติการณ์แห่งการกระทำความผิดอยู่แล้ว ไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาในส่วนนี้ของจำเลยอีก ฎีกาของจำเลยฟังขึ้นบางส่วน

พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ลงโทษจำคุกตลอดชีวิต ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 ประกอบมาตรา 53 คงจำคุก 25 ปี

หมายเลขคดีดำศาลฎีกา อ.1653/2567

แหล่งที่มา หนังสือคำพิพากษาศาลฎีกา

ข้อจำกัดความรับผิดชอบ: ข้อมูลเหล่านี้อาจไม่ใช่เวอร์ชันล่าสุด รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจมีข้อมูลที่เป็นปัจจุบันหรือแม่นยำกว่า เราไม่รับประกันหรือรับประกันเกี่ยวกับความถูกต้อง ความสมบูรณ์ หรือความเพียงพอของข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้หรือข้อมูลที่เชื่อมโยงกับเว็บไซต์ของรัฐ โปรดตรวจสอบแหล่งที่มาอย่างเป็นทางการ
ข้อมูลอ้างอิงจากเว็บไซต์ : www.krisdika.go.th, deka.supremecourt.or.th
ติดต่อเราทาง LINE