สารบัญ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6099/2531

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6099/2531

ประมวลกฎหมายอาญา ม. 56, 90, 137, 267 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 120 พระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2522 ม. 19, 26

ข้อหาความผิดที่โจทก์ฟ้อง มิใช่เป็นคดีความผิดต่อส่วนตัวเมื่อปรากฏว่าพนักงานสอบสวนได้ทำการสอบสวนแล้ว ผู้ร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีจะเป็นผู้ใดหามีความสำคัญไม่ พนักงานอัยการย่อมมีอำนาจเป็นโจทก์ฟ้องคดีต่อศาลได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 120 จำเลยกรอกใบสมัครเพื่อสมัครรับเลือกเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรว่าจำเลยจบการศึกษาประโยคมัธยมศึกษาตอนปลาย ความจริงแล้วจำเลยไม่ได้จบการศึกษาชั้นดังกล่าว อันเป็นการแจ้งข้อความเท็จแก่เจ้าพนักงานผู้รับสมัครเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137กับแจ้งให้เจ้าพนักงานจดข้อความเท็จลงในเอกสารราชการเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 267 การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท การศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลายตามหลักสูตรของกระทรวงศึกษาธิการหรือตามแผนการศึกษาของชาติในความหมายของพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2522 มาตรา 19(1)ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกผู้แทนราษฎร(ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2523 มาตรา 6 นั้น หมายถึงหลักสูตรหรือแผนการศึกษาของชาติในขณะที่ผู้นั้นสอบไล่ในชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายได้เมื่อปรากฏว่าจำเลยสอบไล่ได้ตามหลักสูตรประโยคมัธยมวิสามัญศึกษาตอนปลายมัธยมปีที่ 6 ในปี พ.ศ. 2503 ซึ่งขณะนั้นแผนการศึกษาของชาติที่ใช้บังคับอยู่คือแผนการศึกษาชาติ พ.ศ. 2494 สำหรับชั้นมัธยมศึกษาแยกออกเป็น 3 สาย ในสาย ข. มัธยมวิสามัญศึกษาซึ่งมีชั้นมัธยมวิสามัญตอนปลายเพียงแค่มัธยมปีที่ 6 เท่านั้น จึงถือว่าจำเลยสอบไล่ได้ระดับมัธยมศึกษาตอนปลายตามแผนการศึกษาของชาติพ.ศ. 2494 แล้ว จำเลยจึงเป็นผู้มีคุณสมบัติครบถ้วนตามที่บัญญัติไว้ใน มาตรา 19(1) แห่งพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2522 ที่แก้ไขแล้ว การที่จำเลยสมัครรับเลือกรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แม้จะกรอกคุณสมบัติทางการศึกษาลงในใบสมัครไม่ตรงต่อความจริง ก็ไม่เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติ การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2522 มาตรา 26 การที่จำเลยกระทำผิดโดยแจ้งคุณสมบัติทางการศึกษาเป็นเท็จเป็นเพราะจำเลยเข้าใจผิดว่าตนไม่มีคุณสมบัติตามที่กฎหมายกำหนดซึ่งความจริงแล้วจำเลยมีคุณสมบัติครบถ้วนตามกฎหมาย เมื่อคำนึงถึงสภาพความผิดและพฤติการณ์สิ่งแวดล้อมแล้ว สมควรรอการลงโทษไว้

เนื้อหาฉบับเต็ม

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลย ตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2522 มาตรา 26, 84 ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91, 137, 267 และสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของจำเลยมีกำหนด10 ปี ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 137, 267 กรรมหนึ่ง ลงโทษตาม มาตรา 267 บทหนัก จำคุก2 ปี ปรับ 4,000 บาท มีความผิดตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร มาตรา 26, 84 อีกกรรมหนึ่งจำคุก 1 ปี รวมจำคุก3 ปี ปรับ 4,000 บาท รอการลงโทษจำคุกไว้ 2 ปี เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของจำเลยมีกำหนด 10 ปี โจทก์และจำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษโดยไม่รอการลงโทษและไม่ปรับจำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "ฎีกาของจำเลยข้อแรกที่ว่า ผู้ว่าราชการจังหวัดมิใช่ผู้เสียหายในความผิดตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2522 มาตรา 26, 84 จึงไม่มีอำนาจร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีพนักงานอัยการจึงไม่มีอำนาจฟ้องนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อความผิดที่โจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ มิใช่เป็นคดีความผิดต่อส่วนตัว เมื่อปรากฏว่าพนักงานสอบสวนได้ทำการสอบสวนแล้วพนักงานอัยการย่อมมีอำนาจเป็นโจทก์ฟ้องคดีนี้ต่อศาลได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 120 ผู้ร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีนี้จะเป็นผู้ใดหามีความสำคัญไม่ ฉะนั้นที่จำเลยฎีกาโต้เถียงว่าพนักงานอัยการโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง จึงฟังไม่ขึ้น"

และศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยมิได้จบการศึกษาชั้นประโยคมัธยมศึกษาตอนปลายจากโรงเรียน ชุณหวัน วิทยานุสรณ์แล้ววินิจฉัยข้อกฎหมายว่า "การที่จำเลยกรอกใบสมัครว่าจำเลยจบการศึกษาประโยคชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย อันเป็นการแจ้งข้อความเท็จแก่เจ้าพนักงานผู้รับสมัคร จึงเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 137 กับแจ้งให้เจ้าพนักงานจดข้อความเท็จตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 267 อีกบทหนึ่งอันเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น

จำเลยฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายต่อไปว่า จำเลยเรียนจบชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายมัธยมปีที่ 6 จากโรงเรียนสุรินทร์ราษฎร์บำรุงเมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2503 จำเลยจึงมีคุณสมบัติครบถ้วนในการสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร การที่จำเลยสมัครรับเลือกตั้งดังกล่าว จึงไม่มีความผิดตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2522 มาตรา 26, 84 ตามที่โจทก์ฟ้องพิเคราะห์แล้วข้อเท็จจริงได้ความตามที่ศาลล่างทั้งสองฟังมาโดยโจทก์มิได้โต้แย้งว่า จำเลยสอบไล่ได้ตามหลักสูตรประโยคมัธยมวิสามัญศึกษาตอนปลายมัธยมปีที่ 6 จากโรงเรียนสุรินทร์ราษฎร์บำรุงเมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2503 คดีมีปัญหาจะต้องวินิจฉัยว่า การเรียนจบชั้นมัธยมปีที่ 6 ในปี พ.ศ. 2503 ซึ่งเป็นปีที่จำเลยสอบไล่ได้เป็นการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลายตามหลักสูตรของกระทรวงศึกษาธิการหรือตามแผนการศึกษาของชาติในความหมายของพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2522 มาตรา 19(1) หรือไม่ เห็นว่าพระราชบัญญัติ การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2522มาตรา 19(1) ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2523 มาตรา 6 บัญญัติว่า"บุคคลผู้มีสัญชาติไทยซึ่งเป็นบิดาเป็นคนต่างด้าว จะเป็นผู้สมัครได้ต้องมีคุณสมบัติตามมาตรา 18 และมีคุณสมบัติอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้ด้วย

(1) เป็นผู้ได้เข้าเรียนอยู่ในโรงเรียนตามกำหนดเวลา และสอบไล่ได้ไม่ต่ำกว่าระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ตามหลักสูตรของกระทรวงศึกษาธิการหรือตามแผนการศึกษาของชาติ หรือได้เข้าเรียนอยู่ในโรงเรียนหรือสถาบันการศึกษาอื่นในประเทศตามกำหนดเวลามาโดยตลอดจนมีความรู้ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเทียบเท่าหรือรับรองว่าเทียบได้ไม่ต่ำกว่าระดับมัธยมศึกษาตอนปลายตามหลักสูตรของกระทรวงศึกษาธิการหรือแผนการศึกษาของชาติ" คำว่า มัธยมศึกษาตอนปลายตามมาตรา 19(1) นี้ จึงมีความหมาย 2 ประการ คือ มัธยมศึกษาตอนปลายตามหลักสูตรของกระทรวงศึกษาธิการประการหนึ่ง หรือมัธยมศึกษาตอนปลายตามแผนการศึกษาของชาติอีกประการหนึ่ง แต่มาตรา 19(1) นี้มิได้ระบุว่า หลักสูตรของกระทรวงศึกษาธิการหรือแผนการศึกษาของชาติจะต้องเป็นหลักสูตรหรือแผนการศึกษาของชาติในปี พ.ศ. ใดโดยเฉพาะเมื่อได้พิจารณาถึงถ้อยคำในบทบัญญัติมาตรา 19(1) เดิม ก่อนที่จะมีการแก้ไขใช้ถ้อยคำว่า "เป็นผู้ได้เข้าอยู่ในโรงเรียนตามกำหนดเวลาและสอบไล่ได้ไม่ต่ำกว่าชั้นมัธยมปีที่ 8 หรือชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 หรือมัธยมศึกษาตอนปลายตามหลักสูตรของกระทรวงศึกษาธิการหรือตามแผนการศึกษาของชาติ พ.ศ. 2520 แล้วแต่กรณี ฯลฯ" บทบัญญัติของมาตรา 19(1) ที่แก้ไขใหม่นี้ได้ตัดข้อความว่า "ชั้นมัธยมปีที่ 8หรือชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5" และ "พ.ศ. 2520" ท้ายข้อความว่า"ตามแผนการศึกษาของชาติ" ออก แสดงให้เห็นเจตนารมณ์ของบทมาตรา 19(1)ซึ่งได้แก้ไขให้แตกต่างไปจากบทบัญญัติเดิมว่า ไม่ประสงค์จะให้ผู้สมัครจะต้องสอบไล่ได้ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 8 หรือชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 หรือในชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายตามแผนการศึกษาของชาติพ.ศ. 2520 แต่ประการใด ดังนั้นคำว่าหลักสูตรของกระทรวงศึกษาธิการหรือแผนการศึกษาของชาติตาม มาตรา 19(1) ที่ได้แก้ไขแล้ว จึงหมายถึงหลักสูตรหรือแผนการศึกษาของชาติในขณะที่บุคคลนั้น ๆ สอบไล่ในชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายได้ เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าจำเลยสอบไล่ได้ชั้นมัธยมปีที่ 6 ในปี พ.ศ. 2503 ซึ่งขณะนั้นแผนการศึกษาของชาติที่ใช้บังคับอยู่คือ แผนการศึกษาชาติ พ.ศ. 2494 ซึ่งแบ่งการศึกษาออกเป็นขั้น ๆ คือ

ก. การศึกษาชั้นอนุบาล

ข. ประถมศึกษา

ค. มัธยมศึกษา

ง. เตรียมอุดมศึกษาและอาชีวศึกษาชั้นสูง

จ. อุดมศึกษาและมหาวิทยาลัย

สำหรับชั้นมัธยมศึกษาแยกออกเป็น 3 สายคือ

ก. มัธยมสามัญศึกษา …ฯลฯ…

ข. มัธยมวิสามัญศึกษา ได้แก่การศึกษาวิชาซึ่งเป็นพื้นความรู้สำหรับไปศึกษาต่อในชั้นเตรียมอุดมศึกษา หรืออาชีวศึกษาจัดสอนตั้งแต่ชั้นมัธยมวิสามัญตอนต้น ปีที่ 1 ถึงปีที่ 3 และชั้นมัธยมวิสามัญตอนปลายปีที่ 4 ถึงปีที่ 6

ค. มัธยมอาชีวศึกษา….ฯลฯ….

ดังนี้ มัธยมศึกษาตามแผนการศึกษาชาติ พ.ศ. 2494 ในสาย ข.มัธยมวิสามัญศึกษา จึงมีชั้นมัธยมวิสามัญตอนปลายเพียงแค่มัธยมปีที่ 6 เท่านั้น เมื่อจำเลยสอบไล่ชั้นมัธยมปีที่ 6 ในปี พ.ศ. 2503จึงถือว่าจำเลยสอบไล่ได้ระดับมัธยมศึกษาตอนปลายตามแผนการศึกษาของชาติ พ.ศ. 2494 แล้ว จำเลยจึงเป็นผู้มีคุณสมบัติครบถ้วนตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 19(1) แห่งพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2522 การที่จำเลยสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แม้จะกรอกคุณสมบัติทางการศึกษาลงในใบสมัครไม่ตรงต่อความจริงก็ไม่เป็นความผิดตามบทมาตราที่โจทก์ฟ้อง ฎีกาของจำเลยในข้อนี้ฟังขึ้น เมื่อได้วินิจฉัยมาแล้วว่า จำเลยไม่มีความผิดตามพระราชบัญญัติ การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2522มาตรา 26 จึงไม่จำต้องวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายตามฎีกาของจำเลยว่าความผิดดังกล่าวจะเป็นกรรมเดียวกับความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 137 และมาตรา 267 หรือไม่

ส่วนที่จำเลยฎีกาขอให้รอการลงโทษนั้น เห็นว่าจำเลยเคยได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสุรินทร์เมื่อปีพ.ศ. 2526 ได้ทำงานเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม จนได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นตริตาภรณ์ช้างเผือก การที่จำเลยกระทำผิดคดีนี้ โดยแจ้งคุณสมบัติทางการศึกษาเป็นเท็จ เชื่อว่าเป็นเพราะจำเลยเข้าใจผิดว่า ตนไม่มีคุณสมบัติตามที่กฎหมายกำหนด ซึ่งความจริงแล้วจำเลยมีคุณสมบัติครบถ้วนตามกฎหมาย ไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน เมื่อคำนึงถึงสภาพความผิดและพฤติการณ์สิ่งแวดล้อมแล้ว เห็นสมควรให้โอกาสจำเลยได้กลับตัวประพฤติตนเป็นพลเมืองดีต่อไปโดยให้รอการลงโทษไว้"

พิพากษาแก้เป็นว่า โทษจำคุกของจำเลยสำหรับความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 267 ให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปีให้ยกฟ้องในความผิด ตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2522 และไม่เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของจำเลยนอกจากที่แก้ ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

หมายเลขคดีดำศาลฎีกา nan

แหล่งที่มา เนติบัณฑิตยสภา

ชื่อคู่ความ โจทก์ - อัยการ สุรินทร์ จำเลย - นาย บุญ ติด สุรประพจน์

ชื่อองค์คณะ สุวรรณ ตระการพันธุ์ ศักดิ์ สนองชาติ กู้เกียรติ สุนทรบุระ

ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ที่ตัดสิน nan

ข้อจำกัดความรับผิดชอบ: ข้อมูลเหล่านี้อาจไม่ใช่เวอร์ชันล่าสุด รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจมีข้อมูลที่เป็นปัจจุบันหรือแม่นยำกว่า เราไม่รับประกันหรือรับประกันเกี่ยวกับความถูกต้อง ความสมบูรณ์ หรือความเพียงพอของข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้หรือข้อมูลที่เชื่อมโยงกับเว็บไซต์ของรัฐ โปรดตรวจสอบแหล่งที่มาอย่างเป็นทางการ
ข้อมูลอ้างอิงจากเว็บไซต์ : www.krisdika.go.th, deka.supremecourt.or.th
ติดต่อเราทาง LINE