สารบัญ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6022/2539

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6022/2539

ประมวลกฎหมายอาญา ม. 83, 297, 299 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 192

โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยที่1และที่3ร่วมกันเป็นตัวการทำร้ายร่างกายผู้เสียหายเป็นเหตุให้ผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัสขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา297,83ทางพิจารณาได้ความว่าผู้เสียหายถูกทำร้ายเพราะมีการชุลมุนต่อสู้กันระหว่างบุคคลตั้งแต่สามคนขึ้นไปโดยมีจำเลยที่1และที่3ร่วมอยู่ในที่ชุลมุนด้วยสาระสำคัญในการกระทำความผิดที่พิจารณาได้ความคือการชุลมุนต่อสู้กันระหว่างบุคคลตั้งแต่สามคนขึ้นไปแต่ตามฟ้องไม่มีข้อความตอนใดบรรยายถึงข้อเท็จจริงอันเป็นสาระสำคัญของความผิดฐานเข้าร่วมชุลมุนต่อสู้ระหว่างบุคคลตั้งแต่สามคนขึ้นไปอันเป็นเหตุให้บุคคลหนึ่งบุคคลใดได้รับอันตรายสาหัสซึ่งจะมีผลให้ลงโทษจำเลยที่1และที่3ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา299ได้ต้องถือว่าข้อเท็จจริงที่ปรากฎตามทางพิจารณาแตกต่างกับข้อเท็จจริงที่กล่าวในฟ้องในข้อสาระสำคัญจึงลงโทษจำเลยที่1และที่3ตามทางพิจารณาที่ได้ความไม่ได้เพราะต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา192

เนื้อหาฉบับเต็ม

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสามร่วมกันกระทำความผิดหลายกรรมต่างกันกล่าวคือ จำเลยที่ 1 ได้พาอาวุธเหล็กท่อน้ำขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง1 นิ้ว ยาว 2 ฟุต จำนวน 1 ท่อน จำเลยที่ 2 ได้พาอาวุธไม้เหลี่ยมขนาดหน้ากว้าง 3 นิ้ว ยาว 2 ฟุต จำนวน 1 ท่อน และจำเลยที่ 3ได้พาอาวุธค้อนเหล็กด้ามไม้จำนวน 1 ด้าม ซึ่งจำเลยทั้งสามมีเจตนาใช้เป็นอาวุธติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน ทางสาธารณะโดยไม่มีไม่มีเหตุอันสมควร และจำเลยทั้งสามได้ร่วมกระทำผิดด้วยกันโดยใช้เหล็กท่อน้ำไม้เหลี่ยม และค้อนเหล็กที่พาติดตัวไปเป็นอาวุธตีและเตะ กระทืบทำร้ายร่างกายนายอินทร์ ถาวร ผู้เสียหายถูกที่ขอบคิ้วซ้าย ตาซ้าย ศีรษะ และใบหน้าจนเป็นเหตุให้ผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัส ตาซ้ายบอด ป่วยเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนาเกินกว่ายี่สิบวันและจนประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่ายี่สิบวัน ขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33,83, 91, 297 และ 371 ริบของกลาง

จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371, 297(1), (8) ประกอบมาตรา 83เป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ผู้ถูกทำร้ายได้รับอันตรายสาหัส วางโทษจำคุกคนละ5 ปี ฐานพาอาวุธไปตามทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควรปรับคนละ100 บาท จำเลยทั้งสามให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนมีเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ลดโทษให้คนละหนึ่งในสามคงลงโทษจำคุกคนละ 3 ปี 4 เดือน ปรับคนละ 66 บาท หากไม่ชำระค่าปรับจัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ริบของกลาง

จำเลยทั้งสามอุทธรณ์

คดีอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ จำเลยที่ 2 ได้ถึงแก่ความตาย ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งจำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 2

ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า พฤติการณ์แห่งคดีฟังได้ว่า ผู้เสียหายได้พาพวกมาดักรอพบจำเลยที่ 2 และนายสงวนเพื่อเจรจาตกลงกันเรื่องที่จำเลยที่ 2 ไปพูดคุยกับภริยาของนายวิชัย โดยพวกของผู้เสียหายก็มีอาวุธมีดดาบอยู่ด้วยแล้วเกิดชุลมุนต่อสู้กันระหว่างบุคคลตั้งแต่สามคนขึ้นไป และผู้เสียหายซึ่งเข้าร่วมชุลมุนต่อสู้ได้รับอันตรายสาหัส ดังศาลอุทธรณ์วินิจฉัยและเมื่อฟังว่าผู้เสียหายและจำเลยที่ 1 ที่ 3 ได้เข้าร่วมในการชุลมุนต่อสู้กันแล้ว การที่โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 1 และที่ 3ร่วมกันเป็นตัวการทำร้ายร่างกายผู้เสียหาย เป็นเหตุให้ผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัส ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297,83 เมื่อทางพิจารณาได้ความว่าผู้เสียหายถูกทำร้ายเพราะมีการชุลมุนต่อสู้กันระหว่างบุคคลตั้งแต่สามคนขึ้นไป โดยมีจำเลยที่ 1 และที่ 3ร่วมอยู่ในที่ชุลมุนด้วย จะลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 299, 83ตามทางพิจารณาที่ได้ความหรือไม่ เห็นว่า สาระสำคัญในการกระทำความผิดที่พิจารณาได้ความคือการชุลมุนต่อสู้กันระหว่างบุคคลตั้งแต่สามคนขึ้นไป แต่ตามฟ้องไม่มีข้อความตอนใดบรรยายถึงข้อเท็จจริงอันเป็นสาระสำคัญของความผิดฐานเข้าร่วมชุลมุนต่อสู้ระหว่างบุคคลตั้งแต่สามคนขึ้นไปอันเป็นเหตุให้บุคคลหนึ่งบุคคลใดได้รับอันตรายสาหัส ซึ่งจะมีผลให้ลงโทษจำเลยที่ 1 และที่ 3 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 299 ได้ ต้องถือว่าข้อเท็จจริงที่ปรากฎตามทางพิจารณาแตกต่างกับข้อเท็จจริงที่กล่าวในฟ้องในข้อสาระสำคัญจึงลงโทษจำเลยที่ 1 และที่ 3 ตามทางพิจารณาที่ได้ความไม่ได้เพราะต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192และวินิจฉัยต่อไปว่าความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371ต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยให้เป็นการไม่ชอบ

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในข้อหาความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371 คงให้บังคับคดีสำหรับความผิดในข้อหานี้ไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

หมายเลขคดีดำศาลฎีกา nan

แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ชื่อคู่ความ โจทก์ - พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการสูงสุด จำเลย - นาย วีระพันธ์ ชัยสวาทหรือไชยสวาสดิ์ กับพวก

ชื่อองค์คณะ ปรีชา บูรณะไทย บุญธรรม อยู่พุก ณรงค์ ตันติเตมิท

ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ที่ตัดสิน nan

ข้อจำกัดความรับผิดชอบ: ข้อมูลเหล่านี้อาจไม่ใช่เวอร์ชันล่าสุด รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจมีข้อมูลที่เป็นปัจจุบันหรือแม่นยำกว่า เราไม่รับประกันหรือรับประกันเกี่ยวกับความถูกต้อง ความสมบูรณ์ หรือความเพียงพอของข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้หรือข้อมูลที่เชื่อมโยงกับเว็บไซต์ของรัฐ โปรดตรวจสอบแหล่งที่มาอย่างเป็นทางการ
ข้อมูลอ้างอิงจากเว็บไซต์ : www.krisdika.go.th, deka.supremecourt.or.th
ติดต่อเราทาง LINE