สารบัญ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5958/2539

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5958/2539

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 142, 243 (1), 247 พระธรรมนูญศาลยุติธรรม ม. 3 ทวิ, 19 พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลอุทธรณ์ภาค พ.ศ.2532

ศาลอุทธรณ์ภาคใดมีเขตอำนาจเพียงใดจะต้องเป็นไปตามที่พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลอุทธรณ์ภาคพ.ศ.2532และพระราชกฤษฎีกากำหนดจำนวนที่ตั้งเขตศาลและวันเปิดทำการของศาลอุทธรณ์ภาคพ.ศ.2532กำหนดไว้มิใช่คู่ความเลือกเองได้การที่โจทก์ขออุทธรณ์ต่อศาลอุทธรณ์ภาค1ซึ่งมิได้มีเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีเห็นได้ว่าเป็นการเข้าใจผิดหรือพิมพ์ผิดพลาดเมื่อศาลชั้นต้นตรวจคำฟ้องอุทธรณ์แล้วส่งมายังศาลอุทธรณ์ภาค2ซึ่งมีเขตอำนาจตามกฎหมายศาลอุทธรณ์ภาค2จึงมีอำนาจพิพากษาคดีนี้ได้ ตามคำฟ้องของโจทก์ได้แสดงซึ่งสภาพแห่งข้อหาว่าจำเลยที่1และที่2ร่วมกันสั่งซื้อข้าวสารชนิดต่างๆไปจากโจทก์หลายครั้งโดยจำเลยที่1มอบหมายให้จำเลยที่2เป็นผู้มาติดต่อขอซื้อข้าวสารจากโจทก์โจทก์ส่งมอบข้าวสารให้ตามที่จำเลยทั้งสองสั่งซื้อหลายครั้งจำเลยทั้งสองได้รับมอบสินค้าและชำระราคาให้โจทก์แล้วบางส่วนคงค้างชำระอยู่เป็นเงิน1ล้านบาทเศษขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระหนี้ดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยให้โจทก์ไม่มีข้อหาว่าจำเลยที่2กระทำการแทนจำเลยที่1และเพื่อประโยชน์ของจำเลยที่1อันพอจะถือได้ว่าจำเลยที่1ได้เชิดจำเลยที่2หรือยอมให้จำเลยที่2เชิดตัวเองเป็นตัวแทนของจำเลยที่1ในการซื้อสินค้าของโจทก์ไปแต่อย่างใดดังนั้นที่ศาลอุทธรณ์ภาค2วินิจฉัยว่าจำเลยที่2เป็นตัวแทนเชิดของจำเลยที่1ในการซื้อข้าวสารระหว่างโจทก์กับจำเลยที่1และยกฟ้องสำหรับจำเลยที่2ซึ่งมิได้อุทธรณ์ด้วยนั้นจึงเป็นการตัดสินนอกคำฟ้องและนอกข้อหาของโจทก์ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา142อันเป็นการมิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งว่าด้วยคำพิพากษาและคำสั่งตามมาตรา243(1)ประกอบมาตรา247มีเหตุอันสมควรย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค2พิพากษาใหม่

เนื้อหาฉบับเต็ม

โจทก์ฟ้องโดยได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถาว่าจำเลยทั้งสองได้ร่วมกันสั่งซื้อข้าวสารชนิดต่าง ๆ ปลายข้าวและรำละเอียดไปจากโจทก์หลายครั้งจำเลยทั้งสองได้รับมอบสินค้าที่สั่งซื้อแล้ว จำเลยที่ 2 ได้ออกเช็คธนาคารกรุงเทพ จำกัดสาขาสิงห์บุรี รวม 4 ฉบับ เพื่อชำระหนี้บางส่วนให้แก่โจทก์เมื่อเช็คทั้งสี่ฉบับถึงกำหนด โจทก์นำไปเรียกเก็บเงินจากธนาคารตามเช็ค ปรากฏว่าธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน ขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระหนี้ จำนวน 1,454,675 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันที่ 8 มิถุนายน 2531ถึงวันฟ้อง เป็นเงินดอกเบี้ย 176,076.25 บาท รวมต้นเงินและดอกเบี้ยเป็นเงิน 1,630,751.25 บาท และร่วมกันชำระดอกเบี้ยในอัตราดังกล่าวของต้นเงิน 1,454,675 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจำเลยทั้งสองจะชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยที่ 1 ให้การว่า จำเลยที่ 1 ไม่เคยรู้จักและไม่เคยซื้อข้าวสารจากโจทก์และไม่เคยมอบหมายให้จำเลยที่ 2 ไปติดต่อขอซื้อข้าวสาร ปลายข้าวและรำ จากโจทก์ ไม่เคยรับมอบสินค้าตามฟ้องไม่เคยเปิดบัญชีกระแสรายวันให้แก่จำเลยที่ 2 เพื่อออกเช็คสั่งจ่ายเงินชำระหนี้แก่โจทก์ เช็คจำนวน 4 ฉบับ ตามฟ้องไม่ผูกพันจำเลยที่ 1และขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง

จำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า ให้จำเลยที่ 2 ชำระเงินจำนวน1,630,751.25 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 1,454,675 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้ยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 1

โจทก์ อุทธรณ์ โดย ได้รับ อนุญาต ให้ ดำเนินคดี อย่าง คนอนาถา

ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินจำนวน 1,630,751.25 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของต้นเงิน 1,454,675 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ให้ยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 2

จำเลย ที่ 1 ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "ปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1ในข้อแรกมีว่า โจทก์มิได้อุทธรณ์ต่อศาลอุทธรณ์ภาค 2 หากแต่ขออุทธรณ์ต่อศาลอุทธรณ์ภาค 1 ซึ่งมิได้มีเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีศาลอุทธรณ์ภาค 2 จึงไม่มีอำนาจพิจารณาคดีนี้ เพราะมิใช่ศาลที่โจทก์ประสงค์จะอุทธรณ์นั้น เห็นว่า ศาลอุทธรณ์ภาคใดมีเขตอำนาจเพียงใดจะต้องเป็นไปตามที่พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลอุทธรณ์ภาค พ.ศ. 2532และพระราชกฤษฎีกากำหนดจำนวน ที่ตั้ง เขตศาลและวันเปิดทำการของศาลอุทธรณ์ภาค พ.ศ. 2532 กำหนดไว้ มิใช่คู่ความเลือกเองได้การที่โจทก์ขออุทธรณ์ต่อศาลอุทธรณ์ภาค 1 ซึ่งมิได้มีเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาคดี เห็นได้ว่า เป็นการเข้าใจผิดหรือพิมพ์ผิดพลาดเมื่อศาลชั้นต้นตรวจคำฟ้องอุทธรณ์แล้วส่งมายังศาลซึ่งมีเขตอำนาจตามกฎหมาย ศาลอุทธรณ์ภาค 2 จึงมีอำนาจพิพากษาคดีนี้ได้ ฎีกาของจำเลยที่ 1 ในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น

ปัญหาต่อไปตามฎีกาของจำเลยที่ 1 มีว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 2พิพากษานอกข้อหาของโจทก์หรือไม่ เห็นว่า ตามคำฟ้องของโจทก์ได้แสดงซึ่งสภาพแห่งข้อหาว่า จำเลยที่ 2 มีอาชีพค้าขายได้ร่วมกับจำเลยที่ 1 รับซื้อข้าวสารไปจากโจทก์ เมื่อระหว่างวันที่ 30เมษายน 2531 ถึงวันที่ 30 พฤษภาคม 2531 จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2ได้ร่วมกันสั่งซื้อข้าวสารชนิดต่าง ๆ ไปจากโจทก์หลายครั้งหลายหนโดยจำเลยที่ 1 มอบหมายให้จำเลยที่ 2 เป็นผู้มาติดต่อขอซื้อข้าวสารจากโจทก์และบุคคลอื่น ๆ อีกหลายคน โจทก์ส่งมอบข้าวสารชนิดต่าง ๆให้ตามที่จำเลยทั้งสองสั่งซื้อหลายครั้ง จำเลยทั้งสองได้รับมอบสินค้าที่สั่งซื้อและชำระราคาให้โจทก์แล้วบางส่วน คงค้างชำระอยู่เป็นเงิน 1,454,675 บาท อันเป็นข้ออ้างซึ่งอาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาส่วนคำขอบังคับก็คือขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระหนี้ดังกล่าวพร้อมด้วยดอกเบี้ยให้โจทก์อันเป็นการฟ้องให้จำเลยทั้งสองร่วมกันรับผิดต่อโจทก์ ไม่มีข้อหาว่าจำเลยที่ 2 กระทำการแทนจำเลยที่ 1และเพื่อประโยชน์ของจำเลยที่ 1 อันพอจะถือได้ว่าจำเลยที่ 1ได้เชิดจำเลยที่ 2 หรือยอมให้จำเลยที่ 2 เชิดตัวเองเป็นตัวแทนของจำเลยที่ 1 ในการซื้อสินค้าของโจทก์ไปแต่อย่างใดที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยว่า จำเลยที่ 2 เป็นตัวแทนเชิดของจำเลยที่ 1 ในการซื้อข้าวสารระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 และยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 2 ซึ่งมิได้อุทธรณ์ด้วยนั้น จึงเป็นการตัดสินนอกคำฟ้องและนอกข้อหาของโจทก์ ต้องห้ามตามมาตรา 142 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง อันเป็นการมิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้ว่าด้วยคำพิพากษาและคำสั่งตามมาตรา 243(1) ประกอบมาตรา 247 มีเหตุอันสมควรย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาใหม่ ฎีกาของจำเลยที่ 1 ในข้อนี้ฟังขึ้นคดีไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาจำเลยที่ 1 ในข้ออื่นต่อไป"

พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ให้ศาลอุทธรณ์ภาค 2พิพากษาคดีใหม่ ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้ศาลอุทธรณ์ภาค 2รวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษาใหม่

หมายเลขคดีดำศาลฎีกา nan

แหล่งที่มา สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ชื่อคู่ความ โจทก์ - นาง สุรินทร์ คงแสง จำเลย - นาง สุพิศ สุขสุวรรณ กับพวก

ชื่อองค์คณะ ผล อนุวัตรนิติการ สมปอง เสนเนียม จารุณี ตันตยาคม

ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ที่ตัดสิน nan

ข้อจำกัดความรับผิดชอบ: ข้อมูลเหล่านี้อาจไม่ใช่เวอร์ชันล่าสุด รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจมีข้อมูลที่เป็นปัจจุบันหรือแม่นยำกว่า เราไม่รับประกันหรือรับประกันเกี่ยวกับความถูกต้อง ความสมบูรณ์ หรือความเพียงพอของข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้หรือข้อมูลที่เชื่อมโยงกับเว็บไซต์ของรัฐ โปรดตรวจสอบแหล่งที่มาอย่างเป็นทางการ
ข้อมูลอ้างอิงจากเว็บไซต์ : www.krisdika.go.th, deka.supremecourt.or.th
ติดต่อเราทาง LINE