สารบัญ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5893/2539

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5893/2539

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 193/32 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 271

การที่โจทก์นำหนี้ตามคำพิพากษาของศาลที่ถึงที่สุดแล้วมาฟ้องขอให้จำเลยล้มละลายมิใช่เรื่องการบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่ง ไม่อาจนำบทบัญญัติเกี่ยวกับระยะเวลาการบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 271 มาบังคับได้ เมื่อขณะที่โจทก์ยื่นฟ้องยังไม่เลยกำหนดเวลาสิบปีนับแต่วันที่มีคำพิพากษา โจทก์จึงมีสิทธินำหนี้ที่เหลือจากการบังคับคดีตามคำพิพากษามาฟ้องขอให้จำเลยล้มละลายได้

เนื้อหาฉบับเต็ม

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองเป็นลูกหนี้โจทก์ตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 102/2528 ซึ่งพิพากษาเมื่อวันที่ 25 เมษายน 2528 ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 610,557.01 บาท พร้อมดอกเบี้ยเจ้าพนักงานบังคับคดีทำการยึดทรัพย์จำนองของจำเลยที่ 2 ออกขายทอดตลาด ได้เงินมาชำระหนี้โจทก์เพียงจำนวน 142,500 บาท ยังมีหนี้ค้างอยู่อีก610,557.01 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 18.5 ต่อปีนับแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2531 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จคำนวณถึงวันฟ้องเป็นจำนวนเงิน 1,567,723.09 บาท จำเลยทั้งสองไม่มีทรัพย์สินอื่นใดที่จะพึงยึดมาชำระหนี้ได้ ถือว่าจำเลยทั้งสองเป็นบุคคลมีหนี้สินล้นพ้นตัว ขอให้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยทั้งสองเด็ดขาดและพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลาย

จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยทั้งสองมิได้เป็นหนี้โจทก์ตามฟ้อง ยอดหนี้ตามคำฟ้องไม่ถูกต้อง จำเลยทั้งสองมีทรัพย์สินที่จะชำระหนี้ให้โจทก์ได้ โจทก์ฟ้องคดีนี้เพื่อขยายอายุความในคดีแพ่งเท่านั้น ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้ จึงให้งดสืบพยานของคู่ความ แล้ววินิจฉัยว่าคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 102/2528ของศาลนี้มีคำพิพากษาถึงที่สุดเมื่อวันที่ 25 เมษายน 2528หากนับถึงขณะที่ศาลนี้มีคำพิพากษาคดีนี้ก็จะเกิน 10 ปีโจทก์ย่อมหมดสิทธิที่จะบังคับคดีแก่จำเลยทั้งสองแล้ว จึงไม่มีเหตุอันควรให้จำเลยทั้งสองล้มละลายตามพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ. 2483 มาตรา 14 พิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาสืบพยานโจทก์และจำเลยให้เสร็จสิ้นแล้วพิพากษาหรือมีคำสั่งใหม่ตามรูปคดี

จำเลยทั้งสองฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "ข้อเท็จจริงได้ความว่า ศาลชั้นต้นได้พิพากษาคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 102/2528 ให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้ให้แก่โจทก์เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2528 โจทก์มาฟ้องคดีล้มละลายนี้เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2538 และหลังจากศาลชั้นต้นพิพากษาคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 102/2528 ดังกล่าว คดีถึงที่สุดแล้ววันที่ 10 พฤศจิกายน 2529 โจทก์ได้ร้องขอให้บังคับคดีตามคำพิพากษาจากนั้นเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ยึดทรัพย์จำนองของจำเลยที่ 2 ออกขายทอดตลาดเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2531 ได้เงินจากการขายทอดตลาดจำนวน 142,500 บาท หักหนี้ตามคำพิพากษาได้บางส่วน เห็นว่า การที่โจทก์นำหนี้ตามคำพิพากษาของศาลที่ถึงที่สุดแล้วมาเป็นมูลฟ้องขอให้จำเลยล้มละลายมิใช่เรื่องการบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งตามที่บัญญัติไว้ในภาค 4แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง จึงไม่อาจนำบทบัญญัติเกี่ยวกับระยะเวลาการบังคับคดีตามมาตรา 271 มาบังคับแก่กรณีนี้ได้ดังนั้นการที่โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองให้ล้มละลายโดยอาศัยมูลหนี้ตามคำพิพากษาคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 102/2528 ของศาลชั้นต้นซึ่งเป็นสิทธิเรียกร้องอันตั้งหลักฐานขึ้นโดยคำพิพากษาที่ถึงที่สุด มีอายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 193/32 ซึ่งโจทก์นำคดีมาฟ้องให้จำเลยทั้งสองล้มละลายเมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2538 ในขณะที่โจทก์ยื่นฟ้องจำเลยทั้งสองจึงยังไม่ล่วงเลยกำหนดเวลาสิบปีนับแต่วันที่มีคำพิพากษาเช่นนี้โจทก์จึงมีสิทธินำหนี้ที่เหลือตามคำพิพากษามาฟ้อง ขอให้จำเลยล้มละลายได้คำพิพากษาศาลฎีกาที่จำเลยทั้งสองยกขึ้นอ้างในฎีกานั้นข้อเท็จจริงไม่ตรงกับคดีนี้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3พิพากษาให้ยกคำพิพากษาของศาลชั้นต้นมานั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น"

พิพากษายืน

หมายเลขคดีดำศาลฎีกา nan

แหล่งที่มา สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ชื่อคู่ความ โจทก์ - ธนาคาร กรุงเทพ จำกัด ( มหาชน จำเลย - นาย วิจารณ์ หอม จันทร์ กับพวก

ชื่อองค์คณะ ทวีชัย เจริญบัณฑิต สมาน เวทวินิจ สมพงษ์ สนธิเณร

ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ที่ตัดสิน nan

ข้อจำกัดความรับผิดชอบ: ข้อมูลเหล่านี้อาจไม่ใช่เวอร์ชันล่าสุด รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจมีข้อมูลที่เป็นปัจจุบันหรือแม่นยำกว่า เราไม่รับประกันหรือรับประกันเกี่ยวกับความถูกต้อง ความสมบูรณ์ หรือความเพียงพอของข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้หรือข้อมูลที่เชื่อมโยงกับเว็บไซต์ของรัฐ โปรดตรวจสอบแหล่งที่มาอย่างเป็นทางการ
ข้อมูลอ้างอิงจากเว็บไซต์ : www.krisdika.go.th, deka.supremecourt.or.th
ติดต่อเราทาง LINE