สารบัญ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 580/2519

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 580/2519

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 887, 888 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 148

โจทก์เอาประกันภัยรถยนต์ไว้กับจำเลย สำหรับความเสียหายอันเกิดแก่ทรัพย์สินของบุคคลอื่นโดยรถยนต์นั้น ในวงเงินไม่เกิน 50,000 บาทต่อมาลูกจ้างของโจทก์ขับรถยนต์ดังกล่าวชนผู้อื่นบาดเจ็บและเสียชีวิตหลายคน โจทก์ถูกผู้เสียหายฟ้องและได้ใช้ค่าเสียหายไปแล้วบางรายโจทก์จึงฟ้องให้จำเลยชำระเงินค่าเสียหายที่โจทก์จ่ายไปแล้ว ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน จำเลยยอมใช้เงินให้โจทก์ 29,000 บาท คดีถึงที่สุด โจทก์มาฟ้องให้จำเลยรับผิดสำหรับค่าเสียหายที่โจทก์จ่ายให้แก่ผู้เสียหายที่ถูกรถของโจทก์ชนเป็นคดีนี้อีก ดังนี้ แม้จำนวนเงินค่าเสียหายที่โจทก์เรียกร้องในคดีนี้บางส่วนจะเป็นเงินที่โจทก์ชำระให้แก่ผู้เสียหายต่างรายกันกับผู้เสียหายในคดีก่อนก็ตามแต่ก็เป็นคดีที่โจทก์ฟ้องเรียกเงินชดใช้ตามกรมธรรม์ ซึ่งมีประเด็นวินิจฉัยเป็นอย่างเดียวกันว่าโจทก์มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยชดใช้เงินได้เพียงไรหรือไม่ และศาลต้องวินิจฉัยถึงความรับผิดของจำเลยโดยอาศัยข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอุบัติเหตุรายเดียวกัน อาศัยกรมธรรม์ฉบับเดียวกัน ฟ้องของโจทก์ในคดีนี้จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148

เนื้อหาฉบับเต็ม

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของรถยนต์ซึ่งเอาประกันภัยรถยนต์ไว้กับบริษัทจำเลยในระหว่างอายุสัญญาประกันภัย รถยนต์คันดังกล่าวได้ชนกับรถจิ๊ป มีคนได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตรวม 15 คน จำเลยและตัวแทนได้ทราบแล้วว่าลูกจ้างซึ่งเป็นคนขับรถของโจทก์ เป็นฝ่ายขับรถโดยประมาท แต่จำเลยเพิกเฉยเสียไม่ชดใช้ค่าเสียหายให้แก่บุคคลภายนอกตามกรมธรรม์ประกันภัยแทนโจทก์โจทก์จึงถูกผู้เสียหายฟ้องรวม 9 สำนวน โจทก์ได้แจ้งให้จำเลยทราบ แต่จำเลยเพิกเฉยไม่จัดการสู้คดี โจทก์ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมใช้ค่าเสียหายให้ผู้เสียหายไปแล้ว 4 สำนวน และอีก 4 รายที่ไม่ได้ฟ้อง โจทก์ได้ชำระค่าเสียหาย30,500 บาทและค่าทนายความ 20,000 บาท รวมทั้งสิ้นเป็นเงิน 50,500 บาทส่วนอีก 5 สำนวนจำเลยชดใช้ค่าเสียหายแล้ว จึงขอให้ศาลบังคับให้จำเลยชำระเงิน 50,500 บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ยให้โจทก์

จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง โดยจำเลยได้ใช้เงินแก่โจทก์แล้วตามคดีหมายเลขแดงที่ 5976/2512 ซึ่งโจทก์ฟ้องจำเลยต่อศาลเดียวกันตามคำพิพากษาตามยอม เป็นเงิน 29,000 บาท และโจทก์พอใจไม่ติดใจเรียกร้องนอกจากนี้อีก ตามฟ้องของโจทก์ในคดีดังกล่าวโจทก์อ้างว่ามีคนตาย 9 คนและผู้เสียหายฟ้องรวม 5 สำนวนเท่านั้น แต่คดีนี้โจทก์อ้างว่าถูกผู้เสียหายฟ้องรวม 9 สำนวน รวมเอาคดีเลขหมายตามที่โจทก์กล่าวในฟ้องอีก 4 สำนวนเข้าอีก ซึ่งในคดีหมายเลขแดงที่ 5976/2512 และคดีที่โจทก์ฟ้องไว้ก่อน โจทก์มิได้สงวนสิทธิที่จะเรียกร้องจากจำเลยอีก โจทก์ฟ้องคดีนี้เกิน 1 ปีขาดอายุความแล้ว โจทก์ไม่ได้จ่ายเงินไปตามฟ้อง จำเลยจึงไม่ต้องรับผิด โจทก์ไม่ได้ปฏิบัติตามกรมธรรม์ประกันภัย ไม่แจ้งให้จำเลยทราบก่อนว่าถูกผู้เสียหายฟ้องหรือมีการตกลงประนีประนอมยอมความกับผู้เสียหายนอกศาล คนขับรถโจทก์ไม่มีใบอนุญาตขับรถ และโจทก์มิได้ทวงถามจำเลยก่อน จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า โจทก์มีอำนาจฟ้อง เว้นแต่ 2 ราย โจทก์นำมาฟ้องอีก เป็นฟ้องซ้ำ คดีโจทก์ยังไม่ขาดอายุความ ค่าเสียหายยังเหลืออีก 6 ราย เป็นเงิน 20,500 บาท โจทก์ปฏิบัติตามกรมธรรม์และทวงถามจำเลยแล้วพิพากษาว่าให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย 20,500 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยให้แก่โจทก์

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า โจทก์ได้ฟ้องจำเลยให้ชดใช้ค่าเสียหายที่โจทก์ต้องจ่ายให้ผู้เสียหายไป รวมทั้งค่าจ้างทนายความเป็นเงิน 75,500 บาท ตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 5976/2512 เป็นการเรียกร้องให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายเต็มตามข้อสัญญาในกรมธรรม์ประกันภัย ซึ่งศาลก็ได้มีคำพิพากษาตามยอมโดยโจทก์ยอมรับชดใช้จากจำเลยเป็นเงิน 29,000 บาท และไม่ติดใจเรียกร้องนอกจากนี้อีกหนี้ตามกรมธรรม์ระงับแล้ว ฟ้องโจทก์คดีนี้จึงเป็นฟ้องซ้ำ พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์

โจทก์ฎีกาว่า ตามสัญญาประนีประนอมดังกล่าว ที่ว่าโจทก์ไม่ติดใจเรียกร้อง นอกจากนี้อีกมีผลเฉพาะคดีนั้น มิได้หมายความว่าโจทก์จะไม่เรียกร้องค่าเสียหายอื่นใดในวงเงินที่เหลืออยู่อีก 21,000 บาท ทั้งโจทก์เรียกค่าเสียหายซึ่งชำระให้กับผู้เสียหายคนอื่น ไม่ใช่ผู้เสียหายในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 5976/2512 จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ

ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์ได้ทำสัญญาประกันภัยรถยนต์ไว้กับบริษัทจำเลย โดยจำเลยยอมชดใช้ค่าเสียหายแทนผู้เอาประกันภัย สำหรับความเสียหายอันเกิดขึ้นแก่ทรัพย์สินของบุคคลอื่นซึ่งเกิดขึ้นเนื่องจากรถยนต์ที่เอาประกันภายในวงเงินไม่เกิน 50,000 บาท ในระหว่างอายุสัญญาประกันรถคันดังกล่าวได้เกิดชนกับรถจี๊ป มีคนบาดเจ็บและตายรวม 15 คน ซึ่งจำเลยมีหน้าที่ต้องชำระค่าเสียหาย แต่จำเลยไม่ชำระ โจทก์ถูกผู้เสียหาย 5 รายฟ้องรวม 5 สำนวน ซึ่งได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความใช้ค่าเสียหายให้แก่ผู้เสียหายเป็นเงิน 50,500 บาท โจทก์จึงฟ้องจำเลยเรียกเงินจำนวนนี้พร้อมทั้งค่าทนาย รวมเป็นเงิน 75,500 บาทให้โจทก์ และได้ตกลงประนีประนอมยอมความกันมีใจความว่า "จำเลยยอมให้เงินโจทก์ 29,000 บาท โดยจะชำระให้โจทก์ภายในวันที่ 20 ธันวาคม ศกนี้ โจทก์พอใจและไม่ติดใจเรียกร้องนอกจากนี้"ศาลพิพากษาตามยอมคดีถึงที่สุดแล้ว ปรากฏตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 5976/2512 หลังจากนั้นโจทก์จึงฟ้องคดีนี้ คดีได้ความว่า ผู้เสียหายในคดีนี้เว้นแต่ผู้เสียหาย 2 รายตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นเป็นคนละรายกับผู้เสียหายในคดีหมายเลขแดงที่ 5976/2512 และได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทก์ ก่อนโจทก์ฟ้องคดีนี้ เฉพาะในรายที่ฟ้องศาล ศาลมีคำพิพากษาตามยอมก่อนโจทก์ฟ้องคดีนี้ทั้งสิ้น รวมเป็นค่าเสียหายที่โจทก์จ่ายไปสำหรับผู้เสียหายอีก 6 รายในคดีนี้ เป็นเงิน 20,500 บาท

ปัญหาว่า ฟ้องของโจทก์คดีนี้เป็นฟ้องซ้ำกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 5976/2512 หรือไม่ หนี้ค่าชดใช้ตามกรมธรรม์สำหรับอุบัติเหตุตามฟ้องระงับไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความในคดีดังกล่าวแล้วหรือไม่

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า แม้จำนวนเงินค่าเสียหายที่โจทก์เรียกร้องจากจำเลยในคดีนี้บางส่วนจะเป็นเงินที่โจทก์ชำระให้กับผู้เสียหายต่างรายกันกับผู้เสียหายในคดีหมายเลขแดงที่ 5976/2512 ก็ตาม แต่ก็เป็นคดีที่โจทก์ฟ้องเรียกเงินชดใช้ตามกรมธรรม์จากจำเลย ซึ่งมีประเด็นวินิจฉัยเป็นอย่างเดียวกันว่า โจทก์มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยชดใช้เงินให้โจทก์ ได้เพียงไรหรือไม่ ซึ่งศาลต้องวินิจฉัยถึงความรับผิดของจำเลยโดยอาศัยข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นรายเดียวกัน และอาศัยกรมธรรม์ประกันภัยฉบับเดียวกัน ฟ้องโจทก์คดีนี้จึงเป็นฟ้องซ้ำกับคดีหมายเลขแดงที่ 5976/2512 ต้องห้ามมิให้ฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 ข้อที่โจทก์ฎีกาว่า โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายที่โจทก์ชำระให้ผู้เสียหายคนละรายกับผู้เสียหายในคดีหมายเลขแดงที่ 5976/2512จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำนั้น เห็นว่า โจทก์ฟ้องคดีนี้โดยอาศัยมูลกรณีสัญญาที่โจทก์จำเลยมีต่อกันให้จำเลยรับผิดต่อโจทก์โดยตรงเช่นเดียวกับคดีก่อน และโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องแทนผู้เสียหาย ซึ่งมีอำนาจฟ้องให้จำเลยในฐานะผู้รับประกันภัยรับผิดต่อผู้เสียหายได้อยู่แล้ว คดีไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยปัญหาว่า สัญญาประนีประนอมยอมความในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 5976/2512 จะมีความหมายอย่างไร เพราะโจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องคดีนี้เนื่องจากเป็นฟ้องซ้ำกับคดีก่อนอยู่แล้ว

พิพากษายืน

หมายเลขคดีดำศาลฎีกา nan

แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ชื่อคู่ความ โจทก์ - ห้างหุ้นส่วนสหมิตรเดินรถ โดยนายก่าย โภคสวัสดิ์หุ้นส่วนผู้จัดการ จำเลย - บริษัท สหเวชภัณฑ์ประกันภัย จำกัด

ชื่อองค์คณะ สงวน สิทธิไชย สุธรรม วรรณแสง สนิท บริรักษ์

ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ที่ตัดสิน nan

ข้อจำกัดความรับผิดชอบ: ข้อมูลเหล่านี้อาจไม่ใช่เวอร์ชันล่าสุด รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจมีข้อมูลที่เป็นปัจจุบันหรือแม่นยำกว่า เราไม่รับประกันหรือรับประกันเกี่ยวกับความถูกต้อง ความสมบูรณ์ หรือความเพียงพอของข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้หรือข้อมูลที่เชื่อมโยงกับเว็บไซต์ของรัฐ โปรดตรวจสอบแหล่งที่มาอย่างเป็นทางการ
ข้อมูลอ้างอิงจากเว็บไซต์ : www.krisdika.go.th, deka.supremecourt.or.th
ติดต่อเราทาง LINE