คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5704/2539
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 148 (3), 172 วรรคสอง, 249 วรรคหนึ่ง
โจทก์ฟ้องให้จำเลยทั้งสองรับผิดในจำนวนหนี้ที่จำเลยทั้งสองเป็นหนี้โจทก์ตามบัญชีเดินสะพัดเมื่อบรรยายฟ้องก็กล่าวถึงเวลาขอเปิดบัญชีในวงเงินที่กำหนดและมีการเบิกจ่ายเงินและชำระหนี้กันเป็นระยะเวลาหลายปีจนถึงผลสุดท้ายก็มียอดหนี้ของจำเลยทั้งสองรวมทั้งดอกเบี้ยแม้เอกสารการ์ดบัญชีที่แสดงว่าเป็นหนี้กันอยู่จะแนบมาพร้อมฟ้องเพียงบางส่วนก็นับว่าชัดแจ้งพอที่จะเข้าใจข้อหาและจำนวนหนี้ได้ดีฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม จำเลยทั้งสองมิได้ต่อสู้คดีไว้ว่าจะต้องรับผิดไม่เกิน200,000บาทตามสัญญาเท่านั้นเพิ่งยกขึ้นโต้แย้งในชั้นอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยจำเลยทั้งสองมิได้โต้แย้งว่าคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในส่วนนี้ไม่ถูกต้องประการใดบ้างกลับโต้แย้งว่าจำเลยทั้งสองไม่ต้องรับผิดเกิน200,000บาทจึงเป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้ง เมื่อหนี้ยังไม่ระงับจำเลยทั้งสองต้องรับผิดต่อโจทก์ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยตามสัญญาแต่ดอกเบี้ยที่คิดมาในฟ้องศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าโจทก์คิดดอกเบี้ยไม่ชอบสมควรให้คิดใหม่โดยพิพากษาให้ยกฟ้องและไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะนำคดีมาฟ้องใหม่ซึ่งเป็นอำนาจศาลอุทธรณ์ที่จะพิพากษาได้
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2520 จำเลยทั้งสองเปิดบัญชีเดินสะพัดประเภทบัญชีเงินฝากกระแสรายวันกับโจทก์ต่อมาวันที่ 1 มิถุนายน 2521 จำเลยที่ 1 ทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีไปจากโจทก์เป็นจำนวน 200,000 บาทโดยถือบัญชีเดินสะพัดดังกล่าวเป็นบัญชีแห่งหนี้ และตกลงชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเข้ากับเงินต้นได้ หลังจากนั้นจำเลยทั้งสองเดินบัญชีกับโจทก์ตลอดมา ต่อมาจำเลยทั้งสองผิดสัญญา ดังนั้นเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม2534 โจทก์จึงหักทอนบัญชีเดินสะพัด ปรากฏว่าจำเลยทั้งสองเป็นหนี้โจทก์อยู่ 3,568,303.80 บาท โจทก์มีหนังสือบอกเลิกสัญญาและทวงถามจำเลยทั้งสองให้ชำระหนี้ จำเลยทั้งสองเพิกเฉยจำเลยทั้งสองจะต้องชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 18 ต่อปีจากเงินต้นดังกล่าวนับแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2534 จนถึงวันฟ้องเป็นเงิน 622,937.86 บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชำระเงิน 4,191,241.66 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 18 ต่อปีจากเงินต้น 3,568,303.80 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันเปิดบัญชีเดินสะพัดกับโจทก์จริง แต่โจทก์ไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากจำเลยทั้งสองในอัตราร้อยละ 18 ต่อปี เพราะเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด และไม่เป็นไปตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยหรือประกาศกระทรวงการคลังนอกจากนี้จำเลยทั้งสองประกอบกิจการเหมืองแร่ ซึ่งตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดให้เรียกดอกเบี้ยได้ไม่เกินร้อยละ 12.5ต่อปี การคิดดอกเบี้ยของโจทก์จึงตกเป็นโมฆะ และโจทก์ไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยเกินอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ทั้งต้องคิดแบบไม่ทบต้นด้วย และเมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2525 จำเลยทั้งสองได้ชำระหนี้ให้แก่โจทก์ครบถ้วนแล้วโดยโอนหนังสือมูลภัณฑ์กันชนเป็นเงิน 415,680บาท กับเงิน 16,000 บาท ให้โจทก์ทั้งได้ขอปิดบัญชีแล้วด้วย สำหรับดอกเบี้ยตั้งแต่วันที่ 30 ธันวาคม 2525 ถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2534โจทก์ไม่มีสิทธิคิดเพราะเป็นดอกเบี้ยค้างส่งเกิน 5 ปี ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเพราะมิได้บรรยายว่าจำเลยทั้งสองกู้ยืมเงินโจทก์ไปจำนวนเท่าใด รับเงินไปเมื่อไร ทั้งไม่ได้แสดงหลักฐานการรับเงินด้วยและไม่ได้ระบุว่าคิดดอกเบี้ยจากต้นเงินจำนวนเท่าใด กับจำเลยทั้งสองได้หักทอนบัญชีเป็นจำนวนเท่าใด นอกจากนี้จำเลยทั้งสองได้ทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีกับโจทก์ตั้งแต่ปี 2520 โจทก์นำคดีมาฟ้องเมื่อปี 2535 ฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยทั้งสองชำระเงิน1,075,656.84 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 17.5 ต่อปีนับแต่วันที่ 19 พฤษภาคม 2530 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
โจทก์และจำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับให้ยกฟ้อง โดยไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะนำคดีมาฟ้องใหม่
จำเลย ทั้ง สอง ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า เมื่อวันที่7 มิถุนายน 2520 จำเลยทั้งสองได้เปิดบัญชีเดินสะพัดกับโจทก์ในนามของจำเลยที่ 1 หรือที่ 2 และให้จำเลยทั้งสองมีสิทธิจ่ายเช็คเพื่อถอนเงินจากบัญชีตามเอกสารหมาย จ.9 ต่อมาวันที่1 มิถุนายน 2521 จำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีไปจากโจทก์ในวงเงิน 200,000 บาท ดอกเบี้ยร้อยละ 18 ต่อปีกำหนดส่งทุกวันสิ้นเดือน ถ้าผิดนัดให้ทบดอกเบี้ยเข้าเป็นเงินต้นและจำเลยที่ 1 ได้มอบหนังสือสำคัญมูลภัณฑ์กันชนจำนวน 2594 หาบเป็นเงิน 311,280 บาท ให้โจทก์ไว้เป็นประกันตามเอกสารหมายจ.11 และจำเลยทั้งสองได้สั่งจ่ายเช็คเบิกเงินไปจากโจทก์
ฎีกาของจำเลยว่า ฟ้องเคลือบคลุมหรือไม่ โดยจำเลยทั้งสองฎีกาโต้แย้งว่า โจทก์มิได้บรรยายให้ชัดเจนว่ากู้ยืมเงินเท่าใด คิดดอกเบี้ยจากเงินต้นเท่าใด แม้จะส่งการ์ดบัญชีก็แสดงตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2531 ถึงมิถุนายน 2534 ก่อนนั้นไม่มีรายละเอียดใด ๆ นั้น เห็นว่า โจทก์ฟ้องให้จำเลยทั้งสองรับผิดในจำนวนหนี้ที่จำเลยทั้งสองเป็นหนี้โจทก์ตามบัญชีเดินสะพัด เมื่อบรรยายฟ้องก็กล่าวถึงเวลาขอเปิดบัญชีในวงเงินที่กำหนด และมีการเบิกจ่ายเงินและชำระหนี้กันเป็นระยะเวลาหลายปี จนถึงผลสุดท้ายก็มียอดหนี้ของจำเลยทั้งสองรวมทั้งดอกเบี้ย แม้เอกสารการ์ดบัญชีที่แสดงว่าเป็นหนี้กันอยู่จะแนบมาพร้อมฟ้องเพียงบางส่วน ก็นับว่าชัดแจ้งพอที่จะเข้าใจข้อหาและจำนวนหนี้ได้ดี ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม
ฎีกาประการต่อไปมีว่า จำเลยทั้งสองจะรับผิดไม่เกิน200,000 บาท ตามสัญญาเท่านั้น เห็นว่า จำเลยทั้งสองมิได้ต่อสู้คดีไว้ เพิ่งยกขึ้นโต้แย้งในชั้นอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ไม่รับวินิจฉัย จำเลยทั้งสองมิได้โต้แย้งว่าคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3ในส่วนนี้ไม่ถูกต้องประการใดบ้างกลับโต้แย้งว่าจำเลยทั้งสองไม่ต้องรับผิดเกิน 200,000 บาท เป็นฎีกาไม่ชัดแจ้งจึงไม่เป็นคำฟ้องฎีกาที่ควรจะได้รับการวินิจฉัย ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ฎีกาประการต่อไปที่ว่าหนี้ระงับไปแล้วหรือไม่ จำเลยอ้างว่าได้ชำระหนี้ครบถ้วนแล้ว โดยโอนหนังสือสำคัญมูลภัณฑ์กันชนให้โจทก์2 ครั้งรวม 49 รายการ เป็นเงิน 415,680 บาท พร้อมเงินสดอีก16,000 บาท แต่ปรากฏจากคำเบิกความของนายบุญเหลือ พูลทรัพย์พยานโจทก์ว่า โจทก์ไม่ได้รับเงินตามมูลภัณฑ์กันชน จึงไม่ได้ตัดยอดหนี้จากบัญชีของจำเลยทั้งสองและนายสว่าง พุฒิมาก หัวหน้าทรัพยากรธรณีจังหวัดสุราษฎร์ธานีพยานจำเลยเบิกความว่า หนังสือสำคัญมูลภัณฑ์กันชนที่ทรัพยากรธรณีจังหวัดสุราษฎร์ธานีเป็นผู้ออกให้ตามเอกสารหมาย ล.1 ได้โอนให้โจทก์ แต่โจทก์ไม่ได้รับเงินซึ่งตรงกับทนายโจทก์ที่ว่าโจทก์ไม่ได้รับเงินตามหนังสือสัญญามูลภัณฑ์กันชน เห็นได้ว่าโจทก์ยังไม่ได้รับชำระหนี้ครบถ้วน หนี้รายนี้จึงไม่ระงับ เมื่อหนี้ยังไม่ระงับ จำเลยทั้งสองต้องรับผิดต่อโจทก์ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยตามสัญญา แต่ดอกเบี้ยที่คิดมาในฟ้อง ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยว่าโจทก์คิดดอกเบี้ยไม่ชอบ สมควรให้คิดใหม่และพิพากษาให้ยกฟ้อง โดยไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะนำคดีมาฟ้องใหม่ ซึ่งเป็นอำนาจศาลอุทธรณ์ภาค 3 ที่จะพิพากษาได้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ชอบแล้ว
พิพากษายืน
หมายเลขคดีดำศาลฎีกา nan
แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ชื่อคู่ความ โจทก์ - ธนาคาร กรุงเทพฯ พาณิชย์การ จำกัด จำเลย - นาย กัมปนาท หิรัญวัฒน์ศิริ กับพวก
ชื่อองค์คณะ ก้าน อันนานนท์ อัครวิทย์ สุมาวงศ์ อำนวย หมวดเมือง
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ที่ตัดสิน nan