สารบัญ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 548/2518

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 548/2518

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 291, 420, 438, 572, 887 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 55, 142

กรณีโจทก์เช่าซื้อรถยนต์มาด้วยปากเปล่าโดยไม่ได้ทำเป็นหนังสือ แม้สัญญาเช่าซื้อตกเป็นโมฆะก็ตามแต่โจทก์ได้รับมอบรถยนต์จากเจ้าของมาไว้ในความครอบครองโดยมีสิทธิที่จะใช้สอยหาประโยชน์และได้เคยชำระเงินค่าเช่าซื้อไปโดยมีหลักฐานเป็นหนังสือฉะนั้น เมื่อสิทธิของโจทก์ที่จะได้ครอบครองใช้สอยหาประโยชน์จากรถยนต์ดังกล่าวได้รับความกระทบกระเทือนเสียหายจากจำเลยผู้ทำละเมิด โจทก์ก็ชอบที่จะใช้สิทธิทางศาลเรียกร้องให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายที่ถูกละเมิดได้ คือมีอำนาจฟ้องเรียกค่าเสียหายที่ต้องขาดประโยชน์จากการนำรถยนต์ออกรับจ้างหาผลประโยชน์และมีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายของสินค้าที่โจทก์รับจ้างบรรทุกมาด้วยแต่โจทก์หามีสิทธิที่จะเรียกร้องค่าเสียหายที่เกี่ยวกับตัวรถยนต์โดยตรงไม่กล่าวคือ ไม่มีอำนาจที่จะฟ้องให้จำเลยใช้ค่าเสียหายที่โจทก์ต้องออกค่าซ่อมรถเองและค่าเสื่อมราคาของรถผู้มีกรรมสิทธิ์เป็นเจ้าของรถเท่านั้นที่จะมีสิทธิฟ้องเรียกค่าเสียหาย 2 รายการนี้ได้

ตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ โจทก์ขอให้จำเลยแต่ละคนรับผิดร่วมกันและแทนกันโดยสิ้นเชิงเต็มจำนวนซึ่งโจทก์ย่อมจะเลือกบังคับเอาจากจำเลยคนใดคนหนึ่งก็ได้ และโดยเหตุที่จำเลยที่ 3 มีหน้าที่ความรับผิดตามสัญญากรมธรรม์ต่อบุคคลภายนอกซึ่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 887 ได้กำหนดไว้ว่า ให้ผู้ต้องเสียหายได้รับค่าสินไหมทดแทนจากผู้รับประกันภัยโดยตรง ฉะนั้น การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยที่ 3 ใช้เงินแก่โจทก์ทั้งสองก่อนในวงเงินไม่เกินกรมธรรม์ประกันภัยนั้นจึงหาเป็นการเกินคำขอตามฟ้องของโจทก์ไม่

เนื้อหาฉบับเต็ม

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ที่ 1 เป็นบริษัทจำกัด มีวัตถุประสงค์ในการรับประกันภัยต่าง ๆ โจทก์ที่ 2 เป็นเจ้าของผู้ครอบครองรถบรรทุกหมายเลขทะเบียน พ.บ.01177จำเลยที่ 1 เป็นผู้ขับรถบรรทุกหมายเลขทะเบียน น.ฐ.02795 และเป็นผู้ครอบครองรถคันนี้ร่วมกับจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นบิดา จำเลยที่ 3 เป็นบริษัทจำกัด มีวัตถุประสงค์ในการรับประกันภัยรถยนต์ ได้รับประกันภัยรถยนต์หมายเลขทะเบียน น.ฐ.02795เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2511 จำเลยที่ 1 ได้ขับรถหมายเลขทะเบียน น.ฐ.02795โดยประมาทเป็นเหตุให้ชนรถยนต์หมายเลขทะเบียน พ.บ.01177 เสียหาย ก่อนที่รถหมายเลขทะเบียน พ.บ.01177 จะถูกชน บริษัทมิตซูบิชิ จำกัด โดยห้างหุ้นส่วนจำกัดเพชรบุรีมอเตอร์สผู้แทนจำหน่ายและโจทก์ที่ 2 ผู้เช่าซื้อได้เอาประกันภัยไว้กับโจทก์ที่ 1 โจทก์ที่ 1 ได้จัดการลากรถจากที่เกิดเหตุไปซ่อม เสียค่าลากรถและเสียค่าซ่อมรวมเป็นเงิน 38,431 บาท 70 สตางค์ แต่ตามสัญญากรมธรรม์โจทก์ที่ 2 จะต้องออกค่าเสียหายเอง 1,000 บาท โจทก์ที่ 1 จึงเสียหายจริง37,431 บาท 70 สตางค์ โจทก์ที่ 2 ขาดประโยชน์จากการใช้รถเป็นเงิน 40,000บาท ค่าเสื่อมราคาเป็นเงิน 10,000 บาท ต้องออกเงินค่าซ่อมรถเอง 1,000 บาทขวดน้ำหวานและโซดาแตกเป็นเงิน 5,000 บาท รวมเป็นเงิน 56,000 บาท ขอให้จำเลยทั้งสามร่วมกันและแทนกันรับผิดชดใช้ค่าเสียหายดังกล่าวแก่โจทก์ พร้อมทั้งดอกเบี้ย

จำเลยที่ 1, 2 ให้การร่วมกันว่า โจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหาย ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 ไม่ได้เป็นเจ้าของและครอบครองรถร่วมกับจำเลยที่ 2 เหตุที่รถชนกันเกิดจากความประมาทของคนขับรถของโจทก์ โจทก์ไม่ได้เสียหายตามฟ้อง

จำเลยที่ 3 ให้การว่า คนขับรถของโจทก์ไม่มีใบอนุญาตขับขี่และเป็นฝ่ายขับรถโดยประมาท จำเลยที่ 3 จึงไม่ต้องรับผิด จำเลยที่ 3 ไม่ต้องรับผิดในเงินค่าซ่อม 500 บาทแรก โจทก์ไม่ได้เสียหายตามฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ที่ 1เป็นเงิน 37,431 บาท 70 สตางค์แก่โจทก์ที่ 2 เป็นเงิน 22,400 บาท โดยให้จำเลยที่ 3 เป็นผู้ใช้แก่โจทก์ทั้งสองก่อน แต่ให้ใช้ไม่เกิน 50,000 บาทตามที่รับประกันภัยไว้ เงินค่าเสียหายที่ยังขาดให้จำเลยที่ 1 และ 2 เป็นผู้ใช้ ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีสำหรับต้นเงินที่ต้องรับผิดตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ

จำเลยทั้งสามอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยทั้งสามฎีกา

ปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องของโจทก์ที่ 2 นั้น ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จริงอยู่ที่โจทก์ที่ 2 ตกลงทำสัญญาเช่าซื้อด้วยปากเปล่า ไม่ได้ทำเป็นหนังสือ สัญญาเช่าซื้อจึงเป็นโมฆะ แต่โจทก์ที่ 2 ก็ได้รับมอบรถยนต์เลขทะเบียน พ.บ.01177 จากเจ้าของมาไว้ในความครอบครองโดยมีสิทธิที่จะใช้สอยหาประโยชน์ และได้เคยชำระเงินค่าเช่าซื้อไป โดยมีหลักฐานเป็นหนังสือปรากฏอยู่ในสมุดบันทึกที่โจทก์อ้างส่งศาล ฉะนั้น เมื่อสิทธิของโจทก์ที่ 2 ที่จะได้ครอบครองใช้สอยหาผลประโยชน์จากรถยนต์เลขทะเบียน พ.บ.01177 ได้รับความกระทบกระเทือนเสียหาย โจทก์ที่ 2ก็ชอบที่ใช้สิทธิทางศาลเพื่อเรียกร้องให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายที่โจทก์ที่ 2 ถูกละเมิดได้ และโจทก์ที่ 2 ย่อมมีอำนาจฟ้องเรียกค่าเสียหายที่ต้องขาดประโยชน์จากการนำรถยนต์เลขทะเบียน พ.บ.01177 ออกรับจ้างหาผลประโยชน์ได้ด้วยทั้งมีสิทธิที่จะเรียกร้องให้จำเลยชดใช้ค่าขวดโซดาและขวดน้ำหวานซึ่งโจทก์ที่ 2รับจ้างบรรทุกมาด้วย แต่โจทก์ที่ 2 หามีสิทธิที่จะเรียกร้องค่าเสียหายที่เกี่ยวกับตัวรถยนต์โดยตรงไม่ เพราะรถยนต์ไม่ใช่เป็นทรัพย์ของโจทก์ที่ 2 และการที่เกิดเหตุชนกันขึ้นนี้ก็เนื่องมาจากการใช้รถยนต์ของโจทก์ที่ 2 โดยปกติธรรมดาฉะนั้น โจทก์ที่ 2 จึงไม่มีอำนาจที่จะฟ้องให้จำเลยใช้ค่าเสียหายที่โจทก์ที่ 2ต้องออกค่าซ่อมรถเอง 1,000 บาท และค่ารถเสื่อมราคา เพราะผู้มีกรรมสิทธิ์เป็นเจ้าของรถเท่านั้นที่จะมีสิทธิฟ้องเรียกค่าเสียหายทั้ง 2 รายการที่กล่าวแล้วนั้น

ปัญหาที่ว่าฝ่ายใดเป็นฝ่ายประมาทนั้น ศาลฎีกาฟังว่า จำเลยที่ 1 ขับรถโดยความประมาทจริง และฟังว่าคนขับรถของโจทก์มีส่วนในความประมาทด้วย

ปัญหาในเรื่องความรับผิดของจำเลยที่ 2 และที่ 3 นั้น ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าจำเลยที่ 1 และ 2 ได้ร่วมกันครอบครองรถและใช้รถแสวงหาประโยชน์ร่วมกันจำเลยที่ 2 จึงต้องร่วมกันรับผิดด้วยกับจำเลยที่ 1 ส่วนจำเลยที่ 3 นั้น ปรากฏในกรมธรรม์ประกันภัยมีข้อยกเว้นว่าจำเลยที่ 3 ไม่ต้องรับผิดชอบต่อสิทธิเรียกร้องอันเกี่ยวกับการขาดประโยชน์และค่าเสื่อมสภาพแห่งทรัพย์สิน จำเลยที่ 3 จึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายทั้งสองรายการดังกล่าวต่อโจทก์

ปัญหาที่ว่า ศาลอุทธรณ์พิพากษาเกินคำขอหรือไม่นั้น ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ โจทก์ขอให้จำเลยแต่ละคนรับผิดร่วมกันและแทนกันโดยสิ้นเชิงเต็มจำนวน ซึ่งโจทก์ย่อมจะเลือกบังคับเอาจากจำเลยคนใดคนหนึ่งก็ได้ และโดยเหตุที่จำเลยที่ 3 มีหน้าที่ความรับผิดตามสัญญากรมธรรม์ต่อบุคคลภายนอก ซึ่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 887 ได้กำหนดไว้ว่า ให้ผู้ต้องเสียหายได้รับค่าสินไหมทดแทนจากผู้รับประกันภัยโดยตรง ฉะนั้นการที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยที่ 3 ใช้เงินแก่โจทก์ทั้งสองก่อนในวงเงินไม่เกิน 50,000 บาท จึงหาเป็นการเกินคำขอตามฟ้องของโจทก์ไม่

ในเรื่องความเสียหาย ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เมื่อคนขับรถของโจทก์มีส่วนขับรถโดยประมาทอยู่ด้วย จึงต้องถือว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นทั้งหมดมีส่วนความผิดของผู้เสียหายประกอบอยู่ด้วยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 442 ซึ่งจะต้องกำหนดค่าเสียหายให้แก่โจทก์ โดยคำนึงว่าฝ่ายใดเป็นผู้ก่อความเสียหายยิ่งหย่อนกว่ากันเพียงใดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 223 ศาลฎีกาจึงเห็นสมควรกำหนดให้จำเลยทั้งสามใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ที่ 1 เกี่ยวกับค่าซ่อมรถเป็นเงิน 25,000 บาท และให้จำเลยที่ 1 และ 2ใช้ค่าขวดน้ำหวานและขวดโซดาเป็นเงิน 1,900 บาท กับค่าขาดประโยชน์ในการใช้รถเป็นเงิน 1,100 บาทแก่โจทก์ที่ 2

พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ค่าเสียหายในการซ่อมรถให้แก่โจทก์ที่ 1 เป็นเงิน 25,000 บาท และให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ค่าเสียหายขวดโซดาและขวดน้ำหวานแก่โจทก์ที่ 2 เป็นเงิน1,900 บาท แต่ค่าเสียหาย 2 รายการนี้ พร้อมทั้งดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7 ครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระให้โจทก์เสร็จนั้นให้จำเลยที่ 3 เป็นผู้ใช้แก่โจทก์ดังกล่าวแล้วก่อน สำหรับค่าเสียหายที่เกิดจากการขาดประโยชน์ในการใช้รถเป็นเงิน 1,100 บาทให้จำเลยที่ 1 และ 2 ร่วมกันชดใช้แก่โจทก์ที่ 2 พร้อมทั้งดอกเบี้ยร้อยละ 7 ครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ คำขอของโจทก์นอกจากนี้ให้ยก ให้จำเลยทั้งสามใช้ค่าทนายความชั้นฎีกาแทนโจทก์ทั้งสอง500 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

หมายเลขคดีดำศาลฎีกา nan

แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ชื่อคู่ความ โจทก์ - บริษัท อาคเนย์ประกันภัย จำกัด โดยหลวงดำรงดุริตเรข นายพยัพ ศรีกาญจนา ที่ 1 กับพวกรวม 2 คน จำเลย - นายวิรัช เหลียวตระกูล ที่ 1 กับพวกรวม 3 คน

ชื่อองค์คณะ ชลอ จามรมาน เฉลิม กรพุกกะณะ ผสม จิตรชุ่ม

ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ที่ตัดสิน nan

ข้อจำกัดความรับผิดชอบ: ข้อมูลเหล่านี้อาจไม่ใช่เวอร์ชันล่าสุด รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจมีข้อมูลที่เป็นปัจจุบันหรือแม่นยำกว่า เราไม่รับประกันหรือรับประกันเกี่ยวกับความถูกต้อง ความสมบูรณ์ หรือความเพียงพอของข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้หรือข้อมูลที่เชื่อมโยงกับเว็บไซต์ของรัฐ โปรดตรวจสอบแหล่งที่มาอย่างเป็นทางการ
ข้อมูลอ้างอิงจากเว็บไซต์ : www.krisdika.go.th, deka.supremecourt.or.th
ติดต่อเราทาง LINE