สารบัญ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5392/2564

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5392/2564

ประมวลกฎหมายอาญา ม. 268 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 2 (4), 4, 5, 6, 170, 195 วรรคสอง

การที่จำเลยอ้างสัญญาซื้อขายที่ดินระหว่างมารดาโจทก์กับจำเลยเป็นพยานหลักฐานประกอบคำเบิกความของจำเลยในคดีแพ่ง ผู้เสียหายที่แท้จริงในความผิดฐานใช้เอกสารปลอมคือมารดาโจทก์เพราะการอ้างเอกสารดังกล่าวอาจมีผลให้มารดาโจทก์แพ้คดี โจทก์เป็นเพียงผู้เข้าเป็นคู่ความแทนที่มารดาโจทก์ในคดีแพ่ง มีอำนาจหน้าที่ดำเนินการเพื่อให้คดีที่ค้างพิจารณาอยู่ในศาลเสร็จไปแทนผู้ตายเท่านั้น โจทก์มิใช่บุคคลผู้ได้รับความเสียหายจากการกระทำผิดของจำเลย ทั้งมิใช่บุคคลผู้มีอำนาจจัดการแทนผู้เสียหาย ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 4, 5, 6

แม้ศาลชั้นต้นไต่สวนและมีคำสั่งว่าคดีมีมูลให้ประทับฟ้องแล้ว และป.วิ.อ. มาตรา 170 บัญญัติว่า คำสั่งของศาลที่ให้คดีมีมูลย่อมเด็ดขาด กรณีดังกล่าวเพียงแต่หมายถึงคู่ความไม่อาจอุทธรณ์ฎีกาโต้แย้งคำสั่งศาลชั้นต้นให้คดีมีมูลได้ แต่หากคดีขึ้นมาสู่การพิจารณาของศาลอุทธรณ์และเห็นว่าโจทก์มิใช่ผู้เสียหาย คดีไม่มีมูลความผิด ศาลอุทธรณ์ย่อมมีอำนาจพิพากษายกฟ้องโจทก์สำหรับความผิดฐานดังกล่าวได้ เพราะเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง

เนื้อหาฉบับเต็ม

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177, 264, 265 และ 268

ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่า คดีมีมูลเฉพาะข้อหาใช้เอกสารสิทธิปลอม (วันที่ 13 พฤศจิกายน 2555) ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 ให้ประทับฟ้องในข้อหาดังกล่าว ส่วนข้อหาอื่นให้ยกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับข้อหาใช้เอกสารสิทธิปลอม (วันที่ 13 พฤศจิกายน 2555 ) ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 เสียด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นตามที่คู่ความมิได้โต้แย้งกันในชั้นนี้ว่า จำเลยกับพวกอีกรวม 5 คน เป็นโจทก์ฟ้องนาง จ. มารดาโจทก์เป็นจำเลยต่อศาลชั้นต้น เป็นคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 91/2553 ขอให้มีคำสั่งว่า ที่ดินพิพาทซึ่งเป็นที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 296 เป็นของจำเลยกับพวกตามส่วนที่จำเลยกับพวกครอบครอง ห้ามนาง จ. และบริวารยุ่งเกี่ยว และให้นาง จ. ไปจดทะเบียนแบ่งแยกโอนสิทธิครอบครองทางทะเบียนให้จำเลยกับพวก ถ้านาง จ. ไม่ไป ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย โดยคำฟ้องในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลย จำเลยกล่าวอ้างว่า เมื่อวันที่ 8 เมษายน 2539 นาง จ. แบ่งขายที่ดินเนื้อที่ประมาณ 2 งานให้แก่จำเลย โดยไม่ได้ทำสัญญาซื้อขายและไม่ได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ เพียงส่งมอบการครอบครองให้แก่จำเลย และเมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2542 นาง จ. แบ่งขายที่ดินให้จำเลยเพิ่มอีกเนื้อที่ประมาณ 1 งาน โดยมีการทำสัญญาซื้อขายและส่งมอบการครอบครองแก่จำเลย แต่ไม่ได้ไปจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ นาง จ. ให้การต่อสู้คดี โดยในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลย นาง จ. ให้การว่า ไม่เคยแบ่งขายที่ดินให้แก่จำเลย สัญญาซื้อขายที่ดินที่จำเลยอ้างเป็นเอกสารปลอม ในระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้นในคดีดังกล่าว นาง จ. ถึงแก่ความตาย ศาลชั้นต้นมีคำสั่งแต่งตั้งโจทก์เข้าเป็นคู่ความแทนนาง จ. ในวันสืบพยานจำเลยกับพวกในคดีดังกล่าว จำเลยอ้างส่งสัญญาซื้อขายระหว่างนาง จ.กับจำเลยต่อศาลชั้นต้น ประกอบคำเบิกความของจำเลยที่ว่า นาง จ. แบ่งขายที่ดินแก่จำเลย ต่อมาศาลชั้นต้นในคดีดังกล่าวมีคำพิพากษายกฟ้องจำเลยกับพวกเป็นคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 607/2555 หลังจากนั้นโจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกของนาง จ. ฟ้องจำเลยเป็นคดีอาญาคดีนี้ กล่าวหาว่า จำเลยกระทำความผิดฐานเบิกความเท็จในการพิจารณาคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 91/2553 หมายเลขแดงที่ 607/2555 ฐานปลอมสัญญาซื้อขาย ฐานใช้เอกสารปลอม เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2553 อันเป็นวันที่จำเลยนำสัญญาซื้อขายฉบับดังกล่าวไปยื่นต่อศาลชั้นต้นในคดีดังกล่าว และฐานใช้เอกสารปลอม เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2555 อันเป็นวันที่จำเลยอ้างส่งสัญญาซื้อขายฉบับดังกล่าวประกอบคำเบิกความของจำเลย ในส่วนที่เกี่ยวกับความผิดฐานปลอมเอกสารกับใช้เอกสารปลอม เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2553 ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์ไม่อุทธรณ์ ความผิดฐานปลอมเอกสารกับใช้เอกสารปลอม เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2553 จึงเป็นอันยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ส่วนความผิดฐานเบิกความเท็จ ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษายกฟ้อง โจทก์มิได้ฎีกา ความผิดฐานเบิกความเท็จจึงเป็นอันยุติไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 6 คงมีปัญหาตามฎีกาของโจทก์เพียงว่า ความผิดฐานใช้เอกสารปลอม เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2555 ซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค 6 วินิจฉัยว่าโจทก์มิใช่ผู้เสียหาย พิพากษายกฟ้องนั้น มีมูลหรือไม่ เห็นว่า บุคคลซึ่งจะมีอำนาจฟ้องคดีอาญาต่อศาล ต้องเป็นพนักงานอัยการหรือผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 28 และผู้เสียหายหมายความถึงบุคคลผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทำความผิดฐานใดฐานหนึ่ง รวมทั้งบุคคลอื่นที่มีอำนาจจัดการแทนได้ ดังบัญญัติไว้ในมาตรา 4, 5 และ 6 ตามมาตรา 2 (4) การที่จำเลยอ้างสัญญาซื้อขายที่ดินระหว่างนาง จ. กับจำเลยเป็นพยานหลักฐานประกอบคำเบิกความของจำเลยในคดีแพ่งดังกล่าว ผู้เสียหายที่แท้จริงคือนาง จ. เพราะการที่จำเลยอ้างส่งเอกสารดังกล่าวอาจมีผลทำให้นาง จ. แพ้คดี โจทก์เป็นเพียงผู้เข้าเป็นคู่ความแทนนาง จ. ในคดีแพ่ง มีอำนาจหน้าที่ดำเนินการเพื่อให้คดีที่ค้างพิจารณาอยู่ในศาลเสร็จไปแทนผู้ตายเท่านั้น โจทก์จึงมิใช่บุคคลผู้ได้รับความเสียหายจากการกระทำความผิดของจำเลย ทั้งมิใช่บุคคลผู้มีอำนาจจัดการแทนผู้เสียหายดังบัญญัติไว้ในมาตรา 4, 5 และ 6 อีกด้วย ประกอบกับพยานหลักฐานในสำนวนไม่ปรากฏว่า คดีแพ่งดังกล่าวถึงที่สุดโดยศาลมีคำพิพากษาว่าสัญญาซื้อขายระหว่างนาง จ. กับจำเลยเป็นสัญญาปลอมดังข้อต่อสู้ของนาง จ. โจทก์ในฐานะทายาทและผู้จัดการมรดกของนาง จ. จึงมิใช่ผู้เสียหายที่จะมีอำนาจฟ้องจำเลยเป็นคดีอาญาคดีนี้เพราะเหตุจากการที่จำเลยอ้างส่งสัญญาซื้อขายที่ดินระหว่างนาง จ. กับจำเลยเป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งดังกล่าว และแม้คดีนี้ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วมีคำสั่งว่า ความผิดฐานใช้เอกสารปลอม เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2555 มีมูลความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 ให้ประทับฟ้องไว้พิจารณา และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 170 บัญญัติว่าคำสั่งของศาลที่ให้คดีมีมูลย่อมเด็ดขาด กรณีดังกล่าวเพียงแต่หมายถึงคู่ความไม่อาจอุทธรณ์ฎีกาโต้แย้งคำสั่งศาลชั้นต้นให้คดีมีมูลได้ แต่หากคดีขึ้นมาสู่การพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 6 และศาลอุทธรณ์ภาค 6 เห็นว่า โจทก์มิใช่ผู้เสียหาย คดีไม่มีมูลความผิดฐานใช้เอกสารปลอม เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2555 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 ศาลอุทธรณ์ภาค 6 ย่อมมีอำนาจพิพากษายกฟ้องโจทก์สำหรับความผิดฐานดังกล่าวได้ เพราะปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลอุทธรณ์ภาค 6 มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 6 ชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น

พิพากษายืน

หมายเลขคดีดำศาลฎีกา อ.1457/2564

แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ชื่อคู่ความ โจทก์ - นาง ภ. ในฐานะผู้จัดการมรดกของนาง จ. จำเลย - นาย พ.

ชื่อองค์คณะ อธิคม อินทุภูติ พิชัย เพ็งผ่อง จรัญ เนาวพนานนท์

ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ที่ตัดสิน ศาลจังหวัดสวรรคโลก - นางสาวชรินพร ศรีวิไล ศาลอุทธรณ์ภาค 6 - นายวงการ ช่วยพนัง

ข้อจำกัดความรับผิดชอบ: ข้อมูลเหล่านี้อาจไม่ใช่เวอร์ชันล่าสุด รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจมีข้อมูลที่เป็นปัจจุบันหรือแม่นยำกว่า เราไม่รับประกันหรือรับประกันเกี่ยวกับความถูกต้อง ความสมบูรณ์ หรือความเพียงพอของข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้หรือข้อมูลที่เชื่อมโยงกับเว็บไซต์ของรัฐ โปรดตรวจสอบแหล่งที่มาอย่างเป็นทางการ
ข้อมูลอ้างอิงจากเว็บไซต์ : www.krisdika.go.th, deka.supremecourt.or.th
ติดต่อเราทาง LINE