คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5319/2539
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 193/30, 448 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 93
เอกสารหมายล.3เป็นสำเนาภาพถ่ายเอกสารผลการตรวจพิสูจน์เอกสารของกองพิสูจน์หลักฐานกรมตำรวจว่าลายมือชื่อจำเลยที่1ในใบยืมเงินเอกสารหมายจ.11และจ.12ว่าไม่ใช่ลายมือชื่อจำเลยที่1เมื่อโจทก์มีหนังสือตอบปฏิเสธว่าไม่ได้ดำเนินการส่งเรื่องไปตรวจพิสูจน์เท่ากับไม่รับรองว่าสำเนาเอกสารถูกต้องจำเลยที่1ไม่แสดงเหตุขัดข้องที่ไม่ส่งต้นฉบับและไม่นำผู้รับรองสำเนามาเบิกความรับรองจึงไม่อาจรับฟังเอกสารดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานได้ สิทธิเรียกร้องของโจทก์ที่มีต่อจำเลยที่1ซึ่งยืมเงินงบประมาณนำไปใช้จ่ายในการปฏิบัติงานแล้วต้องนำใบสำคัญคู่จ่ายเงินส่งใช้ใบยืมหากมีเงินเหลือให้ส่งใช้ใบยืมเงินมิฉะนั้นต้องชดใช้เงินคืนให้ทางราชการจนครบไม่มีบทบัญญัติเรื่องอายุความไว้โดยเฉพาะจึงมีอายุความ10ปีนับแต่ที่จำเลยที่1มีหน้าที่คืนเงินและการฟ้องเรียกคืนเช่นนี้ไม่ใช่การเรียกร้องค่าเสียหายจะนำอายุความ1ปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา448มาใช้บังคับไม่ได้
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน1,029,029.40 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน889,971.40 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ให้การและแก้ไขคำให้การว่า จำนวนเงินที่ยังมิได้ชำระหรือมิได้ส่งคืนตามใบยืมทั้ง 8 ฉบับ มีเพียง 675,478.60 บาทแต่ลายมือชื่อจำเลยที่ 1 ตามใบยืมเลขที่ 791/27 และ 1121/27เป็นลายมือชื่อปลอม จำเลยที่ 1 ไม่ต้องรับผิด คงเป็นเงินที่มิได้ชำระหรือมิได้ส่งคืนตามใบยืมที่เหลือ 498,953.08 บาท และจำเลยที่ 1ชำระเมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2529 จำนวน 230,000 บาท คงค้างอีกเพียง 268,953.08 บาท ลายมือชื่อจำเลยที่ 1 ผู้สั่งจ่ายเช็คเพื่อเบิกเงินตามใบยืม 795,281 บาท เป็นลายมือชื่อปลอม คำให้การจำเลยที่ 1 ต่อคณะกรรมการสอบสวนไม่ใช่หนังสือรับสภาพหนี้ยอมชำระเงินแก่โจทก์แล้ว จำเลยที่ 1 ไม่ต้องชำระเงินแก่โจทก์อีกโจทก์มิได้นำคดีมาฟ้องภายใน 1 ปี จึงขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยที่ 2 ชำระเงิน1,029,029.40 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของต้นเงิน 889,971.40 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์ และให้ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความ 8,000 บาท ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1
โจทก์ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 2 ต่อโจทก์ตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นทุกประการนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยที่ 1ข้อแรกว่า จำเลยที่ 1 ได้ทำใบยืมเงินเอกสารหมาย จ.11 และ จ.12หรือไม่ โจทก์มีพลตรีไพฑูรย์ วิเศษโกสิน เป็นพยานเบิกความว่า พยานได้ให้จำเลยที่ 1 ยืมเงินตามใบยืมเอกสารหมาย จ.7 ถึง จ.14และเจ้าหน้าที่ได้โอนเงินไปเข้าบัญชีที่ธนาคารกรุงไทย จำกัดสาขาอุบลราชธานีแล้ว และนายศุกรสวัสดิ์ วีระสวัสดิ์ สมุห์บัญชีธนาคารกรุงไทย จำกัด สาขาอุบลราชธานี เบิกความว่า โจทก์ได้โอนเงินมาเข้าบัญชีหน่วยพัฒนาการเคลื่อนที่ 42 เมื่อวันที่ 8มีนาคม 2527 เป็นเงิน 129,700 บาท และเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม2527 เป็นเงิน 350,000 บาท อีกทั้งจำเลยทั้งสองได้สั่งจ่ายเช็คถอนเงินจำนวนดังกล่าวแล้วตามรายละเอียดบัญชีเอกสารหมาย จ.49เห็นว่าพยานโจทก์ทั้งสองเบิกความโดยมีเอกสารสนับสนุนว่ามีการโอนเงินเข้าบัญชีของหน่วยตรงตามยอดใบยืมเงินเอกสารหมาย จ.11และ จ.12 มีน้ำหนักรับฟังได้ ส่วนที่จำเลยที่ 1 เบิกความว่าลายมือชื่อในเอกสารหมาย จ.11 และ จ.12 เป็นลายมือชื่อปลอมและอ้างสำเนาเอกสารเป็นภาพถ่ายผลการตรวจพิสูจน์เอกสารของกองพิสูจน์หลักฐาน กรมตำรวจ ว่าลายมือชื่อจำเลยที่ 1 ในเอกสารหมาย จ.11 และ จ.12 ไม่ใช่ลายมือชื่อจำเลยที่ 1 ตามเอกสารหมาย ล.3 เห็นว่า เอกสารหมาย ล.3 เป็นเพียงสำเนาภาพถ่ายเอกสารและโจทก์ก็มีหนังสือตอบปฏิเสธว่าไม่ได้ดำเนินการส่งเรื่องไปตรวจพิสูจน์ จึงเท่ากับโจทก์ไม่รับรองว่าสำเนาเอกสารถูกต้องจำเลยที่ 1 ไม่แสดงเหตุขัดข้องที่ไม่ส่งต้นฉบับและไม่นำผู้รับรองสำเนาเอกสารมาเบิกความรับรอง จึงไม่อาจรับฟังเอกสารดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานได้ เมื่อเอกสารฉบับนี้ต้องห้ามมิให้รับฟังเสียแล้วจึงไม่มีพยานหลักฐานสนับสนุนคำเบิกความของจำเลยที่ 1 พยานจำเลยที่ 1จึงไม่มีน้ำหนักที่จะรับฟัง ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าจำเลยที่ 1ได้ยืมเงินตามเอกสารหมาย จ.11 และ จ.12 ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยต่อไปมีว่าจำเลยที่ 1 ค้างชำระเงินยืมเพียงใด เมื่อข้อเท็จจริงรับกันว่า การหักใช้ใบยืมเงินทุกครั้งจะต้องบันทึกไว้ด้านหลังใบยืม เมื่อปรากฏว่าใบยืมเงินเอกสารหมาย จ.7 มียอดเงินค้างชำระ108,807.18 บาท ใบยืมเงินเอกสารหมาย จ.8 และ จ.9 ไม่มียอดเงินค้างชำระ ใบยืมเงินเอกสารหมาย จ.10 มียอดเงินค้างชำระ 19,094.90บาท ใบยืมเงินเอกสารหมาย จ.11 มียอดเงินค้างชำระ 103,507.92บาท ใบยืมเงินเอกสารหมาย จ.12 มียอดเงินค้างชำระ 287,510.40 บาทใบยืมเงินเอกสารหมาย จ.13 มียอดเงินค้างชำระ 326,500 บาทใบยืมเงินเอกสารหมาย จ.14 มียอดเงินค้างชำระ 44,551 บาทรวมเป็นเงิน 889,971.40 บาท ดังนั้น จำเลยที่ 1 จึงต้องรับผิดชำระหนี้ให้โจทก์ในยอดหนี้ดังกล่าว ส่วนที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่าจำเลยที่ 1 ได้นำเงินชำระแล้ว 230,000 บาท ตามเอกสารหมาย ล.1เห็นว่า ตามใบนำส่งเงินเอกสารหมาย ล.1 หรือ จ.31 รายการระบุว่าขอนำเงินเบิกเกินส่งคืน จึงถือว่าเงินดังกล่าวไม่ใช่เงินที่ส่งคืนเงินยืม และที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า ครั้งสุดท้ายจำเลยที่ 1ชำระหนี้เงินยืม 200,000 บาท เห็นว่ายอดเงินจำนวน 200,000 บาทตามใบเสร็จรับเงินเอกสารหมาย ล.4 และ ล.5 ได้มีการบันทึกไว้ที่ด้านหลังใบยืมเอกสารหมาย จ.8 ถึง จ.10 แล้ว จึงไม่อาจที่จะนำมาหักหนี้เงินยืมได้อีก
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยที่ 1 ข้อสุดท้ายว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ โดยจำเลยที่ 1 ฎีกาว่า หนี้คดีนี้เป็นหนี้มูลละเมิด โจทก์ฟ้องเมื่อพ้นหนึ่งปีนับแต่รู้ตัวผู้ต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทน คดีขาดอายุความนั้น เห็นว่า จำเลยที่ 1มีหน้าที่และความรับผิดชอบเกี่ยวกับการเงิน จำเลยที่ 1 ยืมเงินงบประมาณเพื่อนำไปใช้จ่ายหมุนเวียนและปฏิบัติงานตามโครงการเมื่อปฏิบัติเสร็จแล้วต้องนำใบสำคัญคู่จ่ายเงินส่งใช้ใบยืมหากมีเงินเหลือให้ส่งใช้ใบยืมเงิน ดังนั้น เมื่อจำเลยที่ 1ไม่ส่งใช้ใบยืมจนครบ จำเลยที่ 1 จะต้องชดใช้เงินคืนให้ทางราชการจนครบจึงต้องถือว่าเงินที่จะต้องคืนนั้นเป็นเงินของทางราชการที่ยังอยู่ในความดูแลรักษาของจำเลยที่ 1 ตามหน้าที่ซึ่งสิทธิเรียกร้องของโจทก์ในเรื่องนี้ไม่มีบทบัญญัติเรื่องอายุความไว้โดยเฉพาะ จึงต้องบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 193/30 ที่แก้ไขใหม่ (มาตรา 164 เดิม) คือมีอายุความ10 ปี นับแต่จำเลยที่ 1 มีหน้าที่คืนเงินจนถึงวันฟ้องเรียกเงินคืนยังไม่พ้น 10 ปี คดีจึงไม่ขาดอายุความ กรณีที่โจทก์ฟ้องเรียกคืนเช่นนี้ไม่ใช่การเรียกร้องค่าเสียหายจะนำอายุความเรียกร้องค่าเสียหายในกำหนด 1 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448ดังข้อฎีกาของจำเลยที่ 1 มาใช้บังคับไม่ได้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นด้วยในผล ฎีกาจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น"
พิพากษายืน
หมายเลขคดีดำศาลฎีกา nan
แหล่งที่มา สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ชื่อคู่ความ โจทก์ - กองบัญชาการทหารสูงสุด จำเลย - พันเอก ศล ญาณประสาท กับพวก
ชื่อองค์คณะ เหล็ก ไทรวิจิตร นาม ยิ้มแย้ม จรัญ หัตถกรรม
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ที่ตัดสิน nan