สารบัญ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 530/2523

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 530/2523

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 73

พระราชบัญญัติจัดระเบียบราชการสำนักนายกรัฐมนตรีบัญญัติให้สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนเป็นทบวงการเมืองและมีฐานะเป็นกรมตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน และกฎหมายว่าด้วยการปรับปรุงกระทรวงทบวงกรมสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนโจทก์จึงมีฐานะเป็นนิติบุคคลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 72,73 และมีอำนาจฟ้อง

การดำรงตำแหน่งตุลาการรัฐธรรมนูญของจำเลยที่ 1 เป็นผลจากการคัดเลือกของคณะบุคคลตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2517 มาตรา 218 ที่ใช้ในขณะจำเลยที่ 1 ผิดสัญญาการใช้ทุนการศึกษา ตามมาตรา 219 ข้าราชการจะเป็นตุลาการรัฐธรรมนูญไม่ได้ ทั้งจำเลยที่ 1 ดำรงตำแหน่งตุลาการรัฐธรรมนูญภายหลังที่จำเลยที่ 1 ลาออกจากราชการ จึงไม่เป็นการรับราชการตามสัญญาดังกล่าว จะนำมาคำนวณเพื่อใช้ทุนการศึกษาไม่ได้

เนื้อหาฉบับเต็ม

ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาว่า จำเลยที่ 1 ผิดสัญญาการใช้ทุนการศึกษา จำเลยที่ 2 ผู้ค้ำประกันต้องรับผิดร่วมด้วย ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้เงิน 405,295.10 บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ จำเลยที่ 1 ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า "ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 สอบชิงทุนไปศึกษาวิชา ณ ประเทศสหรัฐอเมริกาตามความต้องการของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้ จำเลยที่ 1 ทำสัญญารับทุนการศึกษากับโจทก์ตามสัญญาเอกสารหมาย จ.1 โดยจำเลยที่ 2 ทำสัญญาค้ำประกันตามสัญญาเอกสารหมาย จ.2 จำเลยที่ 1 เดินทางไปถึงประเทศสหรัฐอเมริกาวันที่ 7 สิงหาคม2507 สำเร็จการศึกษาเดินทางกลับประเทศไทยวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2515คิดเป็นเวลา 2,747 วัน จำเลยที่ 1 รับราชการที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2515 แล้วลาออกราชการเพื่อสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2517 รวมเป็นเวลารับราชการ 1,001 วัน ระหว่างที่จำเลยที่ 1 ศึกษาที่ประเทศสหรัฐอเมริกาโจทก์อนุมัติให้จำเลยที่ 1 ไปศึกษาที่ประเทศอังกฤษระหว่างเดือนตุลาคม2511 ถึงเดือนมีนาคม 2512 เป็นเวลา 168 วัน และอนุมัติให้จำเลยที่ 1กลับมาทำการค้นคว้าในประเทศไทยเพื่อเขียนวิทยานิพนธ์ระหว่างเดือนกันยายน 2512 ถึงเดือนสิงหาคม 2513 เป็นเวลา 360 วัน ตามเอกสารหมาย จ.8 และ จ.9 โจทก์จ่ายเงินในการศึกษาให้จำเลยที่ 1 รวมเป็นเงิน497,078 บาท 94 สตางค์ ตามเอกสารหมาย จ.18

คดีมีปัญหาข้อแรกว่า ขณะที่โจทก์ทำสัญญากับจำเลยที่ 1 ตามสัญญาเอกสารหมาย จ.1 โจทก์มีฐานะเป็นนิติบุคคลและมีอำนาจฟ้องหรือไม่เห็นว่า ขณะโจทก์ทำสัญญาดังกล่าวมีพระราชบัญญัติจัดระเบียบราชการสำนักนายกรัฐมนตรี พ.ศ. 2505 ใช้บังคับ ตามพระราชบัญญัติดังกล่าวมาตรา 6 บัญญัติว่า "สำนักนายกรัฐมนตรีมีส่วนราชการดังนี้ ฯลฯ (10) สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน ฯลฯ ส่วนราชการตามมาตรานี้เป็นทบวงการเมืองและมีฐานะเป็นกรมตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน และกฎหมายว่าด้วยการปรับปรุงกระทรวงทบวงกรม" โจทก์จึงมีฐานะเป็นนิติบุคคล ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 72, 73 และมีอำนาจฟ้อง" ฯลฯ

ปัญหาที่ว่าระยะเวลาที่จำเลยที่ 1 ดำรงตำแหน่งตุลาการรัฐธรรมนูญเป็นการรับราชการหรือไม่ และเป็นระยะเวลารับราชการเพื่อใช้ทุนการศึกษาหรือไม่เห็นว่าการดำรงตำแหน่งตุลาการรัฐธรรมนูญของจำเลยที่ 1 เป็นผลจากการคัดเลือกของคณะบุคคล ตามรัฐธรรมนูญ พุทธศักราช 2517 มาตรา 218 ที่ใช้ขณะจำเลยที่ 1 ผิดสัญญา ตามมาตรา 219 ข้าราชการจะเป็นตุลาการรัฐธรรมนูญไม่ได้ ทั้งจำเลยที่ 1 ดำรงตำแหน่งตุลาการรัฐธรรมนูญ ภายหลังที่จำเลยที่ 1 ลาออกจากราชการ จึงไม่เป็นการรับราชการตามสัญญาเอกสารหมาย จ.1 จะนำมาคำนวณเพื่อใช้ทุนการศึกษาไม่ได้

ปัญหาข้อสุดท้ายจำเลยที่ 1 จะต้องรับผิดใช้เงินแก่โจทก์เพียงไรจำเลยที่ 1จะต้องรับราชการเป็นเวลาสองเท่าของระยะเวลาที่ได้รับทุนการศึกษาเป็นเวลา4,774 วัน จำเลยที่ 1 รับราชการเพื่อใช้ทุนการศึกษา 1,015 วัน ยังเหลือระยะเวลาที่จำเลยที่ 1 ต้องรับราชการอีก 3,759 วัน โจทก์เสียค่าใช้จ่ายในการให้ทุนการศึกษาแก่จำเลยที่ 1 เป็นเงิน 497,078 บาท 94 สตางค์ ตามเอกสารหมาย จ.18เงินจำนวนดังกล่าวมีเงินค่าใช้จ่ายประจำเดือนที่จำเลยที่ 1 ไม่มีสิทธิได้รับรวมอยู่ด้วยจำนวนสองเดือนเป็นเงิน 350 ดอลล่าร์ อัตราแลกเปลี่ยนดอลล่าร์ละ20.45 บาท คิดเป็นเงิน 7,157 บาท 50 สตางค์ ซึ่งจะต้องนำไปหักออก จึงเหลือจำนวนเงินที่โจทก์ใช้จ่ายให้ทุนการศึกษาจำนวน 489,921 บาท 44 สตางค์จำนวนเงินที่จำเลยที่ 1 จะต้องใช้คืนทุนการศึกษาคือ 489,921 บาท 44 สตางค์คูณด้วย 3,759 หารด้วย 4,774 คิดเป็นเงิน 385,759 บาท 26 สตางค์ เมื่อรวมจำนวนเงินค่าใช้จ่ายประจำเดือนสองเดือนที่จำเลยที่ 1 ต้องคืนให้โจทก์ 7,157บาท 50 สตางค์ จำเลยที่ 1 ต้องใช้เงินจำนวน 392,916 บาท 76 สตางค์โดยจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันจะต้องร่วมรับผิดด้วย

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้เงินจำนวน 392,916 บาท76 สตางค์แก่โจทก์ พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ และร่วมกันใช้ค่าทนายความชั้นฎีกา 2,000 บาทแทนโจทก์"

หมายเลขคดีดำศาลฎีกา nan

แหล่งที่มา เนติบัณฑิตยสภา

ชื่อคู่ความ โจทก์ - สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน จำเลย - นายปราโมทย์ นาครทรรพ กับพวก

ชื่อองค์คณะ ภักดิ์ บุณย์ภักดี ภิญโญ ธีรนิติ ไพบูลย์ ไวกาสี

ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ที่ตัดสิน nan

ข้อจำกัดความรับผิดชอบ: ข้อมูลเหล่านี้อาจไม่ใช่เวอร์ชันล่าสุด รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจมีข้อมูลที่เป็นปัจจุบันหรือแม่นยำกว่า เราไม่รับประกันหรือรับประกันเกี่ยวกับความถูกต้อง ความสมบูรณ์ หรือความเพียงพอของข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้หรือข้อมูลที่เชื่อมโยงกับเว็บไซต์ของรัฐ โปรดตรวจสอบแหล่งที่มาอย่างเป็นทางการ
ข้อมูลอ้างอิงจากเว็บไซต์ : www.krisdika.go.th, deka.supremecourt.or.th
ติดต่อเราทาง LINE