สารบัญ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5172/2533

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5172/2533

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 1658, 1713 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 18, 55, 151 วรรคแรก

บุคคลผู้มีสิทธิที่จะร้องขอให้ตั้งผู้จัดการมรดกได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1713 คงมีเพียงทายาทผู้มีส่วนได้เสีย หรือพนักงานอัยการเท่านั้น ตามสำเนาพินัยกรรมเอกสารฝ่ายเมืองของผู้ตายมีใจความว่า ให้พ.เป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายโดยให้ขายบ้านและที่ดินแล้วรวมกับเงินสดซึ่งฝากไว้กับธนาคารใช้ฌาปนกิจศพของผู้ตาย ส่วนที่เหลือให้นำถวายวัดทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้ตาย หาได้มีข้อความตอนใดระบุชื่อวัดผู้ร้องเป็นผู้รับพินัยกรรมของผู้ตายไม่การที่ พ. ผู้จัดการมรดกคนเดิมของผู้ตายได้แสดงเจตนาไว้ว่าจะรวบรวมทรัพย์มรดกของผู้ตายถวายวัดผู้ร้องยังไม่ก่อให้เกิดสิทธิใด ๆ แก่ผู้ร้องที่จะเรียกเอาทรัพย์มรดกรายนี้ได้ตามกฎหมายผู้ร้องจึงไม่ใช้ผู้มีสิทธิที่จะร้องขอให้ตั้งผู้จัดการมรดกของผู้ตายได้ตามบทบัญญัติดังกล่าว การวินิจฉัยถึงสิทธิของผู้ร้องว่า ผู้ร้องไม่มีสิทธิร้องขอให้ตั้งผู้จัดการมรดกของผู้ตายย่อมเป็นการวินิจฉัยถึงเนื้อหาแห่งคดีแล้วว่าผู้ร้องไม่อาจใช้สิทธิทางศาลได้ ไม่ใช่กรณีที่จะสั่งรับหรือไม่รับคำคู่ความ ศาลชั้นต้นจะต้องมีคำสั่งยกคำร้อง ไม่คืนค่าขึ้นศาลให้แก่ผู้ร้อง.

เนื้อหาฉบับเต็ม

ผู้ร้องยืนคำร้องว่า ผู้ร้องเป็นผู้มีส่วนได้เสียในทรัพย์มรดกของผู้ตายตามเจตนาของเจ้ามรดกและผู้จัดการมรดกคนเดิม เมื่อผู้จัดการมรดกคนเดิมตายไปแล้ว จึงจำเป็นต้องตั้งผู้จัดการมรดกคนใหม่ขอให้ศาลไต่สวนและมีคำสั่งตั้งนายประเสริฐ ขุนเณร ไวยาวัจกรของวัดผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายต่อไป

ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ผู้ร้องไม่ใช่ทายาทของเจ้ามรดก เพราะไม่มีพินัยกรรมยกให้วัดผู้ร้อง ผู้จัดการมรดกต้องแบ่งทรัพย์มรดกให้ทายาทเท่านั้น ไม่มีอำนาจยกให้วัดผู้ร้อง ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิร้องขอตั้งผู้จัดการมรดกของนางเสงี่ยม ไม่รับคำร้อง คืนค่าขึ้นศาลและจำหน่ายคดี

ผู้ร้องอุทธรณ์คำสั่ง

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

ผู้ร้องฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า บุคคลผู้มีสิทธิที่จะร้องขอให้ตั้งผู้จัดการมรดกได้ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1713 คงมีเพียงทายาท ผู้มีส่วนได้เสียหรือพนักงานอัยการเท่านั้น ตามสำเนาพินัยกรรมเอกสารฝ่ายเมืองของผู้ตายเอกสารท้ายอุทธรณ์ของผู้ร้องมีใจความเพียงว่า ให้นายพินเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายโดยให้ขายทรัพย์สินที่เป็นบ้านและที่ดินแล้วรวมกับกับเงินสดซึ่งฝากไว้กับธนาคารให้ฌาปนกิจศพของผู้ตาย และส่วนที่เหลือให้นำถวายวัดทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้ตายเท่านั้น หาได้มีข้อความตอนใดระบุชื่อวัดผู้ร้องเป็นผู้รับพินัยกรรมของผู้ตายไม่การที่นายพินผู้จัดการมรดกของผู้ตายคนเดิมได้แสดงเจตนาไว้ว่าจะรวบรวมทรัพย์มรดกของผู้ตายถวายวัดผู้ร้องนั้นยังไม่ก่อให้เกิดสิทธิใด ๆ แก่ผู้ร้องในอันที่จะเรียกเอาทรัพย์มรดกรายนี้ได้ตามกฎหมาย ผู้ร้องจึงไม่อยู่ในฐานะทายาทหรือผู้มีส่วนได้เสียในทรัพย์มรดกของผู้ตายในอันที่จะมีสิทธิร้องขอให้ตั้งผู้จัดการมรดกของผู้ตายได้ แต่ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำสั่งศาลชั้นต้นซึ่งสั่งไม่รับคำร้องของผู้ร้องและสั่งคืนค่าขึ้นศาลแก่ผู้ร้อง นั้น เห็นว่าการวินิจฉัยถึงสิทธิของผู้ร้องว่าผู้ร้องไม่มีสิทธิร้องขอให้ตั้งผู้จัดการมรดกของผู้ตายย่อมเป็นการวินิจฉัยถึงเนื้อหาแห่งคดีแล้วว่ากรณีนี้ผู้ร้องไม่อาจจะใช้สิทธิทางศาลได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 มิใช่กรณีที่จะส่งรับหรือไม่รับคำคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 18 ศาลฎีกาจึงเห็นสมควรแก้ไขเสียให้ถูกต้อง

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำร้อง ไม่คืนค่าขึ้นศาลในศาลชั้นต้นผู้ร้องค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ.

หมายเลขคดีดำศาลฎีกา nan

แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ชื่อคู่ความ ผู้ร้อง - วัด อม ฤต

ชื่อองค์คณะ ตัน เวทไว บุญส่ง วรรณกลาง วิทวัส อยู่วัฒนา

ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ที่ตัดสิน nan

ข้อจำกัดความรับผิดชอบ: ข้อมูลเหล่านี้อาจไม่ใช่เวอร์ชันล่าสุด รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจมีข้อมูลที่เป็นปัจจุบันหรือแม่นยำกว่า เราไม่รับประกันหรือรับประกันเกี่ยวกับความถูกต้อง ความสมบูรณ์ หรือความเพียงพอของข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้หรือข้อมูลที่เชื่อมโยงกับเว็บไซต์ของรัฐ โปรดตรวจสอบแหล่งที่มาอย่างเป็นทางการ
ข้อมูลอ้างอิงจากเว็บไซต์ : www.krisdika.go.th, deka.supremecourt.or.th
ติดต่อเราทาง LINE