สารบัญ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5169/2531

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5169/2531

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 174, 179 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 40, 86

ก่อนที่ศาลชั้นต้นจะสั่งงดสืบพยานโจทก์ซึ่งไม่มาศาล ศาลชั้นต้นได้ให้โอกาสแก่โจทก์ถึง 5 ครั้ง เพื่อให้ดำเนินการให้ได้บุคคลทั้งสามมาสืบ ซึ่งในแต่ละครั้ง ศาลชั้นต้นได้กำชับโจทก์ให้รีบเร่งดำเนินการเพื่อให้บุคคลทั้งสามมาศาลในวันนัด แต่ปรากฏว่าเมื่อถึงวันนัด โจทก์นำบุคคลทั้งสามมาศาลไม่ได้เลย ทั้งไม่สามารถแสดงเหตุผลถึงการที่บุคคลดังกล่าวไม่มาศาลโดยแถลงเพียงว่ายังไม่ได้รับทราบผลของการส่งหมายบ้างยังส่งหมายให้ไม่ได้บ้างหรือบางคนย้ายไปอยู่ที่ต่างจังหวัด แต่โจทก์ก็มิได้ดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อให้ได้ตัวมาสืบ ทั้งมิได้แถลงให้ศาลทราบว่าโจทก์ยังสามารถติดตามบุคคลดังกล่าวมาสืบได้หรือไม่ เมื่อใดจึงไม่มีเหตุผลที่ศาลชั้นต้นจะเลื่อนคดีให้แก่โจทก์ และศาลชั้นต้นสั่งงดสืบบุคคลทั้งสามชอบด้วยเหตุผลแล้ว

เนื้อหาฉบับเต็ม

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83, 288 จำเลยให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 ผิดมาตรา 288 ลดโทษหนึ่งในสามจำคุก 12 ปี จำเลยที่ 2ที่ 3 ผิดมาตรา 83, 391 ลดโทษคนละหนึ่งในสาม จำคุกคนละ 20 วันโจทก์และจำเลยทั้งสามอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์ฎีกาโดยอธิบดีกรมอัยการรับรองให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับจำเลยที่ 2 ที่ 3

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "มีปัญหาที่ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบนายไชยยศสิริกิตติเจิมจิตร นายเดชา ปัญจงามพัฒนา และนายสมทิน สุริยังซึ่งโจทก์อ้างเป็นพยานนั้น เป็นการชอบด้วยกฎหมายหรือไม่พิเคราะห์แล้ว เห็นว่าก่อนที่ศาลชั้นต้นจะสั่งงดสืบบุคคลทั้งสามซึ่งไม่มาศาลในวันที่ 8 พฤศจิกายน 2527 อันเป็นวันนัดสืบพยานโจทก์ครั้งสุดท้ายนั้น ศาลชั้นต้นได้ให้โอกาสแก่โจทก์เพื่อให้ดำเนินการให้ได้บุคคลทั้งสามมาสืบแล้วหลายครั้ง คือครั้งแรกวันนัดสืบพยานโจทก์เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2527 ครั้งที่สองเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2527 ครั้งที่สามเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2527ครั้งที่สี่เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2527 และครั้งที่ห้าเมื่อวันที่ 12ตุลาคม 2527 ซึ่งในแต่ละครั้งศาลชั้นต้นได้กำชับโจทก์ให้รีบเร่งดำเนินการเพื่อให้บุคคลทั้งสามมาศาลในวันนัด แต่ปรากฏว่าเมื่อถึงวันนัด โจทก์นำบุคคลทั้งสามมาศาลไม่ได้เลย เว้นแต่นายไชยยศซึ่งเคยมาศาลในนัดที่สามเพียงครั้งเดียว ทั้งโจทก์ก็ไม่สามารถแสดงเหตุผลต่อศาลถึงการที่บุคคลดังกล่าวไม่มาศาลโดยแถลงเพียงว่ายังไม่ได้รับทราบผลของการส่งหมายบ้างยังส่งหมายให้ไม่ได้บ้างหรือบางคนย้ายไปอยู่ที่ต่างจังหวัด แต่มิได้ดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อให้ได้ตัวมาสืบ ทั้งมิได้แถลงให้ศาลทราบว่าโจทก์ยังสามารถติดตามบุคคลดังกล่าวมาสืบได้หรือไม่ เมื่อใดฉะนั้นจึงไม่มีเหตุผลที่ศาลชั้นต้นจะเลื่อนคดีให้แก่โจทก์เพื่อให้โจทก์ติดตามตัวบุคคลดังกล่าวมาสืบโดยไม่ทราบแน่นอนว่าจะได้ตัวมาสืบหรือไม่ที่ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบบุคคลทั้งสามจึงชอบด้วยเหตุผลแล้วไม่มีเหตุที่จะเปลี่ยนแปลงคำสั่งศาลชั้นต้น"

และศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามฟ้องส่วนจำเลยที่ 2, ที่ 3 เพียงเข้าไปห้ามปรามคู่กรณีไม่ได้ร่วมกับจำเลยที่ 1 ทำร้ายผู้ตาย

พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 ลดโทษให้หนึ่งในสาม จำคุก 12 ปี ของกลางริบนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

หมายเลขคดีดำศาลฎีกา nan

แหล่งที่มา เนติบัณฑิตยสภา

ชื่อคู่ความ โจทก์ - อัยการ กรมอัยการ จำเลย - นาย สุพจน์หรือฮั่ง มธุรสสุคนธ์ กับพวก

ชื่อองค์คณะ สุพจน์ นาถะพินธุ วิศิษฏ์ ลิมานนท์ วีระชัย สูตรสุวรรณ

ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ที่ตัดสิน nan

ข้อจำกัดความรับผิดชอบ: ข้อมูลเหล่านี้อาจไม่ใช่เวอร์ชันล่าสุด รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจมีข้อมูลที่เป็นปัจจุบันหรือแม่นยำกว่า เราไม่รับประกันหรือรับประกันเกี่ยวกับความถูกต้อง ความสมบูรณ์ หรือความเพียงพอของข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้หรือข้อมูลที่เชื่อมโยงกับเว็บไซต์ของรัฐ โปรดตรวจสอบแหล่งที่มาอย่างเป็นทางการ
ข้อมูลอ้างอิงจากเว็บไซต์ : www.krisdika.go.th, deka.supremecourt.or.th
ติดต่อเราทาง LINE