คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 512/2565
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 1480 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 142
คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมตาม ป.พ.พ. มาตรา 1480 โดยอ้างว่า ส. ทำนิติกรรมยกที่ดินพิพาท ซึ่งเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์กับ ส. ให้แก่จำเลยโดยปราศจากความยินยอมของโจทก์ แม้คำขอท้ายฟ้องของโจทก์จะมีเพียงว่าให้จำเลยส่งมอบโฉนดที่ดินพิพาท หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย แต่เมื่อพิจารณาคำฟ้องโดยรวมที่โจทก์บรรยายว่านำคดีมาฟ้องเพื่อขอให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมหนังสือสัญญาให้ที่ดินพิพาทระหว่าง ส. กับจำเลย และให้จำเลยส่งมอบโฉนดที่ดินพิพาทดังกล่าวประกอบด้วยแล้วแปลเจตนาของโจทก์ได้ว่าโจทก์ประสงค์ขอให้บังคับจำเลยส่งมอบที่ดินพิพาทแก่โจทก์ในสภาพที่มีการเพิกถอนนิติกรรมการให้เรียบร้อยแล้ว เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ตามฟ้องและนิติกรรมรายนี้มีการทำตามแบบที่กฎหมายกำหนด กล่าวคือ ทำเป็นหนังสือสัญญาและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ศาลก็ย่อมพิพากษาให้เพิกถอนนิติกรรมการให้ที่ทำตามแบบดังกล่าวได้ทั้งหมด และเมื่อนิติกรรมการให้ถูกเพิกถอนก็ย่อมทำให้ที่ดินพิพาทกลับตกเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์กับ ส. ดังเดิม จำเลยไม่มีสิทธิในที่ดินพิพาทอีกต่อไป จึงต้องส่งมอบที่ดินพร้อมโฉนดที่ดินให้แก่โจทก์ การที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนรายการจดทะเบียนการให้ระหว่าง ส. กับจำเลยในสารบัญการจดทะเบียนท้ายโฉนดที่ดินพิพาท และให้จำเลยส่งมอบที่ดินพิพาทแก่โจทก์ด้วยนั้นไม่ถือเป็นการพิพากษาเกินคำขอแต่อย่างใด
เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนรายการจดทะเบียนการให้ในสารบัญการจดทะเบียนท้ายโฉนดที่ดินพิพาท เจ้าพนักงานที่ดินสามารถดำเนินการได้เองตาม ป.ที่ดิน และที่ดินพิพาทย่อมกลับมีชื่อของ ส. เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์โดยผลของคำพิพากษา ไม่มีสิ่งใดที่จะต้องบังคับให้จำเลยต้องปฏิบัติโดยการแสดงเจตนาอีก จึงไม่จำต้องสั่งให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของจำเลย
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยส่งมอบโฉนดที่ดินเลขที่ 77783, 77784, 77787 และ 77788 ให้แก่โจทก์ หากจำเลยไม่ปฏิบัติให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้องและฟ้องแย้งขอให้พิพากษาให้จำเลยได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งและแก้ไขคำให้การแก้ฟ้องแย้งขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนหนังสือสัญญาให้ที่ดินรวมสี่โฉนดระหว่างนายสุวัธ กับจำเลย ฉบับลงวันที่ 5 กรกฎาคม 2555 ให้เพิกถอนรายการจดทะเบียนในสารบัญการจดทะเบียนท้ายโฉนดที่ดินเลขที่ 77783, 77784, 77787 และ 77788 รายการจดทะเบียนการให้ระหว่างนายสุวัธกับจำเลย ลงวันที่ 5 กรกฎาคม 2555 หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทน และให้จำเลยส่งมอบที่ดินโฉนดเลขที่ 77783, 77784, 77787 และ 77788 กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 4,000 บาท ให้ยกฟ้องแย้ง ค่าฤชาธรรมเนียมในส่วนฟ้องแย้งให้เป็นพับ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ให้เพิกถอนรายการจดทะเบียนในสารบัญการจดทะเบียนท้ายโฉนดที่ดินเลขที่ 77783, 77784, 77787 และ 77788 รายการจดทะเบียนการให้ระหว่างนายสุวัธกับจำเลยหากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทน และที่ให้จำเลยส่งมอบที่ดินโฉนดเลขที่ 77783, 77784, 77787 และ 77788 ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า ศาลชั้นต้นพิพากษาเกินคำขอหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1480 โดยอ้างว่านายสุวัธ ทำนิติกรรมยกที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 77783, 77784, 77787 และ 77788 รวม 4 แปลง ซึ่งเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์กับนายสุวัธให้แก่จำเลยโดยปราศจากความยินยอมของโจทก์ แม้คำขอท้ายฟ้องของโจทก์จะมีเพียงว่าให้จำเลยส่งมอบโฉนดที่ดินพิพาท หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย แต่เมื่อพิจารณาคำฟ้องโดยรวมที่โจทก์บรรยายว่านำคดีมาฟ้องเพื่อขอให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมหนังสือสัญญาให้ที่ดินพิพาทระหว่างนายสุวัธกับจำเลย และให้จำเลยส่งมอบโฉนดที่ดินพิพาทดังกล่าวประกอบด้วยแล้วแปลเจตนาของโจทก์ได้ว่าโจทก์ประสงค์ขอให้บังคับจำเลยส่งมอบที่ดินพิพาทแก่โจทก์ในสภาพที่มีการเพิกถอนนิติกรรมการให้เรียบร้อยแล้ว เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ตามฟ้องและนิติกรรมรายนี้มีการทำตามแบบที่กฎหมายกำหนด กล่าวคือ ทำเป็นหนังสือสัญญาและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ศาลก็ย่อมพิพากษาให้เพิกถอนนิติกรรมการให้ที่ทำตามแบบดังกล่าวได้ทั้งหมด และเมื่อนิติกรรมการให้ถูกเพิกถอนก็ย่อมทำให้ที่ดินพิพาทกลับตกเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์กับนายสุวัธดังเดิม จำเลยไม่มีสิทธิในที่ดินพิพาทอีกต่อไป จึงต้องส่งมอบที่ดินพร้อมโฉนดที่ดินให้แก่โจทก์ การที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนรายการจดทะเบียนการให้ระหว่างนายสุวัธกับจำเลยในสารบัญการจดทะเบียนท้ายโฉนดที่ดินพิพาท และให้จำเลยส่งมอบที่ดินพิพาทแก่โจทก์ด้วยนั้นไม่ถือเป็นการพิพากษาเกินคำขอแต่อย่างใด คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษในส่วนนี้ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น อย่างไรก็ตาม เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนรายการจดทะเบียนการให้ในสารบัญการจดทะเบียนท้ายโฉนดที่ดินพิพาท เจ้าพนักงานที่ดินสามารถดำเนินการได้เองตามประมวลกฎหมายที่ดิน และที่ดินพิพาทย่อมกลับมีชื่อของนายสุวัธเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์โดยผลของคำพิพากษา ไม่มีสิ่งใดที่จะต้องบังคับให้จำเลยต้องปฏิบัติโดยการแสดงเจตนาอีก จึงไม่จำต้องสั่งให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของจำเลย
อนึ่ง ฎีกาของโจทก์ดังกล่าวเป็นฎีกาปัญหาข้อกฎหมายซึ่งมิได้มีผลเกี่ยวกับทุนทรัพย์ในคดี จึงมิใช่คดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ โจทก์ต้องเสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกา 200 บาท ตามตาราง 1 ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ข้อ 2 (ก) จึงให้คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาส่วนที่โจทก์เสียเกินมาแก่โจทก์
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้เพิกถอนรายการจดทะเบียนในสารบัญการจดทะเบียนท้ายโฉนดที่ดินเลขที่ 77783, 77784, 77787 และ 77788 รายการจดทะเบียนการให้ระหว่างนายสุวัธกับจำเลย และให้จำเลยส่งมอบที่ดินโฉนดเลขที่ 77783, 77784, 77787 และ 77788 ด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาส่วนที่เกินกว่า 200 บาท ให้แก่โจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกานอกจากที่สั่งคืนให้เป็นพับ
หมายเลขคดีดำศาลฎีกา ยช.(พ)20/2564
แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ชื่อคู่ความ โจทก์ - นาง ล. จำเลย - นาง ช.
ชื่อองค์คณะ สิทธิศักดิ์ วนะชกิจ อรุณี วีระรัศมี
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ที่ตัดสิน ศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดอุดรธานี - นางปฏิญาพร ปลูกสวัสดิ์
- นางรัชดาพร เสนียวงศ์ ณ อยุธยา