สารบัญ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 509/2532

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 509/2532

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 55 พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ.2469 ม. 112, 112 ทวิ

การที่เจ้าพนักงานของจำเลยให้โจทก์นำหนังสือค้ำประกันมาวางเป็นประกันการชำระภาษีอากร เป็นการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 112 ที่ให้อำนาจไว้ และเจ้าพนักงานของจำเลยย่อมมีอำนาจประเมินเงินอากรและแจ้งให้โจทก์ชำระตามมาตรา 112 ทวิ เมื่อโจทก์ไม่พอใจ โจทก์มีอำนาจอุทธรณ์คัดค้านได้ตาม มาตรา 112 ทวิ วรรคสาม การที่โจทก์ฟ้องคดีเมื่อเจ้าพนักงานของจำเลยเรียกประกันตามมาตรา 112 จึงเป็นการตัดสิทธิในการประเมินของเจ้าพนักงาน และตัดสิทธิโจทก์ในการอุทธรณ์คัดค้านการประเมิน ซึ่งกฎหมายมิได้มีเจตนารมณ์เช่นนั้น ดังนั้นการที่โจทก์ฟ้องคดีก่อนเจ้าหน้าที่ของจำเลยประเมินเงินภาษีอากรและแจ้งให้โจทก์ชำระตามมาตรา 112 ทวิ วรรคหนึ่ง จึงยังถือไม่ได้ว่า จำเลยได้โต้แย้งสิทธิหรือหน้าที่ของโจทก์ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 แล้ว โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง.

เนื้อหาฉบับเต็ม

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์นำเหล็กท่อนหน้าตัดสี่เหลี่ยมจัตุรัสชนิดมีส่วนผสมเป็นแอลลอยสตีลจากประเทศญี่ปุ่นเข้ามาในราชอาณาจักรโดยสำแดงในพิกัดประเภทที่ 73.15 ง. ได้ชำระภาษีอากรแล้ว ครั้นเมื่อโจทก์ไปตรวจรับสินค้า เจ้าหน้าที่ของจำเลยอ้างว่าสินค้าดังกล่าวเป็นของจะต้องจัดเข้าพิกัดประเภทที่ 73.40 ฉ. ไม่ให้โจทก์รับสินค้าไป โจทก์ได้วางหลักทรัพย์ค้ำประกันเท่าจำนวนอากรในพิกัดประเภทที่ 73.40 ฉ. และค่าปรับ โจทก์จึงสามารถรับสินค้าไปได้ สินค้าของโจทก์เป็นของที่ระบุชื่อและลักษณะไว้โดยชัดแจ้งในพิกัดประเภทที่ 73.15 ง. โจทก์ได้ชำระค่าภาษีอากรไว้ถูกต้องแล้ว ขอให้พิพากษาว่า การจัดเข้าอยู่ในพิกัดประเภทที่ 73.40 ฉ. เป็นการไม่ชอบให้ยกเลิกเพิกถอนคำสั่งดังกล่าว และคืนหลักทรัพย์ที่ค้ำประกัน

จำเลยให้การว่า จำเลยมิได้โต้แย้งสิทธิโจทก์ โดยเจ้าหน้าที่ของจำเลยยังพิจารณาไม่เสร็จสิ้น และยังไม่ได้ออกแบบแจ้งการประเมินเรียกเก็บภาษีจากโจทก์ โจทก์จึงยังไม่มีอำนาจฟ้องและให้การต่อสู้ในเรื่องอื่น ๆ

ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาว่า สินค้าที่โจทก์นำเข้าจัดอยู่ในพิกัดประเภทที่ 73.15 ง. ให้คืนหลักทรัพย์ที่ค้ำประกัน

จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า ในปัญหาที่ว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องคดีนี้หรือไม่นั้น พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 112 ให้อำนาจพนักงานเจ้าหน้าที่ในการกำหนดให้ผู้นำของเข้าวางเงินเพิ่มเติมเป็นประกันจนครบกำหนดเงินอากรสูงสุดที่อาจจะพึงต้องเสียสำหรับของนั้น ทั้งให้อำนาจอธิบดีประกาศจำนวนให้รับการค้ำประกันของกระทรวงการคลังหรือธนาคารแทนการวางเงินเพิ่มเติมเป็นประกันดังกล่าวโดยอาจกำหนดให้ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่เห็นสมควรได้ สำหรับมาตรา112 ทวิ วรรคหนึ่ง นั้นบัญญัติว่า ในกรณีที่มีการวางเงินประกันค่าอากรตามมาตรา 112 เมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่ได้ประเมินเงินอากรอันพึงต้องเสียและแจ้งให้ผู้นำของเข้าทราบแล้ว ผู้นำของเข้าต้องชำระเงินอากรตามจำนวนที่ได้รับแจ้งให้ครบถ้วนภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้ง ส่วนวรรคสองบัญญัติว่า ในกรณีที่มีการวางเงินประกันและเงินประกันที่วางไว้คุ้มค่าอากรที่พนักงานเจ้าหน้าที่ประเมินแล้วให้เก็บเงินประกันดังกล่าวเป็นค่าอากรตามจำนวนที่ประเมินได้ทันที สำหรับวรรคสามบัญญัติว่า ผู้นำของเข้าอาจอุทธรณ์การประเมินเงินอากรตามวรรคหนึ่งต่ออธิบดีหรือผู้ที่อธิบดีมอบหมายได้ภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งการประเมินโดยปฏิบัติตามระเบียบที่อธิบดีกำหนด จะเห็นได้ว่า การที่พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยให้โจทก์นำหนังสือค้ำประกันของธนาคารมาวางเป็นประกันไว้ในคดีนี้นั้นเป็นการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา112 ที่ให้อำนาจพนักงานเจ้าหน้าที่ไว้นั่นเอง เมื่อปฏิบัติดังกล่าวแล้ว พนักงานเจ้าหน้าที่ย่อมมีอำนาจประเมินเงินอากรที่โจทก์จะต้องเสีย และแจ้งให้โจทก์ทราบตามมาตรา 112 ทวิ วรรคหนึ่ง ซึ่งหากโจทก์ไม่พอใจการประเมินดังกล่าว โจทก์ย่อมอุทธรณ์คัดค้านได้ตามมาตรา 112 ทวิ วรรคสาม ในกรณีที่พนักงานเจ้าหน้าที่เรียกประกันตามมาตรา 112 หากศาลยินยอมให้โจทก์ฟ้องคดีได้ทันทีดังเช่นคดีนี้ซึ่งโจทก์จำเลยยอมรับข้อเท็จจริงกันว่าโจทก์ฟ้องคดีนี้โดยที่พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยยังมิได้ประเมินอากรแจ้งให้โจทก์ชำระย่อมจะเป็นการตัดอำนาจของพนักงานเจ้าหน้าที่ในการที่จะประเมินเงินอากรตามมาตรา 112 ทวิ วรรคหนึ่ง และตัดสิทธิของโจทก์ที่จะอุทธรณ์คัดค้านการประเมินดังกล่าวตามมาตรา 112 ทวิวรรคสาม โดยสิ้นเชิง ศาลฎีกาเห็นว่า พระราชบัญญัติศุลกากรพ.ศ. 2469 มิได้มีเจตนารมณ์ให้ศาลตัดอำนาจของพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลย และตัดสิทธิของโจทก์เช่นนั้น นอกจากนี้ศาลฎีกายังเห็นอีกประการหนึ่งว่า เมื่อคดีนี้ พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยยังมิได้ประเมินเงินอากรและแจ้งให้โจทก์ชำระตามมาตรา 112 ทวิ วรรคหนึ่งกรณียังไม่อาจถือได้ว่า จำเลยได้โต้แย้งสิทธิหรือหน้าที่ของโจทก์แล้ว โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องคดีนี้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 ได้ ไม่จำต้องวินิจฉัยปัญหาอื่น ๆ ต่อไป คำพิพากษาของศาลภาษีอากรกลางไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา อุทธรณ์ของจำเลยฟังขึ้น

พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์.

หมายเลขคดีดำศาลฎีกา nan

แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ชื่อคู่ความ โจทก์ - บริษัท เอส.เค. ดับบลิวสตีลส์โปรดัคท์ จำกัด จำเลย - กรมศุลกากร

ชื่อองค์คณะ ปิ่นทิพย์ สุจริตกุล วิฑูรย์ ตั้งตรงจิตต์ ประวิทย์ ขัมภรัตน์

ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ที่ตัดสิน nan

ข้อจำกัดความรับผิดชอบ: ข้อมูลเหล่านี้อาจไม่ใช่เวอร์ชันล่าสุด รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจมีข้อมูลที่เป็นปัจจุบันหรือแม่นยำกว่า เราไม่รับประกันหรือรับประกันเกี่ยวกับความถูกต้อง ความสมบูรณ์ หรือความเพียงพอของข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้หรือข้อมูลที่เชื่อมโยงกับเว็บไซต์ของรัฐ โปรดตรวจสอบแหล่งที่มาอย่างเป็นทางการ
ข้อมูลอ้างอิงจากเว็บไซต์ : www.krisdika.go.th, deka.supremecourt.or.th
ติดต่อเราทาง LINE