คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5059/2567
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 27, 225, 243 (2), 252 พระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ.2551 ม. 7, 26, 46
ตาม พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 มาตรา 26 กรณีที่จะถือว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การต่อเมื่อปรากฏว่า ในวันนัดพิจารณาเมื่อโจทก์และจำเลยมาพร้อมกันแล้วถ้าไม่อาจตกลงกันหรือไม่อาจประนีประนอมยอมความกันได้ และจำเลยยังไม่ได้ยื่นคำให้การ เป็นหน้าที่ศาลที่ต้องจัดให้มีการสอบถามคำให้การของจำเลย ถ้าจำเลยไม่ให้การ และไม่ได้รับอนุญาตจากศาลให้ขยายระยะเวลายื่นคำให้การ จึงจะถือว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ บทบัญญัติแห่ง พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 แม้จะมีเจตนารมณ์เพื่อคุ้มครองผู้บริโภคแต่ไม่มีบทบัญญัติให้ใช้บังคับบทมาตราดังกล่าวเฉพาะแก่คู่ความซึ่งเป็นผู้บริโภคเท่านั้น จึงต้องใช้บทบัญญัติมาตราดังกล่าวแก่คู่ความซึ่งเป็นผู้ประกอบธุรกิจด้วย เมื่อทนายจำเลยแถลงต่อศาลชั้นต้นขอขยายระยะเวลายื่นคำให้การภายใน 7 วัน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาต จึงเป็นกรณีที่จำเลยยังไม่ยื่นคำให้การ ศาลชั้นต้นมีหน้าที่ต้องจัดให้มีการสอบถามคำให้การของจำเลย หากทนายจำเลยไม่ประสงค์ที่จะยื่นคำให้การเป็นหนังสือหรือด้วยวาจาจึงจะถือว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ การที่ศาลชั้นต้นไม่ได้จัดให้มีการสอบถามคำให้การจำเลยและมีคำสั่งถือว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การกับให้โจทก์นำพยานเข้าไต่สวนในวันนัดฝ่ายเดียว และมีคำสั่งว่าคดีเสร็จการพิจารณา จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบสมควรต้องเพิกถอนตาม ป.วิ.พ. มาตรา 27 ประกอบ พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 มาตรา 7 ปัญหาดังกล่าวจำเลยยื่นคำแก้อุทธรณ์ตั้งประเด็นเรื่องกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบได้โดยไม่ต้องทำเป็นอุทธรณ์เพราะจำเลยเป็นฝ่ายชนะคดี ที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยเพราะเห็นว่าต้องทำเป็นอุทธรณ์จึงไม่ถูกต้อง กรณีจะถือว่าเป็นเรื่องที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งถึงที่สุดไปแล้วและเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์หาได้ไม่ ทั้งปัญหาว่าศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาผิดระเบียบหรือไม่ เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน จำเลยมีสิทธิยกปัญหาดังกล่าวขึ้นในชั้นฎีกาได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 225 ประกอบมาตรา 252 และ พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 มาตรา 7
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 1,500,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยยังไม่ได้ยื่นคำให้การ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์แผนกคดีผู้บริโภคพิพากษากลับ ให้จำเลยชำระเงิน 1,500,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้อง (วันที่ 3 ธันวาคม 2563) จนถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 และอัตราร้อยละ 5 ต่อปี นับแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ยให้ปรับเปลี่ยนลดลงหรือเพิ่มขึ้นได้ตามพระราชกฤษฎีกาซึ่งตราขึ้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 7 ที่แก้ไขใหม่ บวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละ 2 ต่อปี แต่ต้องไม่เกินอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามที่โจทก์ขอ ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา โดยศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภคอนุญาตให้ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภควินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2561 จำเลยรับทำสัญญาประกันชีวิตนางสาวปรีชา มารดาโจทก์ แบบเมืองไทยสมาร์ท โพรเทคชั่น 99/20 ชนิดไม่มีเงินปันผล เป็นเงิน 1,500,000 บาท ชำระเบี้ยประกันภัยรายปี ปีละ 36,675 บาท รวม 20 ปี เริ่มคุ้มครองวันที่ 27 ตุลาคม 2561 ถึงวันที่ 27 ตุลาคม 2615 โดยระบุให้โจทก์เป็นผู้รับประโยชน์ นางสาวปรีชาชำระเบี้ยประกันชีวิตปี 2561 และปี 2562 รวมเป็นเงิน 73,350 บาท ต่อมาวันที่ 23 มิถุนายน 2563 นางสาวปรีชาถึงแก่ความตายด้วยอาการระบบหายใจและไหลเวียนโลหิตล้มเหลว โจทก์แจ้งขอรับผลประโยชน์ตามกรมธรรม์ประกันชีวิตจากจำเลยแล้ว ต่อมาวันที่ 14 สิงหาคม 2563 จำเลยมีหนังสือถึงโจทก์ขอบอกเลิกสัญญาประกันชีวิตอ้างว่านางสาวปรีชาผู้เอาประกันชีวิตมีสุขภาพไม่สมบูรณ์แข็งแรง มีประวัติเจ็บป่วยและรักษาโรคก่อนวันเริ่มทำสัญญาประกันชีวิต ในการดำเนินกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นมีการพิจารณาเพื่อการไกล่เกลี่ย ให้การ และสืบพยานในวันที่ 11 ตุลาคม 2564 เมื่อถึงวันนัดทนายโจทก์และทนายจำเลยมาศาล ทนายจำเลยแถลงว่าประสงค์ที่จะเจรจาไกล่เกลี่ยกับฝ่ายโจทก์และขอขยายระยะเวลายื่นคำให้การ โดยจะขอยื่นคำให้การภายใน 7 วัน ทนายโจทก์แถลงว่าไม่ประสงค์ที่จะเจรจาไกล่เกลี่ยกับฝ่ายจำเลยและคัดค้านที่จำเลยขอขยายระยะเวลายื่นคำให้การ โจทก์ประสงค์ที่จะนำพยานเข้าสืบในวันนี้ ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว เห็นว่า เมื่อโจทก์ไม่ประสงค์ที่จะเจรจาไกล่เกลี่ยและคัดค้านการขอเลื่อนคดีอ้างว่าจำเลยมีระยะเวลาในการเตรียมตัวนานแล้ว ประกอบกับโจทก์ประสงค์ที่จะสืบพยาน จึงไม่อนุญาตให้จำเลยขยายระยะเวลายื่นคำให้การและถือว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ และให้ดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป โจทก์อ้างตนเองเข้าเบิกความเป็นพยานโดยทนายจำเลยได้ใช้สิทธิในการถามค้านแล้วจนจบปาก แล้วทนายโจทก์แถลงหมดพยาน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าคดีเสร็จการพิจารณา ให้นัดฟังคำพิพากษา วันที่ 30 พฤศจิกายน 2564 เวลา 9 นาฬิกา ต่อมาวันที่ 15 ตุลาคม 2564 จำเลยยื่นคำร้องอ้างว่าการที่ศาลชั้นต้นไม่สอบคำให้การจำเลยและสั่งว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและสืบพยานโจทก์ไปฝ่ายเดียวเป็นการไม่ชอบ ขอให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในวันที่ 19 ตุลาคม 2564 ว่า จำเลยไม่ได้แถลงว่ามีความประสงค์ที่จะยื่นคำให้การหรือจะให้การด้วยวาจา ทั้งทนายจำเลยยังคงดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปโดยการถามค้านพยานโจทก์ หากทนายจำเลยเห็นว่ากระบวนพิจารณาดังกล่าวไม่ชอบทนายจำเลยก็สามารถโต้แย้งได้ภายในวันดังกล่าว แต่ไม่ปรากฏว่าทนายจำเลยได้โต้แย้ง จึงไม่มีเหตุที่จะให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบ ให้ยกคำร้อง และในชั้นอุทธรณ์จำเลยยื่นคำแก้อุทธรณ์อ้างว่ากระบวนพิจารณาดังกล่าวเป็นกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบ ขอให้ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่เพื่อให้จำเลยมีโอกาสยื่นคำให้การและนำพยานเข้าสืบ ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยจะอุทธรณ์มาในคำแก้อุทธรณ์มิได้ จึงไม่รับวินิจฉัย
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ได้รับอนุญาตให้ฎีกาว่า มีเหตุเพิกถอนคำสั่งศาลชั้นต้นที่มีคำสั่งว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การหรือไม่ เห็นว่า พระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 มาตรา 26 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า ถ้าคู่ความไม่อาจตกลงกันหรือไม่อาจประนีประนอมยอมความกันได้ และจำเลยยังไม่ได้ยื่นคำให้การ ให้ศาลจัดให้มีการสอบถามคำให้การของจำเลยโดยจำเลยจะยื่นคำให้การเป็นหนังสือหรือจะให้การด้วยวาจาก็ได้ ในกรณีที่ยื่นคำให้การเป็นหนังสือ หากศาลเห็นว่าคำให้การดังกล่าวไม่ถูกต้องหรือขาดสาระสำคัญบางเรื่อง ศาลอาจมีคำสั่งให้จำเลยแก้ไขคำให้การในส่วนนั้นให้ถูกต้องหรือชัดเจนขึ้นก็ได้ ในกรณีให้การด้วยวาจา ให้ศาลจัดให้มีการบันทึกคำให้การนั้นและให้จำเลยลงลายมือชื่อไว้เป็นสำคัญ และวรรคสองบัญญัติว่า ถ้าจำเลยไม่ให้การตามวรรคหนึ่ง และไม่ได้รับอนุญาตจากศาลให้ขยายระยะเวลายื่นคำให้การ ให้ถือว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ จากบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมีความหมายว่าในวันนัดพิจารณาเมื่อโจทก์และจำเลยมาพร้อมกันแล้วถ้าไม่อาจตกลงกันหรือไม่อาจประนีประนอมยอมความกันได้ และจำเลยยังไม่ได้ยื่นคำให้การก็เป็นหน้าที่ศาลที่ต้องจัดให้มีการสอบถามคำให้การของจำเลย ถ้าจำเลยไม่ให้การ และไม่ได้รับอนุญาตจากศาลให้ขยายระยะเวลายื่นคำให้การ จึงจะถือว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การได้ บทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 แม้จะมีเจตนารมณ์เพื่อคุ้มครองผู้บริโภคซึ่งมีอำนาจต่อรองทั้งทางเศรษฐกิจและสังคมน้อยกว่าผู้ประกอบธุรกิจ แต่ก็ไม่มีบทบัญญัติให้ใช้บังคับบทมาตราดังกล่าวเฉพาะแก่คู่ความซึ่งเป็นผู้บริโภคเท่านั้น บทบัญญัติแห่งกฎหมายมาตราดังกล่าวจึงต้องใช้บังคับแก่คู่ความซึ่งเป็นผู้ประกอบธุรกิจด้วย ดังนั้นเมื่อทนายจำเลยแถลงต่อศาลชั้นต้นขอขยายระยะเวลายื่นคำให้การภายใน 7 วัน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาตให้จำเลยขยายระยะเวลายื่นคำให้การ จึงเป็นกรณีที่จำเลยยังไม่ได้ยื่นคำให้การ ศาลชั้นต้นจึงมีหน้าที่ต้องจัดให้มีการสอบถามคำให้การของจำเลย หากทนายจำเลยไม่ประสงค์จะยื่นคำให้การเป็นหนังสือหรือให้การด้วยวาจา จึงจะถือได้ว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ เมื่อผลของการที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งถือว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การย่อมทำให้จำเลยเสียเปรียบ ดังนั้นการที่ศาลชั้นต้นไม่ได้จัดให้มีการสอบถามคำให้การจำเลยและมีคำสั่งถือว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ กับให้โจทก์นำพยานเข้าไต่สวนไปในวันนัดดังกล่าวฝ่ายเดียว และมีคำสั่งว่าคดีเสร็จการพิจารณา จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบ สมควรต้องเพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบดังกล่าวตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 ประกอบพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 มาตรา 7 ปัญหาดังกล่าวแม้จำเลยเคยยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นขอให้มีคำสั่งเพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบ แต่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง และเมื่อศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์แล้ว แม้จำเลยไม่ได้ยื่นอุทธรณ์ แต่จำเลยยื่นคำแก้อุทธรณ์อ้างว่ากระบวนพิจารณาดังกล่าวเป็นกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบ ซึ่งจำเลยสามารถตั้งประเด็นดังกล่าวในคำแก้อุทธรณ์ได้โดยไม่จำต้องทำเป็นอุทธรณ์เพราะจำเลยชนะคดีในศาลชั้นต้นจึงไม่มีเหตุผลใดให้จำเลยต้องยื่นอุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลชั้นต้นเรื่องกระบวนพิจารณาผิดระเบียบตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 มาตรา 46 จำเลยจึงยื่นคำแก้อุทธรณ์ตั้งประเด็นเรื่องกระบวนพิจารณาผิดระเบียบได้ เมื่อศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยประเด็นเรื่องการดำเนินกระบวนพิจารณาผิดระเบียบตามคำแก้อุทธรณ์ของจำเลยเพราะเห็นว่าต้องทำเป็นอุทธรณ์จึงไม่ถูกต้อง กรณีจะถือว่าเป็นเรื่องที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งถึงที่สุดไปแล้วและเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์หาได้ไม่ ทั้งปัญหาว่าศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาผิดระเบียบหรือไม่ เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน จำเลยย่อมมีสิทธิที่จะยกปัญหาดังกล่าวขึ้นอ้างในชั้นฎีกาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 ประกอบมาตรา 252 และพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 มาตรา 7 เมื่อคดีปรากฏเหตุที่มิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วยการพิจารณาทำให้ไม่มีข้อเท็จจริงเพียงพอที่ศาลฎีกาจะพิจารณาพิพากษาปัญหาตามฎีกาของจำเลยที่ได้รับอนุญาตให้ฎีกาในข้ออื่นต่อไปได้ คดีมีเหตุอันสมควรต้องยกคำพิพากษาศาลล่างทั้งสองแล้วย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาใหม่นับตั้งแต่การดำเนินกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบ ไต่สวนพยานโจทก์และพยานจำเลยแล้วพิพากษาใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 243 (2) ประกอบมาตรา 252 และพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 มาตรา 7 ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น
พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ กับให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นนับแต่วันที่ 11 ตุลาคม 2564 เป็นต้นไป ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้ศาลชั้นต้นรวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษาใหม่
หมายเลขคดีดำศาลฎีกา ผบ.(พ)108/2567
แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา


