สารบัญ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5042/2562

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5042/2562

nan

ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องและมีคำสั่งประทับฟ้องจำเลยที่ 2 โดยองค์คณะผู้พิพากษาคณะหนึ่งแล้ว ต่อมาในชั้นพิจารณามีการจ่ายสำนวนให้องค์คณะผู้พิพากษาใหม่พิจารณาพิพากษาคดี องค์คณะใหม่มีอำนาจพิจารณาข้อเท็จจริงตามคำฟ้องโจทก์เปรียบเทียบกับคำพิพากษาศาลฎีกาในคดีแพ่งที่โจทก์อ้างเป็นมูลคดีฟ้องกล่าวหาจำเลยในคดีนี้เพื่อนำไปปรับข้อกฎหมายว่า การกระทำของจำเลยที่ 2 เป็นความผิดฐานเบิกความเท็จและนำสืบหรือแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จตาม ป.อ. มาตรา 177 และมาตรา 180 หรือไม่ หากข้อเท็จจริงสามารถรับฟังได้ยุติตามคำฟ้องโจทก์แล้ว กรณีก็ไม่มีเหตุผลใดที่องค์คณะใหม่ในศาลชั้นต้นจำต้องแสวงหาข้อเท็จจริงเพิ่มเติมอีก และถ้าศาลเห็นว่าข้อเท็จจริงตามคำฟ้องโจทก์กับข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาศาลฎีกาในคดีแพ่งดังกล่าว เมื่อปรับข้อกฎหมายแล้วจำเลยที่ 2 มิได้กระทำผิดหรือการกระทำของจำเลยที่ 2 ไม่เป็นความผิดตาม ป.วิ.อ. มาตรา 185 ศาลก็มีอำนาจงดสอบคำให้การจำเลยที่ 2 และงดสืบพยานโจทก์และจำเลยที่ 2 ได้ ดังนั้น องค์คณะผู้พิพากษาใหม่มีอำนาจสั่งงดสืบพยานโจทก์และจำเลยที่ 2 และมีคำพิพากษายกฟ้องจำเลยที่ 2 ได้ ไม่ใช่การกลับคำสั่งขององค์คณะผู้พิพากษาคณะเดิมที่ประทับฟ้องจำเลยที่ 2 ไว้อย่างใดไม่

เนื้อหาฉบับเต็ม

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137, 177, 180

ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่า คดีมีมูลเฉพาะจำเลยที่ 2 ในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177, 180 ส่วนจำเลยที่ 1 ไม่มีมูล ให้ประทับฟ้องเฉพาะจำเลยที่ 2 ยกฟ้องจำเลยที่ 1

โจทก์อุทธรณ์

ก่อนสอบคำให้การจำเลยที่ 2 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งงดสืบพยานแล้วพิพากษายกฟ้องจำเลยที่ 2

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นรับฟังได้ว่า โจทก์กับจำเลยที่ 1 ทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินและอาคารโครงการสาธรยูนีค ทาวเวอร์ ต่อมาจำเลยทั้งสองได้ฟ้องโจทก์เป็นคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 1202/2552 ของศาลแพ่งกรุงเทพใต้ กล่าวหาว่า โจทก์ผิดสัญญา กระทำละเมิดต่อจำเลยที่ 1 และเรียกค่าเสียหายจากโจทก์ จำเลยที่ 2 เข้าเบิกความในคดีแพ่ง ขณะจำเลยที่ 2 เบิกความในคดีแพ่งได้อ้างส่งเอกสารประกอบการพิจารณาสินเชื่อของธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) เป็นพยาน

คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ข้อแรกว่า เมื่อศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องและมีคำสั่งประทับฟ้องจำเลยที่ 2 โดยองค์คณะผู้พิพากษาคณะหนึ่งแล้ว ต่อมาในชั้นพิจารณามีการจ่ายสำนวนให้องค์คณะผู้พิพากษาคณะใหม่พิจารณาพิพากษาคดี ในชั้นสอบคำให้การจำเลยที่ 2 องค์คณะผู้พิพากษาคณะใหม่มีอำนาจสั่งงดสืบพยานโจทก์และจำเลยที่ 2 แล้วมีคำพิพากษายกฟ้องจำเลยที่ 2 ได้หรือไม่ เห็นว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นพิจารณาจากคำฟ้องโจทก์ประกอบคำพิพากษาคดีแพ่งของศาลฎีกา ซึ่งทนายจำเลยทั้งสองส่งประกอบการถามค้านในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง แล้ววินิจฉัยคดีตามเนื้อหาแห่งคำฟ้องโจทก์เทียบกับคำพิพากษาคดีแพ่งของศาลฎีกา แม้ในส่วนจำเลยที่ 2 องค์คณะเดิมในศาลชั้นต้นจะประทับฟ้องเฉพาะจำเลยที่ 2 ไว้ก็ตาม แต่ในชั้นพิจารณามีการเปลี่ยนองค์คณะใหม่เป็นผู้พิจารณา ซึ่งองค์คณะใหม่มีอำนาจพิจารณาข้อเท็จจริงตามคำฟ้องโจทก์เปรียบเทียบกับคำพิพากษาคดีแพ่งของศาลฎีกา เพื่อนำไปปรับข้อกฎหมายว่า การกระทำของจำเลยที่ 2 ตามที่โจทก์ฟ้องเป็นความผิดฐานเบิกความเท็จและนำสืบหรือแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177 และมาตรา 180 ซึ่งมีองค์ประกอบความผิดสำคัญประการหนึ่งว่า คำเบิกความและพยานหลักฐานอันเป็นเท็จจะต้องเป็นข้อสำคัญในคดีที่เบิกความหรือนำสืบด้วย อันเป็นสาระสำคัญที่ศาลมีอำนาจวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายจากข้อเท็จจริงที่รับฟังยุติตามคำฟ้องโจทก์และคำพิพากษาคดีแพ่งของศาลฎีกาได้ ด้วยเหตุนี้ ในชั้นพิจารณาหากข้อเท็จจริงสามารถรับฟังได้ยุติตามคำฟ้องโจทก์แล้ว กรณีก็ไม่มีเหตุผลใดที่องค์คณะใหม่ในศาลชั้นต้นจำต้องแสวงหาข้อเท็จจริงเพิ่มเติมอีก และถ้าศาลเห็นว่าข้อเท็จจริงตามคำฟ้องโจทก์กับข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาคดีแพ่งของศาลฎีกา เมื่อปรับข้อกฎหมายแล้วจำเลยที่ 2 มิได้กระทำผิดหรือการกระทำของจำเลยที่ 2 ไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185 ศาลก็มีอำนาจงดสอบคำให้การจำเลยที่ 2 และงดสืบพยานโจทก์และจำเลยที่ 2 ได้ ทั้งนี้ หาใช่ข้อบังคับให้ศาลจำต้องสืบพยานโจทก์และจำเลยที่ 2 ดังที่โจทก์ฎีกา ตามนัยแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 174 วรรคท้าย ที่กำหนดให้ศาลสามารถใช้ดุลพินิจได้ เมื่อศาลเห็นว่าไม่จำเป็นต้องสืบพยานหรือทำการอะไรอีก ศาลจะสั่งงดสืบพยานหรือการนั้นเสียก็ได้ หาใช่เป็นการตัดตอนคดีเพื่อช่วยเหลือจำเลยที่ 2 ไม่ต้องพิสูจน์ความผิดหรือความบริสุทธิ์ของจำเลยที่ 2 ในกระบวนการยุติธรรมศาล ดังที่โจทก์อ้างในฎีกาไม่ ดังนั้น ในชั้นสอบคำให้การจำเลยที่ 2 องค์คณะผู้พิพากษาคณะใหม่มีอำนาจสั่งงดสืบพยานโจทก์และจำเลยที่ 2 แล้วมีคำพิพากษายกฟ้องจำเลยที่ 2 ได้ ไม่ใช่การกลับคำสั่งขององค์คณะผู้พิพากษาคณะเดิมที่สั่งประทับฟ้องจำเลยที่ 2 ไว้อย่างใดไม่ การดำเนินกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นชอบด้วยกฎหมายแล้ว ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้นชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาข้อนี้ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น

ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ข้อต่อไปว่า คำพิพากษาคดีแพ่งของศาลฎีกาจะนำมาใช้อ้างเพื่อประกอบการพิจารณาการกระทำผิดของจำเลยที่ 2 ได้หรือไม่ เห็นว่า ในคดีแพ่งที่โจทก์คดีนี้กับจำเลยที่ 2 พิพาทกัน ความเท็จที่จะถือว่าเป็นข้อสำคัญในคดีต้องเป็นความเท็จที่อาจทำให้คู่ความต้องแพ้ชนะกันในประเด็นแห่งคดี เช่นนี้ การพิจารณาคดีของศาลในคดีแพ่ง ไม่ว่าจะเกิดขึ้นในศาลชั้นต้น ศาลชั้นอุทธรณ์ หรือศาลฎีกาก็จะพิจารณาคดีจากประเด็นแห่งคดีว่า จำเลยทั้งสองซึ่งเป็นโจทก์คดีแพ่งหรือโจทก์คดีนี้ซึ่งเป็นจำเลยคดีแพ่งฝ่ายใดเป็นฝ่ายผิดสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินโครงการสาธรยูนีค ทาวเวอร์ กรณีมิใช่ความผิดเกิดเฉพาะการพิจารณาพิพากษาคดีแพ่งในศาลชั้นต้นตามที่โจทก์อ้างเท่านั้น แต่คดีในชั้นที่สุดเป็นศาลใดก็พิจารณาจากคำพิพากษาในศาลชั้นที่สุดว่า ศาลในชั้นที่สุดวินิจฉัยในประเด็นแห่งคดีว่าอย่างไร อันนำไปสู่ปัญหาว่าคำเบิกความและนำสืบหรือแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จนั้น ขัดหรือแย้งกับคำวินิจฉัยของศาลในชั้นที่สุดหรือไม่ เช่นนี้ จึงนำคำพิพากษาคดีแพ่งของศาลฎีกามาพิจารณาประกอบการกระทำผิดของจำเลยที่ 2 ได้ เมื่อปรากฏว่าในคดีแพ่งคดีถึงที่สุดตามคำพิพากษาคดีแพ่งของศาลฎีกาแล้วโดยศาลฎีกาวินิจฉัยในประเด็นแห่งคดีว่า จำเลยที่ 1 (โจทก์คดีนี้) เป็นฝ่ายผิดสัญญาต้องคืนเงินมัดจำและชำระค่าปรับตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น หรือโจทก์ที่ 1 (จำเลยที่ 1 คดีนี้) เป็นฝ่ายผิดสัญญาต้องถูกริบมัดจำตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์และต้องชำระค่าเสียหายแก่จำเลยที่ 1 (โจทก์คดีนี้) ตามฟ้องแย้งของจำเลยที่ 1 หรือไม่ เพียงใด ซึ่งคำพิพากษาคดีแพ่งของศาลฎีกา พิพากษาให้โจทก์ที่ 1 (จำเลยที่ 1 คดีนี้) ชนะคดีบางส่วน โดยให้จำเลยที่ 1 (โจทก์คดีนี้) ชำระเงินมัดจำ 50,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 24 สิงหาคม 2552) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ โดยอาศัยพยานเอกสารสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินโครงการสาธรยูนีค ทาวเวอร์ เป็นสำคัญ ส่วนคำเบิกความของพยานบุคคลนั้น เพียงแต่นำมารับฟังประกอบพยานเอกสารเท่านั้น และวินิจฉัยฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 1 (โจทก์คดีนี้) ไม่ทำหน้าที่ที่จะต้องสนับสนุนให้โครงการของโจทก์ที่ 1 (จำเลยที่ 1 คดีนี้) ประสบความสำเร็จอย่างสมบูรณ์ทุกประการตามสัญญา ส่วนโจทก์ที่ 1 (จำเลยที่ 1 คดีนี้) ก็ไม่ได้กระทำเพื่อให้การชดใช้หนี้โครงการของจำเลยที่ 1 (โจทก์คดีนี้) สำเร็จลุล่วงไป โดยต่างฝ่ายต่างอ้างว่าอีกฝ่ายหนึ่งก่อให้เกิดอุปสรรคแก่ฝ่ายตน และในที่สุดจำเลยที่ 1 (โจทก์คดีนี้) อ้างกำหนดเวลา 4 เดือน ตามสัญญาเพื่อถือว่าโจทก์ที่ 1 (จำเลยที่ 1 คดีนี้) สละสิทธิและริบเงินมัดจำ ส่วนโจทก์ที่ 1 (จำเลยที่ 1 คดีนี้) มาฟ้องคดีแพ่งคดีนี้ กรณีต้องถือว่าทั้งจำเลยที่ 1 (โจทก์คดีนี้) และโจทก์ที่ 1 (จำเลยที่ 1 คดีนี้) ต่างสมัครใจเลิกสัญญาต่อกันโดยปริยาย ไม่มีคู่สัญญาฝ่ายใดผิดสัญญาอันจะต้องเสียค่าปรับแก่คู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่ง มีผลให้คู่สัญญาทั้งสองฝ่ายต้องกลับคืนสู่ฐานะที่เป็นอยู่เดิม โดยมิได้นำคำเบิกความของโจทก์ที่ 2 (จำเลยที่ 2 คดีนี้) ตามที่โจทก์กล่าวในฟ้อง มาเป็นข้อวินิจฉัยให้มีผลเป็นการแพ้ชนะกัน ดังนั้น ข้อความที่จำเลยที่ 2 เบิกความดังกล่าว จึงไม่ใช่ข้อสำคัญในคดี ไม่อาจลงโทษจำเลยที่ 2 ในความผิดฐานเบิกความเท็จและนำสืบหรือแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จได้ เมื่อคดีในส่วนจำเลยที่ 2 รับฟังได้ว่า จำเลยที่ 2 มิได้กระทำความผิดฐานเบิกความเท็จและนำสืบหรือแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จ คดีจึงมีผลถึงจำเลยที่ 1 ว่า มิได้กระทำผิดเช่นกัน คดีจึงไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาของโจทก์ในปัญหาข้อกฎหมายว่า จำเลยที่ 2 เป็นกรรมการผู้มีอำนาจทำการแทนจำเลยที่ 1 และกระทำการในขอบเขตอำนาจของจำเลยที่ 1 เมื่อคดีมีมูลในส่วนจำเลยที่ 2 คดีในส่วนจำเลยที่ 1 ย่อมต้องมีมูลไปด้วย เพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลง ส่วนฎีกาของโจทก์ข้ออื่นไม่เป็นสาระแก่คดี ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น

พิพากษายืน

หมายเลขคดีดำศาลฎีกา อ.2467/2561

แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ชื่อคู่ความ โจทก์ - บริษัท ส. จำเลย - บริษัท พ. กับพวก

ชื่อองค์คณะ อาคม รุ่งแจ้ง วีรวิทย์ สายสมบัติ กษิดิศ มงคลศิริภัทรา

ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ที่ตัดสิน ศาลอาญากรุงเทพใต้ - นางสาวพนิดา ศกุนตะประเสริฐ ศาลอุทธรณ์ - นายประคอง เตกฉัตร

ข้อจำกัดความรับผิดชอบ: ข้อมูลเหล่านี้อาจไม่ใช่เวอร์ชันล่าสุด รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจมีข้อมูลที่เป็นปัจจุบันหรือแม่นยำกว่า เราไม่รับประกันหรือรับประกันเกี่ยวกับความถูกต้อง ความสมบูรณ์ หรือความเพียงพอของข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้หรือข้อมูลที่เชื่อมโยงกับเว็บไซต์ของรัฐ โปรดตรวจสอบแหล่งที่มาอย่างเป็นทางการ
ข้อมูลอ้างอิงจากเว็บไซต์ : www.krisdika.go.th, deka.supremecourt.or.th
ติดต่อเราทาง LINE