สารบัญ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4734/2539

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4734/2539

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 43, 50, 249 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 18, 131 (2), 144, 151

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา43บัญญัติให้อำนาจพนักงานอัยการที่จะเรียกทรัพย์สินหรือราคาแทนผู้เสียหายเท่านั้นค่าเสียหายอันเป็นค่าขาดประโยชน์จากสัญญาเช่าซื้อที่โจทก์ฟ้องเรียกร้องมาในคดีนี้ไม่ใช่ทรัพย์สินหรือราคาที่ผู้เสียหายสูญเสียไปเนื่องจากการกระทำผิดพนักงานอัยการจึงฟ้องเรียกค่าเสียหายดังกล่าวในคดีเดิมแทนผู้เสียหายไม่ได้โจทก์ในคดีนี้ซึ่งคือผู้เสียหายในคดีก่อนมิได้เข้าเป็นโจทก์ร่วมในคดีอาญาเรื่องก่อนนั้นด้วยและการกระทำของจำเลยผู้เช่าซื้อซึ่งทำให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ผู้ให้เช่าซื้ออาจเป็นบ่อเกิดแห่งหนี้ที่จะใช้สิทธิเรียกร้องได้ทั้งสองทางคือในมูลละเมิดและในมูลหนี้แห่งสัญญาเช่าซื้อเมื่อในคดีอาญาเรื่องก่อนศาลมิได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งวินิจฉัยชี้ขาดประเด็นค่าเสียหายอันเป็นค่าขาดประโยชน์ของโจทก์กรณีจึงไม่เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา144 การที่ศาลชั้นต้นตรวจคำฟ้องแล้วเห็นว่าโจทก์ไม่สามารถนำประเด็นที่ศาลได้วินิจฉัยไว้แล้วในคดีอาญาเรื่องก่อนมาฟ้องร้องบังคับจำเลยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา50,249มีคำสั่งให้ยกฟ้องค่าฤชาธรรมให้เป็นพับดังนี้เป็นการวินิจฉัยในประเด็นแห่งคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา131(2)มีผลเป็นการพิพากษาแล้วมิใช่เป็นเรื่องที่ศาลชั้นต้นไม่รับคำคู่ความตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา18จึงไม่มีเหตุที่จะคืนค่าธรรมเนียมศาลในศาลชั้นต้นให้แก่โจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา151

เนื้อหาฉบับเต็ม

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเช่าซื้อรถยนต์กระบะจากโจทก์และได้รับรถยนต์ที่เช่าซื้อไปแล้ว ต่อมาจำเลยได้นำรถยนต์ที่เช่าซื้อไปขายให้แก่บุคคลอื่น โจทก์ได้แจ้งความร้องทุกข์ไว้เจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยดำเนินคดีในข้อหายักยอก ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกจำเลยและให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 746/2537 ของศาลชั้นต้น การที่จำเลยนำรถยนต์ที่เช่าซื้อของโจทก์ไปขายให้แก่บุคคลอื่นทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายเพราะต้องขาดประโยชน์และรายได้ ขอให้บังคับจำเลยชำระค่าเสียหายและราคารถยนต์พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์

ศาลชั้นต้นตรวจคำฟ้องแล้ววินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์ขอบังคับให้จำเลยชดใช้ราคาทรัพย์ตามที่ศาลเคยวินิจฉัยไว้แล้วในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 746/2537 ของศาลชั้นต้น จึงเป็นประเด็นที่ศาลวินิจฉัยไว้แล้วในคดีก่อน โจทก์ไม่สามารถนำประเด็นที่ศาลได้วินิจฉัยไว้แล้วมาฟ้องร้องบังคับจำเลยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 144 และโจทก์สามารถดำเนินการบังคับคดีดังกล่าวในคดีก่อนได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 50, 249 ให้ยกฟ้อง

โจทก์ อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ ภาค 3 พิพากษายืน

โจทก์ ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงได้ความตามคำฟ้องของโจทก์ว่า เมื่อวันที่ 12 มกราคม 2537 จำเลยทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์กระบะยี่ห้อนิสสัน 1 คัน จากโจทก์ในราคา 379,680 บาท และจำเลยได้รับรถยนต์ที่เช่าซื้อไปในวันดังกล่าวแล้ว ต่อมาจำเลยได้นำรถยนต์ที่เช่าซื้อไปขายให้แก่บุคคลอื่น โจทก์ได้แจ้งความร้องทุกข์ไว้ เจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยดำเนินคดีในข้อหายักยอกศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกจำเลย 1 ปี และให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์เป็นเงิน 379,680 บาท ตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 746/2537 ของศาลชั้นต้น ระหว่างพนักงานอัยการจังหวัดนราธิวาส โจทก์ นายเจ๊ะโช๊ะ สะมะแอ จำเลย การที่จำเลยนำรถยนต์ที่เช่าซื้อของโจทก์ไปขายให้แก่บุคคลอื่นทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายเพราะต้องขาดประโยชน์และรายได้โดยขอคิดค่าเสียหายเป็นดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของเงินต้น379,680 บาท นับแต่วันที่จำเลยรับรถยนต์ที่เช่าซื้อไปถึงวันฟ้องเป็นเวลา 205 วัน เป็นดอกเบี้ย 31,986.74 บาท เมื่อรวมกับราคารถยนต์ที่เช่าซื้อ 379,680 บาท แล้วเป็นเงินทั้งสิ้น411,666.74 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวนดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปีนับถัดจากวันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ที่โจทก์ฎีกาข้อแรกว่า โจทก์มีสิทธิฟ้องเรียกค่าเสียหายอันเป็นค่าขาดประโยชน์ของโจทก์นั้น เห็นว่าในคดีอาญาเรื่องก่อนแม้พนักงานอัยการได้เป็นโจทก์ฟ้องจำเลยในคดีนี้เป็นจำเลยต่อศาลชั้นต้นในความผิดฐานยักยอก กับมีคำขอให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ 379,680 บาท แก่ผู้เสียหายคือโจทก์ในคดีนี้ซึ่งเป็นคำขอในส่วนแพ่งที่พนักงานอัยการฟ้องคดีแทนโจทก์ในคดีนี้ด้วยก็ตาม แต่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 43 บัญญัติให้อำนาจพนักงานอัยการไว้เพียงว่า ถ้าผู้เสียหายมีสิทธิเรียกร้องทรัพย์สินหรือราคาที่เขาสูญเสียไปเนื่องจากการกระทำผิดคืน เมื่อพนักงานอัยการยื่นฟ้องคดีอาญาก็ให้เรียกทรัพย์สินหรือราคาแทนผู้เสียหายด้วย ย่อมเห็นได้ว่าค่าเสียหายอันเป็นค่าขาดประโยชน์ที่โจทก์ฟ้องเรียกร้องมานั้นไม่ใช่ทรัพย์สินหรือราคาที่ผู้เสียหายสูญเสียไปเนื่องจากการกระทำผิด พนักงานอัยการจึงฟ้องเรียกค่าเสียหายอันเป็นค่าขาดประโยชน์แทนผู้เสียหายไม่ได้ โจทก์ในคดีนี้ซึ่งคือผู้เสียหายในคดีก่อนมิได้เข้าเป็นโจทก์ร่วมในคดีอาญาเรื่องก่อนนั้นด้วยและการกระทำของจำเลยผู้เช่าซื้อซึ่งทำให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ ผู้ให้เช่าซื้อนี้อาจเป็นบ่อเกิดแห่งหนี้ที่จะใช้สิทธิเรียกร้องได้ทั้งสองทาง คือในมูลละเมิดและในมูลหนี้แห่งสัญญาเช่าซื้อ เมื่อในคดีอาญาเรื่องก่อนศาลมิได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งวินิจฉัยชี้ขาดประเด็นค่าเสียหายอันเป็นค่าขาดประโยชน์ของโจทก์ กรณีจึงไม่เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 144 ที่ศาลล่างทั้งสองให้ยกฟ้องเฉพาะคำฟ้องที่เกี่ยวกับค่าเสียหายอันเป็นค่าขาดประโยชน์ของโจทก์และคำขอบังคับนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้น

ที่โจทก์ฎีกาข้อสุดท้ายว่า หากโจทก์สามารถบังคับคดีเอาจากจำเลยได้ทุกประเด็นตามที่โจทก์ฟ้องคดีนี้แล้ว ศาลไม่ควรรับคำฟ้องโจทก์และควรคืนค่าธรรมเนียมศาลให้แก่โจทก์หรือมีคำสั่งให้ถือเอาคำฟ้องของโจทก์เป็นคำขอบังคับในส่วนแพ่งได้นั้น เห็นว่า การที่ศาลชั้นต้นตรวจพิเคราะห์คำฟ้องแล้วเห็นว่าโจทก์ไม่สามารถนำประเด็นที่ศาลได้วินิจฉัยไว้แล้วในคดีอาญาเรื่องก่อนมาฟ้องร้องบังคับจำเลยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 50, 249 มีคำสั่งให้ยกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ ดังนี้เป็นการวินิจฉัยในประเด็นแห่งคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 131 (2) มีผลเป็นการพิพากษาคดีแล้ว มิใช่เป็นเรื่องที่ศาลชั้นต้นไม่รับคำคู่ความตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 18 จึงไม่มีเหตุที่จะคืนค่าธรรมเนียมในศาลชั้นต้นให้แก่โจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 151 ดังที่โจทก์ฎีกา ที่ศาลล่างทั้งสองให้ค่าฤชาธรรมเนียมศาลในศาลชั้นต้นเป็นพับนั้นจึงชอบแล้ว ส่วนที่โจทก์ฎีกาขอให้ศาลมีคำสั่งให้ถือเอาคำฟ้องของโจทก์เป็นคำขอบังคับในส่วนแพ่งนั้น เห็นว่าข้อนี้เป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ภาค 3 จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้รับคำฟ้องของโจทก์เฉพาะคำฟ้องที่เกี่ยวกับค่าเสียหายอันเป็นค่าขาดประโยชน์ของโจทก์และคำขอบังคับไว้พิจารณา ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการต่อไป นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3

หมายเลขคดีดำศาลฎีกา nan

แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ชื่อคู่ความ โจทก์ - บริษัท สยามนิสสันนราธิวาส จำกัด จำเลย - นาย เจ๊ะโช๊ะ สะมะแอ

ชื่อองค์คณะ สมพงษ์ สนธิเณร สมภพ โชติกวณิชย์ ไพโรจน์ คำอ่อน

ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ที่ตัดสิน nan

ข้อจำกัดความรับผิดชอบ: ข้อมูลเหล่านี้อาจไม่ใช่เวอร์ชันล่าสุด รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจมีข้อมูลที่เป็นปัจจุบันหรือแม่นยำกว่า เราไม่รับประกันหรือรับประกันเกี่ยวกับความถูกต้อง ความสมบูรณ์ หรือความเพียงพอของข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้หรือข้อมูลที่เชื่อมโยงกับเว็บไซต์ของรัฐ โปรดตรวจสอบแหล่งที่มาอย่างเป็นทางการ
ข้อมูลอ้างอิงจากเว็บไซต์ : www.krisdika.go.th, deka.supremecourt.or.th
ติดต่อเราทาง LINE