สารบัญ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 469/2534

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 469/2534

ประมวลกฎหมายอาญา ม. 59, 80, 288, 297 (8) ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 192 วรรคท้าย

จำเลยเป็นบุตรเขยของผู้เสียหาย ไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกันก่อนเกิดเหตุร่วมดื่มสุราด้วยกันจนเมา สาเหตุที่ทะเลาะกันก็เป็นเรื่องเพียงเล็กน้อย แม้มีดที่จำเลยแทงผู้เสียหายจะยาวถึง 8 นิ้วเศษและจำเลยแทงผู้เสียหายที่บริเวณชายโครงซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญของผู้ตาย แต่จำเลยก็แทงเพียงครั้งเดียวโดยไม่ได้แทงซ้ำทั้ง ๆ ที่มีโอกาส เมื่อจำเลยเห็นผู้เสียหายมีโลหิตไหล จำเลยก็ใช้มือปิดแผลให้เพราะเกรงว่าโลหิตจะออกมาก แสดงว่าจำเลยไม่มีเจตนาฆ่าผู้เสียหายเพียงแต่มีเจตนาทำร้าย โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษฐานพยายามฆ่า แม้ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยมีเจตนาทำร้ายร่างกายเท่านั้น แต่การกระทำความผิดฐานทำร้ายร่างกายเป็นการกระทำที่รวมอยู่ในความผิดฐานฆ่าผู้อื่น และเป็นความผิดได้อยู่ในตัวเอง ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยฐานทำร้ายร่างกายได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคท้าย

เนื้อหาฉบับเต็ม

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80ริบมีดของกลาง

จำเลยให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288, 80 วางโทษจำคุก 10 ปี ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 จำคุก 6 ปี 8 เดือน ริบมีดของกลาง

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297(8) วางโทษจำคุก 3 ปี ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 จำคุก 2 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

โจทก์และจำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยฎีกาว่า เมื่อศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้วว่าจำเลยไม่มีเจตนาฆ่า คงมีแต่เจตนาทำร้ายร่างกาย ศาลอุทธรณ์น่าจะต้องพิพากษายกฟ้องในข้อหาทำร้ายร่างกาย เพราะเป็นการพิพากษาเกินคำขอนั้น เห็นว่า แม้ข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในการพิจารณาแตกต่างกับข้อเท็จจริงดังที่กล่าวในฟ้อง แต่การกระทำความผิดฐานทำร้ายร่างกายเป็นการกระทำที่รวมอยู่ในความผิดฐานฆ่าผู้อื่น และการกระทำความผิดฐานทำร้ายร่างกายเป็นความผิดได้อยู่ในตัวเองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคท้าย ศาลอุทธรณ์จึงพิพากษาลงโทษฐานทำร้ายร่างกายได้ ฯลฯ ส่วนฎีกาของโจทก์ที่ว่าจำเลยใช้มีดปลายแหลมยาว 8 นิ้ว เป็นอาวุธร้ายแรงทำให้เกิดบาดแผลฉกรรจ์ แม้จะแทงทำร้ายครั้งเดียวก็อาจทำให้ผู้เสียหายตายได้จำเลยเลือกแทงทำร้ายบริเวณชายโครงซึ่งเป็นอวัยวะส่วนสำคัญของร่างกายถ้าหากแพทย์ไม่ช่วยเหลือรักษาบาดแผลทันท่วงทีผู้เสียหายอาจถึงตายได้ เหตุที่แทงทำร้ายเนื่องจากจำเลยโกรธ และโมโหที่ถูกผู้เสียหายด่าว่า คดีฟังได้ว่าจำเลยแทงทำร้ายผู้เสียหายด้วยเจตนาฆ่านั้น เห็นว่า จำเลยเป็นบุตรเขยของผู้เสียหายไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกัน ก่อนเกิดเหตุยังร่วมดื่มสุราด้วยกันจนเมา สาเหตุที่ทะเลาะกันก็เป็นเรื่องเพียงเล็กน้อย แม้มีดที่จำเลยใช้แทงผู้เสียหายจะมีความยาวถึง 8 นิ้ว และจำเลยแทงผู้เสียหายที่บริเวณชายโครงซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญของร่างกาย แต่จำเลยก็แทงเพียงทีเดียวโดยไม่ได้แทงซ้ำทั้ง ๆ ที่มีโอกาส นอกจากนี้ยังได้ความจากผู้เสียหายว่า เมื่อจำเลยเห็นผู้เสียหายมีโลหิตไหลออกมา จำเลยก็ใช้มือปิดแผลให้ เพราะเกรงว่าโลหิตจะออกมา แสดงให้เห็นว่าจำเลยมิได้มีเจตนาฆ่าผู้เสียหายเพียงแต่มีเจตนาทำร้ายเท่านั้น จำเลยจึงมีความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้เสียหายจนได้รับอันตรายสาหัส ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297(8)

พิพากษายืน

หมายเลขคดีดำศาลฎีกา nan

แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ชื่อคู่ความ โจทก์ - พนักงานอัยการ จังหวัด ลำปาง จำเลย - นาย สม มังป๋อง

ชื่อองค์คณะ ไพฑูรย์ เนติโพธิ์ นาม ยิ้มแย้ม โสภณ จันเทรมะ

ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ที่ตัดสิน nan

ข้อจำกัดความรับผิดชอบ: ข้อมูลเหล่านี้อาจไม่ใช่เวอร์ชันล่าสุด รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจมีข้อมูลที่เป็นปัจจุบันหรือแม่นยำกว่า เราไม่รับประกันหรือรับประกันเกี่ยวกับความถูกต้อง ความสมบูรณ์ หรือความเพียงพอของข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้หรือข้อมูลที่เชื่อมโยงกับเว็บไซต์ของรัฐ โปรดตรวจสอบแหล่งที่มาอย่างเป็นทางการ
ข้อมูลอ้างอิงจากเว็บไซต์ : www.krisdika.go.th, deka.supremecourt.or.th
ติดต่อเราทาง LINE