คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4479/2532
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 18, 22 (1)
คำว่า "จำเลยมีที่อยู่" ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 22(1) หมายถึงถิ่นที่อยู่ที่แท้จริงของจำเลยในขณะที่จำเลยตกเป็นผู้ต้องหาตามที่พนักงานสอบสวนได้ทำการสอบสวนไว้ ซึ่งอาจเป็นภูมิลำเนาหรือมิใช่ภูมิลำเนาของจำเลยก็ได้ ทั้งนี้ เพื่อให้โอกาสแก่จำเลยที่จะได้รับความสะดวกในการต่อสู้คดีได้อย่างเต็มที่ เรือนจำจังหวัด ปราจีนบุรี ตามที่โจทก์ระบุมาในฟ้อง มิใช่ที่อยู่ที่แท้จริงของจำเลยทั้งสอง โดยเป็นเพียงสถานที่ที่จำเลยที่ถูกคุมขังไว้หลังจากศาลมีคำพิพากษาในคดีอื่นแล้ว และจำเลยที่ 2ถูกคุมขังตามคำสั่งของกรมราชทัณฑ์เท่านั้น จึงถือไม่ได้ว่าเป็นที่อยู่ของจำเลยทั้งสองตามความหมายของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 22(1).
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 33, 80, 83, 289, 339, 340 ตรี ริบของกลาง
เดิมศาลชั้นต้นมีคำสั่งประทับฟ้องจำเลยทั้งสองไว้พิจารณาแต่ต่อมาศาลชั้นต้นเห็นว่า ศาลชั้นต้นไม่มีอำนาจชำระความคดีนี้ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 22(1) จึงมีคำสั่งให้ยกเลิกคำสั่งประทับฟ้องและมีคำสั่งใหม่ว่าไม่รับประทับฟ้องจำหน่ายคดีออกเสียจากสารบบความ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงได้ความตามฟ้องของโจทก์ว่าเหตุคดีนี้เกิดที่ตำบลปากพลี อำเภอปากพลี จังหวัดนครนายกพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอปากพลี จังหวัดนครนายก ได้ทำการสอบสวนคดีนี้แล้ว ที่โจทก์ฎีกาสรุปเป็นใจความได้ว่า ตามพระราชบัญญัติทะเบียนราษฎร พ.ศ. 2499 มาตรา 4(1)ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 234 ประกาศ ณ วันที่ 31 ตุลาคม 2515ข้อ 1 ได้ให้คำจำกัดความของคำว่า "บ้าน" ว่าหมายถึง "โรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างสำหรับใช้เป็นที่อยู่ประจำซึ่งมีเจ้าบ้านครอบครองและให้หมายความรวมตลอดถึงแพหรือเรือซึ่งจอดเป็นประจำและใช้เป็นที่อยู่ประจำ โรงพยาบาล โรงแรม เรือนจำ หรือสถานที่อย่างอื่นซึ่งอาจเป็นที่อยู่อาศัยด้วย" และตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานพ.ศ. 2493 ได้ให้คำจำกัดความของคำว่า "บ้าน" ว่าหมายถึง"ที่อยู่" ในเมื่อเรือนจำถือเป็นบ้านและบ้านคือที่อยู่ ตามนัยดังกล่าว เรือนจำจึงเป็นที่อยู่ของจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 22(1) โจทก์จึงฟ้องจำเลยทั้งสองต่อศาลจังหวัดปราจีนบุรีได้นั้น พิเคราะห์แล้วเห็นว่าประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 22 บัญญัติไว้ว่า"เมื่อความผิดเกิดขึ้น อ้างหรือเชื่อว่าได้เกิดขึ้นในเขตอำนาจของศาลใด ให้ชำระที่ศาลนั้น แต่ถ้า (1) เมื่อจำเลยมีที่อยู่หรือถูกจับในท้องที่หนึ่งหรือเมื่อเจ้าพนักงานทำการสอบสวนในท้องที่หนึ่งนอกเขตของศาลดังกล่าวแล้ว จะชำระที่ศาลซึ่งท้องที่นั้น ๆอยู่ในเขตอำนาจก็ได้ ฯลฯ" และมาตรา 18 บัญญัติไว้ว่า "ในจังหวัดอื่นนอกจากจังหวัดพระนครและจังหวัดธนบุรี พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจชั้นผู้ใหญ่ ปลัดอำเภอและข้าราชการตำรวจซึ่งมียศตั้งแต่ชั้นนายร้อยตำรวจตรีหรือเทียบเท่านายร้อยตำรวจตรีขึ้นไป มีอำนาจสอบสวนความผิดอาญาซึ่งได้เกิดหรืออ้างหรือเชื่อว่าได้เกิดภายในเขตอำนาจของตนหรือผู้ต้องหามีที่อยู่หรือถูกจับภายในเขตอำนาจของตนได้ ฯลฯ" จากบทบัญญัติของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาทั้งสองมาตราดังกล่าว คำว่าจำเลยมีที่อยู่ ย่อมหมายถึงถิ่นที่อยู่ที่แท้จริงของจำเลย ขณะที่จำเลยตกเป็นผู้ต้องหาตามที่พนักงานสอบสวนได้ทำการสอบสวนไว้นั้นเอง ซึ่งอาจเป็นภูมิลำเนาหรือมิใช่ภูมิลำเนาของจำเลยก็ได้ ทั้งนี้เพื่อให้โอกาสแก่จำเลยที่จะได้รับความสะดวกในการต่อสู้คดีได้อย่างเต็มที่เป็นประการสำคัญ ส่วนเรือนจำจังหวัดปราจีนบุรีตามที่โจทก์ระบุมาในฟ้องนั้น มิใช่ที่อยู่ที่แท้จริงของจำเลยทั้งสอง โดยเป็นเพียงสถานที่ที่จำเลยที่ 1ถูกคุมขังไว้หลังจากศาลมีคำพิพากษาในคดีอื่นแล้ว และจำเลยที่ 2ถูกคุมขังตามคำสั่งของกรมราชทัณฑ์เท่านั้น จึงถือไม่ได้ว่าเรือนจำจังหวัดปราจีนบุรีเป็นที่อยู่ของจำเลยทั้งสองตามความหมายของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 22(1)
พิพากษายืน.
หมายเลขคดีดำศาลฎีกา nan
แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ชื่อคู่ความ โจทก์ - พนักงานอัยการ จังหวัด ปราจีนบุรี จำเลย - นาย สุรินทร์ แซ่ เตา กับพวก
ชื่อองค์คณะ นำชัย สุนทรพินิจกิจ ประชา บุญวนิช ไมตรี กลั่นนุรักษ์
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ที่ตัดสิน nan