สารบัญ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4392/2531

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4392/2531

ประมวลกฎหมายอาญา ม. 90, 157, 162

จำเลยที่ 1 เป็นที่ดินอำเภอได้รับแต่งตั้งให้เป็นกรรมการตรวจสอบไม้ในที่ดิน น.ส.3 มีหน้าที่ออกไปตรวจสอบว่ามีไม้ขึ้นอยู่ในที่ดินแปลงที่ขออนุญาตทำไม้หรือไม่ แต่จำเลยที่ 1ไม่ได้ออกไปตรวจสอบ อันเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตและจำเลยที่ 1 ลงลายมือชื่อรับรองในบันทึกการตรวจสอบไม้ว่าเห็นสมควรให้ทำไม้ยางออกจากที่ดิน น.ส.3 ได้ เป็นการรับรองเป็นหลักฐานว่าตนได้ออกไปตรวจสอบไม้ดังกล่าว อันเป็นความเท็จมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157,162(1) ซึ่งเป็นการกระทำต่อเนื่องกันก่อให้เกิดความเสียหายแก่ทางราชการ โดยมีเจตนาเพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับตนเองหรือผู้อื่นในคราวเดียวกัน จึงเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ต้องลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด

เนื้อหาฉบับเต็ม

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 9 กระทง ลงโทษกรรมละ 1 ปี รวม 9 ปีกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 162 อีก 9 กระทงลงโทษกรรมละ 3 เดือน รวม 2 ปี 3 เดือน รวมจำคุกทั้งสิ้น 11 ปี3 เดือน ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุก 7 ปี 6 เดือน ยกฟ้องจำเลยที่ 2จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ทั้งสองสำนวน ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยที่ 1ฎีกาทั้งสองสำนวน

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "จำเลยที่ 1 ฎีกาข้อ 3 ว่า ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นที่ให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 รวม 9 กระทง และลงโทษตามมาตรา 162 อีกรวม 9 กระทงเป็นการมิชอบ เพราะการกระทำของจำเลยที่ 1 ในส่วนที่เกี่ยวกับความผิดตามมาตรา 157 และมาตรา 162 เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ซึ่งเป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายนั้น ในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าว ศาลฎีกาจะต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวน ซึ่งศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงมาว่า จำเลยที่ 1 รับราชการมีตำแหน่งเป็นที่ดินอำเภอได้รับแต่งตั้งให้เป็นกรรมการตรวจสอบไม้ในที่ดิน น.ส.3 มีหน้าที่ออกไปตรวจสอบว่ามีไม้ขึ้นอยู่ในที่ดินแปลงที่ขออนุญาตทำไม้หรือไม่ แต่จำเลยที่ 1ไม่ได้ออกไปตรวจสอบ อันเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตและจำเลยที่ 1 ลงลายมือชื่อรับรองในบันทึกการตรวจสอบไม้ว่าเห็นสมควรให้ทำไม้ยางออกจากที่ดิน น.ส.3 ทั้ง 9 ราย เป็นการรับรองเป็นหลักฐานว่าตนได้ออกไปตรวจสอบไม้ดังกล่าว อันเป็นความเท็จเห็นว่า การกระทำของจำเลยที่ 1 ที่ไม่ออกไปตรวจสอบไม้ในที่ดินน.ส.3 ตามที่ตนมีหน้าที่ ซึ่งเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต เป็นการกระทำที่ต่อเนื่องกันกับการที่จำเลยที่ 1ลงลายมือชื่อในบันทึกการตรวจสอบไม้รับรองว่าตนได้ไปตรวจสอบแล้วอันเป็นความเท็จ ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ทางราชการ ทั้งนี้โดยจำเลยมีเจตนาแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับตนเองหรือผู้อื่นในคราวเดียวกันนั่นเอง จึงเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ต้องลงโทษตามกฎหมายที่มีโทษที่หนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 โดยแยกลงโทษตามมาตรา 157 กับมาตรา 162เป็นคนละกรรมนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 1ในข้อนี้ฟังขึ้น"

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษตามมาตรา 157 อันเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด รวม 9 กระทง จำคุกกระทงละ 1 ปีรวม 9 ปี ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุก 6 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

หมายเลขคดีดำศาลฎีกา nan

แหล่งที่มา เนติบัณฑิตยสภา

ชื่อคู่ความ โจทก์ - อัยการ อุทัยธานี จำเลย - นาย ถวิล จบศ รี กับพวก

ชื่อองค์คณะ สัมฤทธิ์ ไชยศิริ ชูเชิด รักตะบุตร์ ถาวร ตันตราภรณ์

ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ที่ตัดสิน nan

ข้อจำกัดความรับผิดชอบ: ข้อมูลเหล่านี้อาจไม่ใช่เวอร์ชันล่าสุด รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจมีข้อมูลที่เป็นปัจจุบันหรือแม่นยำกว่า เราไม่รับประกันหรือรับประกันเกี่ยวกับความถูกต้อง ความสมบูรณ์ หรือความเพียงพอของข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้หรือข้อมูลที่เชื่อมโยงกับเว็บไซต์ของรัฐ โปรดตรวจสอบแหล่งที่มาอย่างเป็นทางการ
ข้อมูลอ้างอิงจากเว็บไซต์ : www.krisdika.go.th, deka.supremecourt.or.th
ติดต่อเราทาง LINE