สารบัญ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4375/2564

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4375/2564

ประมวลกฎหมายอาญา ม. 86, 265, 268 วรรคแรก, 268 วรรคสอง, 341

จำเลยเป็นผู้ได้รับประโยชน์โดยตรงจากการที่มีการปลอมลายมือชื่อผู้เสียหายที่ 2 กรณีมีเหตุเชื่อได้ว่า จำเลยมีส่วนเกี่ยวข้องในการก่อให้ผู้อื่นปลอมเอกสารสิทธิ การที่โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกระทำความผิดฐานปลอมเอกสารสิทธิ ย่อมลงโทษจำเลยได้เพียงฐานสนับสนุนผู้อื่นกระทำความผิดฐานปลอมเอกสารสิทธิ เมื่อจำเลยใช้เอกสารสิทธิปลอมโดยเป็นผู้สนับสนุนให้ปลอมเอกสารสิทธินั้น จึงมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 265 ประกอบมาตรา 86 และมาตรา 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 265 ให้ลงโทษฐานใช้เอกสารสิทธิปลอมแต่กระทงเดียวตามมาตรา 268 วรรคสอง

เนื้อหาฉบับเต็ม

โจทก์ฟ้องและแก้ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 58, 91, 264, 265, 268, 341 ให้จำเลยคืนหรือชดใช้เงิน 637,200 บาท ที่ยังไม่ได้คืนแก่ผู้เสียหายที่ 1 บวกโทษจำคุกของจำเลยที่รอการลงโทษในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 708/2561 ของศาลจังหวัดหนองบัวลำภู เข้ากับโทษจำคุกจำเลยในคดีนี้ และนับโทษจำเลยต่อจากโทษจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 3147/2561, 3149/2561, 3165/2561 และ 3678/2561 ของศาลชั้นต้น

จำเลยให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้บวกโทษและนับโทษต่อ

ระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้นนางสาว น. ผู้เสียหายที่ 1 ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 265, 268 วรรคแรก, 341 จำเลยเป็นผู้ปลอมเอกสารสิทธิและใช้เอกสารสิทธิปลอมให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 265 ตามมาตรา 268 วรรคสอง แต่กระทงเดียว และความผิดฐานฉ้อโกงกับความผิดฐานใช้เอกสารสิทธิปลอมเป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามมาตรา 268 วรรคแรกประกอบมาตรา 265 ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 2 ปี ให้นำโทษจำคุก 1 เดือน ที่รอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 708/2561 ของศาลจังหวัดหนองบัวลำภู บวกเข้ากับโทษจำคุกคดีนี้ เป็นจำคุก 2 ปี 1 เดือน ให้จำเลยคืนหรือชดใช้เงิน 637,200 บาท ที่ยังไม่ได้คืนแก่โจทก์ร่วม ส่วนที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อจากโทษจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 3147/2561, 3149/2561, 3165/2561 และ 3678/2561 ของศาลชั้นต้นนั้น เนื่องจากคดีดังกล่าวศาลยังมิได้พิพากษา จึงให้ยกคำขอส่วนนี้

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง

โจทก์และโจทก์ร่วมฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้แย้งกันในชั้นนี้รับฟังได้ว่า โจทก์ร่วมประกอบธุรกิจรับซื้ออ้อยจากชาวไร่อ้อยในเขตจังหวัดอุดรธานี จังหวัดขอนแก่น จังหวัดหนองบัวลำภู และจังหวัดเลย เพื่อส่งขายโรงงานน้ำตาล โจทก์ร่วมมีลูกจ้างในการจัดหาอ้อยโดยแบ่งเป็นทีม แต่ละทีมมีหัวหน้าเขตหรือหัวหน้าทีม 1 คน และลูกทีมอีก 4 คน จำเลยเป็นลูกจ้างของโจทก์ร่วม ตำแหน่งหัวหน้าเขตหรือหัวหน้าทีมมีหน้าที่หาซื้ออ้อยให้โจทก์ร่วมในพื้นที่อำเภอศรีบุญเรืองและอำเภอนากลาง จังหวัดหนองบัวลำภู โดยโจทก์ร่วมมอบอำนาจให้จำเลยทำสัญญาซื้อขายกับชาวไร่อ้อยแทนโจทก์ร่วม จำเลยจะติดต่อกับชาวไร่อ้อยด้วยตนเองหรือติดต่อผ่านนายหน้าก็ได้ ก่อนทำสัญญาซื้อขาย จำเลยและลูกทีมจะต้องใช้เครื่องจีพีเอสวัดรอบพิกัดแปลงไร่อ้อยเพื่อคำนวณเนื้อที่และจำนวนอ้อย แล้วต่อรองราคาจำเลยจะต้องซื้อในราคาไม่เกินกว่าที่โจทก์ร่วมกำหนด เมื่อตกลงราคากันได้ จำเลยจะทำสัญญาซื้อขายกับชาวไร่อ้อย วางเงินมัดจำ และจ่ายค่านายหน้า โดยใช้เงินที่โจทก์ร่วมโอนเข้าบัญชีเงินฝากของจำเลย หลังจากนั้นจำเลยจะให้ลูกทีมนำหนังสือสัญญาซื้อขายและเอกสารประกอบ ได้แก่ สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนและสำเนาทะเบียนบ้านของผู้ขาย เอกสารระบุพิกัดตำแหน่งที่ตั้งเนื้อที่ไร่อ้อย และจำนวนอ้อยที่ตกลงซื้อขายกัน รวมทั้งใบสำคัญการจ่ายเงินมัดจำและค่านายหน้า ในกรณีมีค่านายหน้า ไปส่งมอบให้โจทก์ร่วมที่สำนักงานของโจทก์ร่วม นางธนารัตน์ ลูกจ้างของโจทก์ร่วม ที่มีหน้าที่ดูแลด้านบัญชีจะตรวจสอบสัญญาซื้อขายและเอกสารประกอบ หากถูกต้องตามขั้นตอนการปฏิบัติ นางธนารัตน์จะบันทึกข้อมูลผู้ขาย เนื้อที่ไร่อ้อย จำนวนอ้อยราคาซื้อขาย และจำนวนเงินมัดจำที่จ่ายไปแล้วลงในคอมพิวเตอร์ หลังจากนั้นจะมีการโอนเงินส่วนที่เหลือเข้าบัญชีเงินฝากของจำเลยเพื่อนำไปมอบให้ผู้ขายและนายหน้า เมื่อวันที่ 10 หรือ 12 กันยายน 2560 จำเลยให้นายภูวดล ลูกทีมของจำเลย นำสัญญาซื้อขายอ้อยระหว่างนางถวิล ผู้เสียหายที่ 2 ผู้ขาย กับโจทก์ร่วม ผู้ซื้อ ลงวันที่ 8 กันยายน 2560 มีข้อความระบุว่า ผู้เสียหายที่ 2 ตกลงขายอ้อยให้แก่โจทก์ร่วม เนื้อที่ 72 ไร่ ในราคา 630,000 บาท มีลายมือชื่อที่ระบุว่าเป็นลายมือชื่อของผู้เสียหายที่ 2 ลงไว้ในช่องผู้ขาย มีลายมือชื่อจำเลยในช่องผู้ซื้อ และมีลายมือชื่อของนายมิตร ลูกทีมของจำเลย และนายฤทธิรงค์ นายหน้า ในช่องพยาน ตามสัญญาซื้อขายไปมอบให้นางธนารัตน์ที่สำนักงานของโจทก์ร่วมพร้อมด้วยเอกสารประกอบ ได้แก่ สำเนาทะเบียนบ้านและสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของผู้เสียหายที่ 2 ที่มีลายมือชื่อผู้เสียหายที่ 2 รับรองความถูกต้อง ใบสำคัญการจ่ายฉบับลงวันที่ 8 กันยายน 2560 มีข้อความระบุว่า จ่ายเงินมัดจำแก่ผู้เสียหายที่ 2 จำนวน 50,000 บาท มีลายมือชื่อผู้เสียหายที่ 2 ในช่องผู้รับเงิน และใบสำคัญการจ่ายฉบับลงวันที่ 9 กันยายน 2560 มีข้อความระบุว่า จ่ายเงินค่านายหน้าให้แก่นายฤทธิรงค์ 4 รายการ เป็นเงินรวม 17,400 บาท มีรายการจ่ายค่านายหน้าแปลงไร่อ้อยของผู้เสียหายที่ 2 ให้นายฤทธิรงค์รวมอยู่ด้วย นอกจากนี้ยังมีเอกสารระบุพิกัดตำแหน่งที่ตั้ง เนื้อที่ไร่อ้อย และจำนวนอ้อยที่ตกลงซื้อขายกัน ต่อมาจำเลยส่งมอบใบสำคัญการจ่ายแก่นางธนารัตน์อันเป็นหลักฐานการจ่ายเงินค่าอ้อยให้แก่ผู้เสียหายที่ 2 เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2560 เป็นเงิน 100,000 บาท และวันที่ 24 มีนาคม 2561 เป็นเงิน 480,000 บาท ในช่วงเวลาดังกล่าวโจทก์ร่วมโอนเงินเข้าบัญชีจำเลยเพื่อให้นำไปใช้ในการซื้ออ้อยรวม 4 ครั้ง เมื่อวันที่ 8 กันยายน 2560 เป็นเงิน 250,000 บาท วันที่ 9 พฤศจิกายน 2560 เป็นเงิน 1,200,000 บาท กับ 200,000 บาท และวันที่ 23 มีนาคม 2561 เป็นเงิน 3,000,000 บาท วันที่ 1 สิงหาคม 2561 โจทก์ร่วมมอบให้นายวิษณุไปแจ้งความร้องทุกข์ที่สถานีตำรวจภูธรหนองหานให้ดำเนินคดีแก่จำเลย โดยกล่าวว่า จำเลยปลอมลายมือชื่อผู้เสียหายที่ 2 ในสัญญาซื้อขาย และเอกสารประกอบ ได้แก่ สำเนาทะเบียนบ้านและสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของผู้เสียหายที่ 2 และใบสำคัญการจ่าย ต่อมาจำเลยถูกจับกุมดำเนินคดีอื่น และเจ้าพนักงานตำรวจแจ้งข้อหาในคดีนี้แก่จำเลยว่า จำเลยกระทำความผิดฐานปลอมเอกสารและเอกสารสิทธิ ใช้เอกสารและเอกสารสิทธิปลอม และฉ้อโกง จำเลยให้การปฏิเสธทั้งในชั้นจับกุมและสอบสวน

โจทก์และโจทก์ร่วมฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยตามฟ้อง ซึ่งโจทก์ฟ้องว่า จำเลยกระทำความผิดฐานปลอมเอกสารและเอกสารสิทธิ ใช้เอกสารและเอกสารสิทธิปลอม และฉ้อโกง แต่เมื่อศาลชั้นต้นมิได้พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอมอันเป็นกรณีที่โจทก์ฟ้องว่าจำเลยปลอมลายมือชื่อผู้เสียหายที่ 2 รับรองความถูกต้องของสำเนาทะเบียนบ้านและสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของผู้เสียหายที่ 2 ที่ถ่ายสำเนาเอกสารมาโดยโจทก์และโจทก์ร่วมมิได้อุทธรณ์ขอให้ศาลอุทธรณ์ภาค 4 มีคำพิพากษาว่าจำเลยกระทำความผิดฐานดังกล่าวด้วย ความผิดฐานดังกล่าวย่อมเป็นอันยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จึงไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาของโจทก์และโจทก์ร่วมในส่วนที่เกี่ยวกับความผิดฐานดังกล่าว คงมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์และโจทก์ร่วมเพียงว่า จำเลยมีความผิดฐานปลอมเอกสารสิทธิ อันได้แก่ สัญญาซื้อขาย และใบสำคัญการจ่าย และฐานใช้เอกสารสิทธิดังกล่าวปลอม กับฐานฉ้อโกงหรือไม่ ปัญหาตามฎีกาของโจทก์และโจทก์ร่วมดังกล่าว โจทก์และโจทก์ร่วมมีนางถวิล ผู้เสียหายที่ 2 เป็นพยานเบิกความว่า พยานไม่เคยทำสัญญาซื้อขายอ้อยกับโจทก์ร่วม ลายมือชื่อในช่องผู้ขายในสัญญาซื้อขายดังกล่าวและใบสำคัญการจ่าย มิใช่ลายมือชื่อของพยาน พยานประกอบอาชีพทำนาและรับจ้างทั่วไป แปลงไร่อ้อยตามพิกัดมิใช่ของพยาน คำเบิกความของผู้เสียหายที่ 2 ดังกล่าวสอดคล้องกับคำเบิกความของพันตำรวจโทเจริญศักดิ์ พนักงานสอบสวนที่ว่า ในชั้นสอบสวนพยานส่งสัญญาซื้อขาย รวมทั้งใบสำคัญการจ่าย ไปตรวจพิสูจน์เปรียบเทียบกับตัวอย่างลายมือชื่อที่แท้จริงของผู้เสียหายที่ 2 ที่กลุ่มงานตรวจเอกสาร ศูนย์พิสูจน์หลักฐาน 3 ผลการตรวจพิสูจน์ปรากฏว่ามีคุณสมบัติของการเขียนและรูปร่างลักษณะของตัวอักษรแตกต่างกันผู้ตรวจพิสูจน์ลงความเห็นว่ามิใช่ลายมือชื่อของบุคคลคนเดียวกัน ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ลายมือชื่อผู้ขายในสัญญาซื้อขาย และลายมือชื่อผู้รับเงินในใบสำคัญการจ่าย มิใช่ลายมือชื่อของผู้เสียหายที่ 2 ปัญหาต้องวินิจฉัยต่อไปมีว่า จำเลยเป็นผู้ปลอมลายมือชื่อผู้เสียหายที่ 2 ในสัญญาซื้อขายและใบสำคัญการจ่ายหรือไม่ เห็นว่า โจทก์และโจทก์ร่วมมีนางธนารัตน์เป็นพยานเบิกความว่า พยานเป็นลูกจ้างของโจทก์ร่วม มีหน้าที่ดูแลด้านบัญชี ในช่วงเวลาเกิดเหตุปรากฏว่ามีการตัดอ้อยตามสัญญาซื้อขายที่จำเลยทำกับชาวไร่อ้อยแทนโจทก์ร่วมส่งเข้าโรงงานน้ำตาลเกือบครบทุกสัญญาแล้ว แต่จำนวนอ้อยตามที่ระบุในสัญญาซื้อขายยังขาดอยู่อีกเป็นจำนวนมาก พยานให้จำเลยพาไปดูแปลงไร่อ้อยที่ยังไม่ได้ตัด โดยไล่ดูไปตามสัญญาซื้อขายแต่ละฉบับ พยานไม่เคยพบเจ้าของไร่อ้อยเลย และพบว่าจำนวนเนื้อที่ไร่อ้อยที่ยังไม่ได้ตัดน้อยกว่าที่ระบุในสัญญาซื้อขายที่ทำไว้มาก จำเลยพาพยานไปดูแปลงไร่อ้อยที่ยังไม่ได้ตัดเป็นเวลา 3 วัน จนเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2561 จำเลยไม่ไปทำงาน หลังจากนั้นพยานไม่สามารถติดต่อกับจำเลยได้อีก และมีนายสำรวยเป็นพยานเบิกความว่า พยานเป็นหัวหน้าทีมหาซื้ออ้อยของโจทก์ร่วมอีกทีมหนึ่ง เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2561 โจทก์ร่วมให้พยานไปช่วยดูแลการตัดอ้อยภายในเขตที่จำเลยดูแลเนื่องจากยังไม่มีการตัดอ้อยตามสัญญาซื้อขายที่จำเลยไปทำไว้เป็นจำนวนมาก พยานทำงานกับจำเลยเพียง 2 วัน หลังจากนั้นจำเลยไม่ได้ไปทำงานอีก และพยานติดต่อจำเลยไม่ได้ คำเบิกความของนางธนารัตน์และนายสำรวยดังกล่าว แสดงว่ามีสัญญาซื้อขายในความรับผิดชอบของจำเลยที่ระบุเนื้อที่ไร่อ้อยและจำนวนอ้อยที่ตกลงซื้อขายกันไม่ตรงตามความเป็นจริง เป็นเหตุให้จำนวนเนื้อที่ไร่อ้อยที่ยังไม่ได้ตัดน้อยกว่าที่ระบุในสัญญาซื้อขาย ส่วนจำเลยอ้างตนเองเป็นพยานเบิกความว่า จำเลยไม่ทราบว่าลายมือชื่อผู้เสียหายที่ 2 ในสัญญาซื้อขายและใบสำคัญการจ่ายเป็นลายมือชื่อปลอม เพราะในช่วงเวลาเกิดเหตุจำเลยซื้ออ้อยจากนายนิติกร เนื้อที่ประมาณ 1,000 ไร่ ซื้อขายกัน 4 รอบ โดยนายนิติกรไปหาซื้ออ้อยจากชาวไร่นำมาขายให้จำเลยอีกต่อหนึ่ง ในการซื้อขายรอบที่ 2 เนื้อที่ไร่อ้อยประมาณ 480 ไร่ นายนิติกรขอเงินมัดจำจากจำเลย 1,000,000 บาท แต่สำนักงานของโจทก์ร่วมสำรองเงินค่าใช้จ่ายให้จำเลยไม่เพียงพอ จำเลยจึงขอทำสัญญาซื้อขายกับชาวไร่อ้อยโดยตรงเพื่อจะได้ทยอยจ่ายเงินมัดจำให้นายนิติกร จำเลยมอบแบบฟอร์มสัญญาซื้อขายอ้อยให้นายนิติกรนำไปให้ชาวไร่อ้อยผู้ขายลงลายมือชื่อประมาณ 10 ฉบับ ต่อมาจำเลยได้รับสัญญาซื้อขายจากนายนิติกร ขณะนั้นมีลายมือชื่อผู้เสียหายที่ 2 ในช่องผู้ขายแล้ว แต่ยังไม่มีการกรอกข้อความ จำเลยและนายมิตร ลูกทีมของจำเลยร่วมกันกรอกข้อความในสัญญาซื้อขายจนครบถ้วน จำเลยยังเบิกความด้วยว่า ก่อนจำเลยตกลงราคาซื้อขายอ้อยตามสัญญาซื้อขายอ้อยกับนายนิติกร จำเลยและลูกทีมเดินสำรวจวัดรอบแปลงไร่อ้อยแล้ว โดยจำเลยมีนายนิติกรมาเบิกความเป็นพยานว่า ในช่วงเวลาเกิดเหตุนายนิติกรทำสัญญาซื้อขายอ้อยกับจำเลยหลายครั้งรวมทั้งสัญญาซื้อขาย สำหรับที่มาของสัญญาซื้อขายและใบสำคัญการจ่ายนั้น นายนิติกรอ้างว่า นายนิติกรเคยเช่าที่ดินจากผู้เสียหายที่ 2 เพื่อปลูกอ้อย และเคยสอบถามผู้เสียหายที่ 2 ว่า หากนายนิติกรจะขอยืมชื่อผู้เสียหายที่ 2 ไปทำสัญญาซื้อขายอ้อยในฐานะผู้ขายและรับเงินได้หรือไม่ ผู้เสียหายที่ 2 ตอบว่าไม่ขัดข้อง ต่อมานายนิติกรจะขายอ้อยในไร่อ้อยแปลงตามสัญญาซื้อขายซึ่งเป็นไร่อ้อยของนายทองอ้น ให้แก่จำเลย แต่นายทองอ้นไม่มีสำเนาทะเบียนบ้าน ทำสัญญาซื้อขายกับจำเลยไม่ได้ นายนิติกรจึงใช้ชื่อผู้เสียหายที่ 2 เป็นผู้ขายแทน และมอบหมายให้นางสาวเสาวภรณ์ ผู้ช่วยของนายนิติกรนำแบบฟอร์มสัญญาซื้อขายไปให้ผู้เสียหายที่ 2 ลงลายมือชื่อ ซึ่งต่อมาคนงานของโจทก์ร่วมก็ได้เข้าตัดอ้อยในแปลงไร่อ้อยตามสัญญาซื้อขาย และนายนิติกรจ่ายเงินค่าอ้อยให้นายทองอ้นไปแล้ว เห็นว่า ที่นายนิติกรอ้างว่า ผู้เสียหายที่ 2 ยินยอมให้นายนิติกรยืมชื่อไปทำสัญญาซื้อขายนั้น ไม่ปรากฏว่าผู้เสียหายที่ 2 มีความใกล้ชิดสนิทสนมหรือได้รับประโยชน์ประการใดจากการให้นายนิติกรยืมชื่อ จึงไม่น่าเชื่อว่าผู้เสียหายที่ 2 จะยินยอมให้นายนิติกรยืมชื่อไปทำสัญญาซื้อขายดังที่อ้าง ส่วนที่นายนิติกรอ้างว่าไร่อ้อยตามพิกัดค่าจีพีเอสที่ระบุในสัญญาซื้อขายเป็นไร่อ้อยของนายทองอ้น และคนงานของโจทก์ร่วมเข้าตัดอ้อยในแปลงไร่อ้อยดังกล่าว อีกทั้งนายนิติกรยังจ่ายเงินค่าอ้อยให้นายทองอ้นไปแล้ว อันเป็นข้ออ้างในทำนองว่า ไร่อ้อยตามสัญญาซื้อขายมีอยู่จริงและโจทก์ร่วมไม่ได้รับความเสียหายประการใดนั้น จำเลยมิได้นำนายทองอ้นมาเป็นพยานยืนยันข้อเท็จจริงดังกล่าว อีกทั้งได้ความจากนายสำรวยพยานโจทก์และโจทก์ร่วมด้วยว่า ภายหลังจำเลยไม่ไปทำงานและพยานติดต่อจำเลยไม่ได้ พยานไปตรวจสอบแปลงไร่อ้อยตามพิกัดค่าจีพีเอสที่ระบุในสัญญาซื้อขาย ปรากฏว่าบางส่วนเป็นป่ายูคาลิปตัส บางส่วนเป็นทุ่งนา มิได้มีลักษณะเป็นแปลงไร่อ้อย ข้ออ้างของนายนิติกรในส่วนนี้จึงรับฟังไม่ได้เช่นกัน และที่นายนิติกรอ้างด้วยว่ามอบหมายให้นางสาวเสาวภรณ์นำแบบฟอร์มสัญญาซื้อขายไปให้ผู้เสียหายที่ 2 ลงลายมือชื่ออันเป็นข้ออ้างในทำนองว่า จำเลยไม่ทราบว่าลายมือชื่อของผู้เสียหายที่ 2 ในสัญญาซื้อขายและเอกสารประกอบเป็นลายมือชื่อปลอม เพราะได้รับมาจากนางสาวเสาวภรณ์นั้นจำเลยมิได้นำนางสาวเสาวภรณ์มาเบิกความให้ปรากฏข้อเท็จจริงว่าได้รับมอบหมายจากนายนิติกรให้ดำเนินการดังกล่าวจริงหรือไม่ และลายมือชื่อของผู้เสียหายที่ 2 ปรากฏในเอกสารดังกล่าวได้อย่างไร ข้ออ้างของนายนิติกรในส่วนนี้จึงรับฟังไม่ได้อีกเช่นกัน กรณีมีเหตุให้เชื่อได้ว่านายนิติกรเบิกความเช่นนั้นเพื่อช่วยจำเลยให้พ้นผิด ส่วนที่จำเลยอ้างว่า ไม่ทราบว่าลายมือชื่อผู้เสียหายที่ 2 ในสัญญาซื้อขายและเอกสารประกอบเป็นลายมือชื่อของผู้เสียหายที่ 2 จริงหรือไม่ เพราะได้รับเอกสารดังกล่าวมาจากนายนิติกรนั้น ตามคำเบิกความของนายวิษณุ น้องโจทก์ร่วมปรากฏว่าจำเลยทำงานกับโจทก์ร่วมมานานประมาณ 15 ปี และจำเลยเป็นหัวหน้าทีมที่ทำงานกับโจทก์ร่วมนานที่สุด แสดงว่าจำเลยต้องมีประสบการณ์เกี่ยวกับการซื้อขายอ้อยกับชาวไร่เป็นอย่างดี ไม่น่าเชื่อว่าจำเลยจะยอมทำสัญญาซื้อขายอ้อยกับชาวไร่อ้อยมีราคาซื้อขายสูงถึง 632,000 บาท โดยที่จำเลยหรือลูกทีมของจำเลยไม่เคยพบกับเจ้าของไร่อ้อยผู้ขายด้วยตนเอง เพราะหากผู้ขายกล่าวอ้างในภายหลังว่าไม่ได้ตกลงขายหรือไม่ได้ลงลายมือชื่อในสัญญาซื้อขายดังกล่าวย่อมจะต้องมีปัญหาเกิดขึ้นตามมามากมาย ดังเช่น จำเลยอาจหาซื้ออ้อยจากผู้ขายรายอื่นเพื่อส่งเข้าโรงงานไม่ทันเวลาปิดฤดูหีบอ้อย หรือหากจำเลยจ่ายเงินให้นายนิติกรไปแล้วก็ต้องเสียเวลาติดตามเรียกเงินคืน ส่วนที่จำเลยเบิกความด้วยว่า จำเลยและลูกทีมเดินสำรวจวัดรอบแปลงไร่อ้อยตามสัญญาซื้อขายก่อนตกลงราคากับนายนิติกรนั้น คำเบิกความของจำเลยดังกล่าวขัดแย้งกับคำเบิกความของนายสำรวยที่ว่า แปลงไร่อ้อยตามพิกัดค่าจีพีเอสที่ระบุในสัญญาซื้อขายบางส่วนเป็นป่ายูคาลิปตัส บางส่วนเป็นทุ่งนา จึงไม่น่าเชื่อว่าจำเลยเคยไปเดินสำรวจวัดรอบแปลงไร่อ้อยตามสัญญาซื้อขายดังที่อ้าง อีกทั้งโจทก์และโจทก์ร่วมมีนายมิตรลูกทีมจำเลยเองเป็นพยานเบิกความว่า พยานเป็นคนเขียนข้อความตามคำบอกของจำเลยในสัญญาซื้อขาย โดยจำเลยบอกให้เขียนตามข้อมูลที่จำเลยบันทึกไว้ในสมุดเล่มเล็ก ขณะนั้นมีลายมือชื่อผู้เสียหายที่ 2 และพยานอีกคนหนึ่งในเอกสารดังกล่าวแล้ว นายมิตรยังเบิกความตอบคำถามค้านทนายจำเลยด้วยว่า ภายหลังกรอกข้อความแล้วเสร็จพยานลงลายมือชื่อเป็นพยานอีกคนหนึ่ง และให้จำเลยลงลายมือชื่อในฐานะผู้ซื้อ พยานปากดังกล่าวยังเบิกความด้วยว่าเป็นผู้กรอกข้อความในใบสำคัญการจ่ายอันเป็นหลักฐานที่แสดงว่ามีการจ่ายเงินมัดจำแก่ผู้เสียหายที่ 2 จำนวน 50,000 บาท ขณะนั้นมีลายมือชื่อผู้เสียหายที่ 2 ลงไว้ในเอกสารดังกล่าวก่อนแล้วเช่นกัน นอกจากนี้โจทก์และโจทก์ร่วมยังมีนายภูวดล เป็นพยานเบิกความว่า พยานเป็นคนเขียนข้อความตามคำบอกของจำเลยในใบสำคัญการจ่าย อันเป็นหลักฐานที่แสดงว่ามีจ่ายเงินค่านายหน้าให้แก่นายฤทธิรงค์รวม 4 รายการ มีแปลงไร่อ้อยของผู้เสียหายที่ 2 รวมอยู่ด้วย โดยขณะที่นายภูวดลเขียนข้อความดังกล่าว มีลายมือชื่อของนายฤทธิรงค์ในช่องผู้รับเงินอยู่ก่อนแล้วเช่นกัน นายมิตรและนายภูวดลเป็นลูกทีมของจำเลยเอง ทั้งไม่ปรากฏว่านายมิตรและนายภูวดลได้ประโยชน์ประการใดจากการเบิกความเช่นนั้น คำเบิกความของนายมิตรและนายภูวดลดังกล่าวจึงมีน้ำหนักอันควรรับฟัง ตามคำเบิกความของนายมิตรและนายภูวดลดังกล่าวแสดงว่าจำเลยมีส่วนเกี่ยวข้องกับการทำให้สัญญาซื้อขายและใบสำคัญการจ่าย อันเป็นเอกสารประกอบการเบิกจ่ายเงินจากโจทก์ร่วม มีความสมบูรณ์ก่อนนำไปส่งให้นางธนารัตน์เพื่อเป็นหลักฐานประกอบการขอเบิกจ่ายเงินจากโจทก์ร่วม เมื่อพิเคราะห์ประกอบกับคำเบิกความของนางธนารัตน์และนายสำรวยที่ว่า สัญญาซื้อขายในความรับผิดชอบของจำเลยมีปัญหาระบุเนื้อที่ไร่อ้อยและจำนวนอ้อยที่ซื้อขายไม่ตรงตามความเป็นจริง จนเป็นเหตุให้มีการตรวจสอบสัญญาซื้อขายที่จำเลยทำกับชาวไร่อ้อยแทนโจทก์ร่วม กรณีมีเหตุให้เชื่อได้ว่า จำเลยทราบดีว่าลายมือชื่อผู้เสียหายที่ 2 ในสัญญาซื้อขายและใบสำคัญการจ่ายเป็นลายมือชื่อปลอม และแม้โจทก์ไม่มีประจักษ์พยานมานำสืบว่า จำเลยเป็นผู้ปลอมลายมือชื่อผู้เสียหายที่ 2 ในเอกสารดังกล่าว แต่การที่จำเลยเป็นผู้ได้รับประโยชน์โดยตรงจากการที่มีการปลอมลายมือชื่อผู้เสียหายที่ 2 ในเอกสารดังกล่าว เพราะเอกสารดังกล่าวเป็นหลักฐานที่จำเลยนำไปใช้อ้างเพื่อหักเงินที่โจทก์ร่วมโอนเข้าบัญชีเงินฝากของจำเลยเพื่อให้จำเลยนำไปจ่ายชาวไร่อ้อยผู้ขายและนายหน้า ทั้งที่ไม่มีการซื้อขายจริง ซึ่งหมายความว่า จำเลยไม่จำต้องนำเงินจำนวนดังกล่าวไปจ่ายแก่บุคคลใด และสามารถนำเงินดังกล่าวไปเป็นประโยชน์ส่วนตัวได้ โดยที่จำเลยเองก็ทราบดีว่าลายมือชื่อผู้เสียหายที่ 2 ในเอกสารดังกล่าวเป็นลายมือชื่อปลอม กรณีจึงมีเหตุให้เชื่อได้ว่า จำเลยมีส่วนเกี่ยวข้องในการก่อให้ผู้อื่นปลอมเอกสารดังกล่าว และเนื่องจากสัญญาซื้อขายและใบสำคัญการจ่ายดังกล่าวเป็นหลักฐานแห่งการก่อ เปลี่ยนแปลง โอน สงวนหรือระงับซึ่งสิทธิ จึงเป็นเอกสารสิทธิตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 1 (9) อย่างไรก็ตาม การที่โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกระทำความผิดฐานปลอมเอกสารสิทธิ ย่อมลงโทษจำเลยได้เพียงฐานสนับสนุนผู้อื่นกระทำความผิดฐานปลอมเอกสารสิทธิ นอกจากนี้การกระทำของจำเลยดังกล่าวถือได้ว่าเป็นการหลอกลวงโจทก์ร่วมให้ส่งมอบเงินจำนวน 637,200 บาท แก่จำเลยให้จำเลยรับไปเป็นประโยชน์ส่วนตน โดยกล่าวข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อความจริงอันควรบอกให้แจ้งจึงเป็นความผิดฐานฉ้อโกงอีกด้วย และเมื่อจำเลยหักเงินจำนวนดังกล่าวโดยไม่มีสิทธิกระทำเช่นนั้น จำเลยย่อมมีหน้าที่คืนเงินจำนวนดังกล่าวแก่โจทก์ร่วม ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 ยกฟ้องในความผิดฐานปลอมเอกสารสิทธิ ฐานใช้เอกสารสิทธิปลอม และฐานฉ้อโกงมานั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์และโจทก์ร่วมฟังขึ้น แต่ที่โจทก์ขอให้นำโทษจำคุกของจำเลยที่รอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 708/2561 ของศาลจังหวัดหนองบัวลำภูบวกเข้ากับโทษจำคุกคดีนี้นั้น เมื่อคดีนี้จำเลยก่อให้ผู้อื่นปลอมเอกสารสิทธิ แล้วจำเลยใช้เอกสารสิทธิปลอมหลอกลวงโจทก์ร่วมให้ส่งมอบเงินแก่จำเลยครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2561 ก่อนที่ศาลในคดีดังกล่าวจะมีคำพิพากษาให้รอการลงโทษจำคุกแก่จำเลยเมื่อวันที่ 15 เมษายน 2561 จำเลยจึงมิได้กระทำความผิดคดีนี้ภายในเวลาที่ศาลกำหนดให้รอการลงโทษไว้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 58 จึงบวกโทษจำคุกที่รอการลงโทษไว้ในคดีดังกล่าวเข้ากับโทษในคดีนี้ไม่ได้

พิพากษากลับเป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 265 ประกอบมาตรา 86 มาตรา 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 265 และมาตรา 341 จำเลยใช้เอกสารสิทธิปลอมโดยเป็นผู้สนับสนุนให้ปลอมเอกสารสิทธินั้น ให้ลงโทษฐานใช้เอกสารสิทธิปลอมแต่กระทงเดียวตามมาตรา 268 วรรคสอง ซึ่งความผิดฐานใช้เอกสารสิทธิปลอมและฐานฉ้อโกงเป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษตามมาตรา 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 265 อันเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 2 ปี ให้จำเลยคืนหรือชดใช้เงินจำนวน 637,200 บาท ที่ยังไม่ได้คืนแก่โจทก์ร่วม ส่วนที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อจากโทษของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 3147/2561, 3149/2561, 3165/2561 และ 3678/2561 ของศาลชั้นต้นนั้น เนื่องจากคดีดังกล่าวยังไม่ปรากฏผลคำพิพากษา จึงให้ยกคำขอส่วนนี้

หมายเลขคดีดำศาลฎีกา อ.472/2564

แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ชื่อคู่ความ โจทก์ - พนักงานอัยการจังหวัดอุดรธานี โจทก์ร่วม - นางสาว น. จำเลย - นาย ส.

ชื่อองค์คณะ อธิคม อินทุภูติ พิชัย เพ็งผ่อง จรัญ เนาวพนานนท์

ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ที่ตัดสิน ศาลจังหวัดอุดรธานี - นางสาวศุภัททิยะ ศุภางคเสน ศาลอุทธรณ์ภาค 4 - นายประทีป เหมือนเตย

ข้อจำกัดความรับผิดชอบ: ข้อมูลเหล่านี้อาจไม่ใช่เวอร์ชันล่าสุด รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจมีข้อมูลที่เป็นปัจจุบันหรือแม่นยำกว่า เราไม่รับประกันหรือรับประกันเกี่ยวกับความถูกต้อง ความสมบูรณ์ หรือความเพียงพอของข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้หรือข้อมูลที่เชื่อมโยงกับเว็บไซต์ของรัฐ โปรดตรวจสอบแหล่งที่มาอย่างเป็นทางการ
ข้อมูลอ้างอิงจากเว็บไซต์ : www.krisdika.go.th, deka.supremecourt.or.th
ติดต่อเราทาง LINE