คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4295/2567
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 1236 (4), 1250, 1264, 1269 พระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ.2551 ม. 44 วรรคหนึ่ง
คดีนี้ จำเลยรับจ้างเขียนแบบพร้อมก่อสร้างบ้านพักอาศัยให้แก่ ส. ผู้บริโภค แม้จะส่งมอบงานล่าช้าและไม่เสร็จสมบูรณ์ตามที่กำหนดในสัญญาก็เป็นเพียงการปฏิบัติผิดสัญญา ไม่ปรากฏพฤติการณ์อื่นใดที่ส่อว่ามีการดำเนินกิจการจำเลยไปในทางไม่สุจริต ส่วนการเลิกบริษัทเป็นสิทธิของผู้ถือหุ้นที่จะจัดประชุมใหญ่มีมติพิเศษให้เลิกบริษัทได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1236 (4) แม้จำเลยจะอยู่ระหว่างถูกโจทก์ฟ้องให้ชำระหนี้แก่ ส. ก็ไม่มีข้อห้ามมิให้เลิกบริษัท เพียงแต่ในการเลิกบริษัทจะต้องจัดให้มีการชำระบัญชี โดยผู้ชำระบัญชีจะต้องจัดการทรัพย์สินของจำเลยเอาใช้หนี้แก่ ส. ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1250 หรือวางเงินเท่าจำนวนหนี้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1264 จะแบ่งคืนทรัพย์สินของจำเลยให้ผู้ถือหุ้นได้แต่เพียงเท่าที่ไม่ต้องเอาไว้ใช้ในการชำระหนี้ของจำเลยเท่านั้นตาม ป.พ.พ. มาตรา 1269 เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าจำเลยร่วมที่ 1 ในฐานะผู้ชำระบัญชี แบ่งคืนทรัพย์สินของจำเลยโดยไม่ได้มีการใช้หนี้หรือวางเงินเท่าจำนวนหนี้ให้แก่ ส. แต่การกระทำดังกล่าวก็เป็นเพียงการปฏิบัติฝ่าฝืนหน้าที่ในการชำระบัญชี ทำให้ ส. ได้รับความเสียหายเท่านั้น ซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค 1 ได้พิพากษาให้จำเลยร่วมที่ 1 ในฐานะผู้ชำระบัญชีร่วมรับผิดในหนี้ของจำเลยไปแล้ว การที่จำเลยจดทะเบียนเลิกบริษัทในระหว่างที่จำเลยถูกฟ้องคดีนี้ถือไม่ได้ว่าจำเลยดำเนินการโดยไม่สุจริตตาม พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 มาตรา 44 วรรคหนึ่ง จำเลยร่วมที่ 2 ในฐานะบุคคลที่มีอำนาจควบคุมการดำเนินงานของจำเลยจึงไม่ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยตามบทกฎหมายดังกล่าว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 2,201,430.96 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 2,052,944.05 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่นางสาวสุรีรัตน์ ผู้บริโภค
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณา จำเลยจดทะเบียนเลิกบริษัทและจดทะเบียนเสร็จการชำระบัญชี โจทก์ขอให้ศาลหมายเรียกนายวีระยุทธ ในฐานะผู้ชำระบัญชีบริษัทจำเลยและในฐานะส่วนตัวเข้ามาเป็นจำเลยร่วมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57 อ้างว่าปฏิบัติหน้าที่ในฐานะผู้ชำระบัญชีโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย อันเป็นการละเมิดต่อนางสาวสุรีรัตน์ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเรียกบริษัทมณีรัตนาโยธาการ จำกัด โดยนายวีระยุทธ ผู้ชำระบัญชี และนายวีระยุทธเข้ามาเป็นจำเลยร่วมที่ 1 และจำเลยร่วมที่ 2 ตามลำดับ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57 (3) (ที่ถูก ต้องมีคำสั่งเรียกนายวีระยุทธในฐานะผู้ชำระบัญชีเข้ามาเป็นจำเลยร่วมที่ 1 และนายวีระยุทธในฐานะส่วนตัวเข้ามาเป็นจำเลยร่วมที่ 2)
จำเลยร่วมทั้งสองให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยและจำเลยร่วมทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 1,609,974.05 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับตั้งแต่วันที่ 4 ตุลาคม 2560 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่นางสาวสุรีรัตน์ แต่ดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 20 กันยายน 2561) ไม่เกิน 148,486.91 บาท แต่จำเลยร่วมที่ 2 ร่วมรับผิดไม่เกินทรัพย์สินที่ได้รับจากจำเลยและจำเลยร่วมที่ 1 กับให้จำเลยและจำเลยร่วมทั้งสองชำระค่าฤชาธรรมเนียมที่โจทก์ได้รับยกเว้นโดยชำระต่อศาลในนามโจทก์ สำหรับค่าขึ้นศาลให้ใช้ตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี โจทก์ฟ้องคดีเองจึงไม่กำหนดค่าทนายความให้ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยและจำเลยร่วมทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 แผนกคดีผู้บริโภคพิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยและจำเลยร่วมทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 1,024,974.05 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 4 ตุลาคม 2560 ถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 และอัตราร้อยละ 5 ต่อปี นับแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่นางสาวสุรีรัตน์ ผู้บริโภค โดยอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวให้ปรับเปลี่ยนลดลงหรือเพิ่มขึ้นตามช่วงเวลาที่มีพระราชกฤษฎีกาประกาศให้มีผลบังคับ แต่ดอกเบี้ยทุกช่วงเวลาให้ไม่เกินอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามที่โจทก์ขอ ทั้งนี้ให้จำเลยร่วมที่ 1 ร่วมรับผิดไม่เกินกว่าเงินสดคงเหลือที่จำเลยมีอยู่ในวันจดทะเบียนเสร็จการชำระบัญชี และให้จำเลยร่วมที่ 2 ร่วมรับผิดโดยไม่จำกัดจำนวน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ส่วนที่เกินเป็นเงิน 641 บาท แก่จำเลยและจำเลยร่วมทั้งสอง ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ที่ไม่สั่งคืนให้เป็นพับ
จำเลยและจำเลยร่วมทั้งสองฎีกา โดยศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภคอนุญาตให้ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภควินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติในเบื้องต้นว่า โจทก์เป็นคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522 จำเลยเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด ประกอบกิจการรับเหมาก่อสร้าง มีจำเลยร่วมที่ 2 เป็นกรรมการมีอำนาจกระทำการแทนจำเลย เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2553 จำเลยทำสัญญารับจ้างเขียนแบบพร้อมก่อสร้างบ้านพักอาศัยคอนกรีตเสริมเหล็ก 2 ชั้น ให้แก่นางสาวสุรีรัตน์ ผู้บริโภคบนที่ดินเปล่า ค่าจ้างรวมค่าวัสดุสัมภาระและค่าแรง 11,289,000 บาท แบ่งชำระเป็น 24 งวด ตกลงจะสร้างบ้านให้แล้วเสร็จภายใน 14 เดือน นับจากวันที่จำเลยทดสอบความสมบูรณ์ของเสาเข็มเจาะแล้วเสร็จ สัญญากำหนดให้จำเลยเป็นผู้รับผิดชอบค่าไฟฟ้าและค่าน้ำประปาที่ใช้ในการก่อสร้าง หากจำเลยส่งมอบงานล่าช้ายอมให้นางสาวสุรีรัตน์ปรับเป็นรายวัน วันละ 2,000 บาท นับจากวันที่ล่วงเลยกำหนดระยะเวลาตามสัญญาจนถึงวันที่จำเลยส่งมอบงาน ต่อมาเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2558 นางสาวสุรีรัตน์และจำเลยทำบันทึกข้อตกลงที่สถานีตำรวจนครบาลท่าข้ามว่าจำเลยจะส่งมอบงานภายในวันที่ 31 สิงหาคม 2558 ก่อนฟ้องคดีนี้คณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคมีหนังสือขอให้จำเลยชำระค่าปรับ ชดใช้ค่าเสียหาย และค่าใช้จ่ายแก่นางสาวสุรีรัตน์ภายในกำหนด 15 วัน นับตั้งแต่วันที่ได้รับหนังสือ จำเลยได้รับหนังสือเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2560 ระหว่างพิจารณาคดีจำเลยจดทะเบียนเลิกบริษัทเมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2562 และจดทะเบียนเสร็จการชำระบัญชีเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2562 โดยจำเลยยังไม่ได้ใช้หนี้หรือวางเงินเท่าจำนวนหนี้แก่นางสาวสุรีรัตน์ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 รับฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยส่งมอบงานล่าช้าและไม่เสร็จสมบูรณ์ตามสัญญา ให้จำเลยชำระค่าปรับวันละ 1,500 บาท เป็นเวลา 1,170 วัน เป็นเงิน 1,755,000 บาท ค่าเสียหายที่นางสาวสุรีรัตน์จ้างบุคคลอื่นมาแก้ไขงาน 548,170 บาท ค่าไฟฟ้าและค่าน้ำประปาระหว่างก่อสร้าง 180,784.05 บาท รวมเป็นเงิน 2,483,954.05 บาท หักกับเงินค่าก่อสร้างค้างชำระงวดที่ 22 ถึง 24 จำนวน 1,016,010 บาท และค่าก่อสร้างงานเพิ่มเติม 442,970 บาท แล้ว คงเหลือค่าเสียหายที่จำเลยต้องชำระแก่นางสาวสุรีรัตน์ 1,024,974.05 บาท และให้จำเลยร่วมที่ 1 ในฐานะผู้ชำระบัญชี ร่วมรับผิดในหนี้ของจำเลยแต่ไม่เกินกว่าเงินสดคงเหลือที่จำเลยมีอยู่ในวันจดทะเบียนเสร็จการชำระบัญชี ประเด็นดังกล่าว โจทก์ จำเลยและจำเลยร่วมทั้งสองไม่ได้รับอนุญาตให้ฎีกา จึงเป็นอันยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามที่จำเลยและจำเลยร่วมทั้งสองได้รับอนุญาตให้ฎีกาเพียงประการเดียวว่า จำเลยร่วมที่ 2 ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยหรือไม่ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยว่าจำเลยดำเนินการโดยไม่สุจริต แล้วพิพากษาให้จำเลยร่วมที่ 2 ในฐานะบุคคลที่มีอำนาจควบคุมการดำเนินงานของจำเลยร่วมรับผิดกับจำเลยตามพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 มาตรา 44 วรรคหนึ่ง จำเลยและจำเลยร่วมทั้งสองฎีกาว่า จำเลยร่วมที่ 2 เป็นกรรมการของจำเลย และได้ทำไปตามวัตถุประสงค์ที่จำเลยจดทะเบียนไว้ โจทก์ไม่ได้ฟ้องจำเลยร่วมที่ 2 เข้ามาในคดีตั้งแต่แรก อีกทั้งหนี้ที่โจทก์นำมาฟ้องเป็นหนี้ที่ไม่แน่นอนว่ามีอยู่จริงหรือไม่ และจำเลยโต้แย้งมาตลอด การจดทะเบียนเลิกบริษัทและเสร็จการชำระบัญชีของจำเลยเป็นไปโดยสุจริต จำเลยไม่เคยคืนทรัพย์สินใดให้แก่จำเลยร่วมที่ 2 จำเลยร่วมที่ 2 จึงไม่ต้องร่วมรับผิดกับจำเลย เห็นว่า พระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 มาตรา 44 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "ในคดีที่ผู้ประกอบธุรกิจซึ่งถูกฟ้องเป็นนิติบุคคล หากข้อเท็จจริงปรากฏว่านิติบุคคลดังกล่าวถูกจัดตั้งขึ้นหรือดำเนินการโดยไม่สุจริต หรือมีพฤติการณ์ฉ้อฉลหลอกลวงผู้บริโภค หรือมีการยักย้ายถ่ายเททรัพย์สินของนิติบุคคลไปเป็นประโยชน์ของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง และทรัพย์สินของนิติบุคคลมีไม่เพียงพอต่อการชำระหนี้ตามฟ้อง เมื่อคู่ความร้องขอหรือศาลเห็นสมควร ให้ศาลมีอำนาจเรียกหุ้นส่วน ผู้ถือหุ้นหรือบุคคลที่มีอำนาจควบคุมการดำเนินงานของนิติบุคคลหรือผู้รับมอบทรัพย์สินจากนิติบุคคลดังกล่าวเข้ามาเป็นจำเลยร่วม และให้มีอำนาจพิพากษาให้บุคคลเช่นว่านั้นร่วมรับผิดชอบในหนี้ที่นิติบุคคลมีต่อผู้บริโภคได้ด้วย เว้นแต่ผู้นั้นจะพิสูจน์ได้ว่าตนมิได้มีส่วนรู้เห็นในการกระทำดังกล่าว หรือในกรณีของผู้รับมอบทรัพย์สินนั้นจากนิติบุคคลจะต้องพิสูจน์ได้ว่าตนได้รับทรัพย์สินมาโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน" คดีนี้ จำเลยรับจ้างเขียนแบบพร้อมก่อสร้างบ้านพักอาศัยให้แก่นางสาวสุรีรัตน์ตามวัตถุประสงค์ในการประกอบกิจการที่จำเลยจดทะเบียนไว้ หลังจากทำสัญญาจำเลยได้ก่อสร้างบ้านพักดังกล่าวและส่งมอบให้นางสาวสุรีรัตน์แล้ว แม้จะส่งมอบงานล่าช้าและไม่เสร็จสมบูรณ์ตามที่กำหนดในสัญญาก็เป็นเพียงการปฏิบัติผิดสัญญา ไม่ปรากฏพฤติการณ์อื่นใดที่ส่อว่ามีการดำเนินกิจการจำเลยไปในทางไม่สุจริต ส่วนการเลิกบริษัทนั้นเป็นสิทธิของผู้ถือหุ้นที่จะจัดประชุมใหญ่มีมติพิเศษให้เลิกบริษัทได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1236 (4) แม้จำเลยจะอยู่ระหว่างถูกโจทก์ฟ้องให้ชำระหนี้เงินแก่นางสาวสุรีรัตน์ก็ไม่มีข้อห้ามมิให้เลิกบริษัท เพียงแต่ในการเลิกบริษัทจะต้องจัดให้มีการชำระบัญชีโดยผู้ชำระบัญชีต้องจัดการทรัพย์สินของจำเลยเอาใช้หนี้ให้แก่นางสาวสุรีรัตน์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1250 หรือวางเงินเท่าจำนวนหนี้ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ว่าด้วยการวางทรัพย์สินแทนการชำระหนี้ให้แก่นางสาวสุรีรัตน์ตามมาตรา 1264 จะแบ่งคืนทรัพย์สินของจำเลยให้ผู้ถือหุ้นได้แต่เพียงเท่าที่ไม่ต้องเอาไว้ใช้ในการชำระหนี้ของจำเลยเท่านั้นตามมาตรา 1269 สำหรับการชำระบัญชีในการเลิกบริษัทจำเลยนั้น ปรากฏจากสำเนางบแสดงฐานะการเงินและสำเนาหมายเหตุประกอบงบการเงินว่า ณ วันเลิกบริษัทจำเลยมีสินทรัพย์เป็นเงินสด 928,000 บาท ไม่มีหนี้สินหรือเจ้าหนี้ และปรากฏจากหน้ารายงานการชำระบัญชี (แบบ ลช.3) ว่า มีการแบ่งคืนทรัพย์สิน แสดงว่าจำเลยร่วมที่ 1 ในฐานะผู้ชำระบัญชีแบ่งคืนทรัพย์สินของจำเลยโดยไม่ได้มีการใช้หนี้หรือวางเงินเท่าจำนวนหนี้ให้แก่นางสาวสุรีรัตน์ แต่การกระทำดังกล่าวก็เป็นเพียงการปฏิบัติฝ่าฝืนหน้าที่ในการชำระบัญชีทำให้นางสาวสุรีรัตน์ได้รับความเสียหาย อันเป็นการละเมิดต่อนางสาวสุรีรัตน์ ซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค 1 ได้พิพากษาให้จำเลยร่วมที่ 1 ในฐานะผู้ชำระบัญชี ร่วมรับผิดในหนี้ของจำเลยไปแล้ว การที่จำเลยจดทะเบียนเลิกบริษัทและจดทะเบียนเสร็จการชำระบัญชีในระหว่างที่จำเลยถูกฟ้องคดีนี้ถือไม่ได้ว่าจำเลยดำเนินการโดยไม่สุจริตตามพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 มาตรา 44 วรรคหนึ่ง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาให้จำเลยร่วมที่ 2 ในฐานะบุคคลที่มีอำนาจควบคุมการดำเนินงานของจำเลยร่วมรับผิดกับจำเลยตามบทกฎหมายดังกล่าว ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยและจำเลยร่วมทั้งสองฟังขึ้น
อนึ่ง ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยและจำเลยร่วมทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 1,024,974.05 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 4 ตุลาคม 2560 ถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 และอัตราร้อยละ 5 ต่อปี นับแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่นางสาวสุรีรัตน์ จำเลยและจำเลยร่วมทั้งสองฎีกาขอให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยร่วมที่ 2 ทุนทรัพย์ที่พิพาทในชั้นฎีกาต้องคิดจากต้นเงิน 1,024,974.05 บาท รวมกับดอกเบี้ยของต้นเงินดังกล่าวที่คิดถึงวันฟ้อง เป็นเงินรวมทั้งสิ้น 1,099,109.16 บาท คำนวณเป็นค่าขึ้นศาลชั้นฎีกา 21,982 บาท แต่จำเลยและจำเลยร่วมทั้งสองชำระค่าขึ้นศาลชั้นฎีกามา 25,907 บาท โดยคำนวณจากทุนทรัพย์ 1,295,398 บาท ซึ่งไม่ถูกต้อง จึงให้คืนค่าขึ้นศาลส่วนที่เกินมา 3,925 บาท แก่จำเลยและจำเลยร่วมทั้งสอง
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยร่วมที่ 2 ค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์กับจำเลยร่วมที่ 2 ในศาลชั้นต้นให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ให้คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาส่วนที่เกินมา 3,925 บาท แก่จำเลยและจำเลยร่วมทั้งสอง ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกานอกจากที่สั่งคืนให้เป็นพับ
หมายเลขคดีดำศาลฎีกา ผบ.(พ)133/2566
แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา


