คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4221/2531
ประมวลรัษฎากร ม. ,
โจทก์ผลิตสินค้าโพลีไวนิลอาซิเตดลาเท็กซ์ ที่ใช้ในการอุตสาหกรรมรวมทั้งผลิตเป็นสินค้าสำเร็จรูปจำหน่ายอีกด้วยเมื่อโจทก์ยอมรับข้อเท็จจริงว่าสินค้าที่โจทก์ผลิตขายแม้จะไม่ใช่กาวแต่มีลักษณะทำนองเดียวกับกาว สินค้าโพลีไวนิลอาซิเตดลาเท็กซ์ของโจทก์ที่ทำเป็นสินค้าสำเร็จรูป จึงต้องเสียภาษีการค้าตามกฎหมายเพราะไม่ได้รับยกเว้นตามบัญชี 1 หมวด 5(26) แห่งบัญชีท้ายพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นภาษีการค้า (ฉบับที่ 54) พ.ศ. 2517 ส่วนสินค้าโพลีไวนิลอาซิเตดลาเท็กซ์ ที่โจทก์ผลิตเพื่อเป็นวัตถุดิบในการประกอบอุตสาหกรรมเป็นสินค้าตามประเภทการค้า 1 ชนิด 1(ก)ของบัญชีอัตราภาษีการค้าท้ายหมวด 4 ลักษณะ 2 แห่งประมวลรัษฎากรโจทก์ย่อมได้รับยกเว้นภาษีการค้าสำหรับการขายสินค้าของโจทก์ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 5(8) แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นภาษีการค้า(ฉบับที่ 54) พ.ศ. 2517
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยคืนเงินภาษีอากร ที่จำเลยเรียกเก็บภาษีการค้าและภาษีอื่นจากสินค้า พี.วี.เอ. ลาเท็กซ์ของโจทก์โดยไม่ชอบจำเลยให้การว่าสินค้าของโจทก์เข้าลักษณะเป็นกาวทำนองเดียวกับสินค้าตามหมวด 5(26) ของบัญชี 1 ท้ายพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นภาษีการค้า (ฉบับที่ 54) พ.ศ. 2517จึงต้องเสียภาษีการค้าในอัตราร้อยละ 9 ของรายรับ และไม่ได้ยกเว้นภาษีการค้า ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยคืนเงินค่าภาษีการค้าภาษีบำรุงเทศบาลแก่โจทก์ รวม 11 ล้านบาทเศษ พร้อมด้วยดอกเบี้ยจำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้เถียงกันฟังได้ในเบื้องต้นว่า โจทก์เป็นบริษัทจำกัด โจทก์ประกอบการค้าผลิตสินค้าโพลีไวนิล อาซิเตด ลาเท็กซ์ หรือ พี.วี.เอ.ลาเท็กซ์ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำหรับใช้ในการอุตสาหกรรม เช่น อุตสาหกรรมผลิตสีอุตสาหกรรมสิ่งทอ อุตสาหกรรมกระดาษ อุตสาหกรรมก่อสร้าง เป็นต้นมีปัญหาว่าโจทก์ผลิตสินค้าโพลีไวนิล อาซิเตด ลาเท็กซ์ที่เป็นสินค้าสำเร็จรูปด้วยหรือไม่ ข้อนี้โจทก์สืบว่า สินค้าที่โจทก์ผลิตมีถึง 60 สูตรเศษ แต่ละสูตรเพื่อประโยชน์ในการใช้วัตถุดิบในการประกอบอุตสาหกรรมทั้งนั้น มิได้วางขาย การซื้อสินค้าของโจทก์ผู้ซื้อจะต้องสั่งซื้อเป็นการล่วงหน้า
ส่วนจำเลยนำสืบว่า นอกจากโจทก์ขายสินค้าให้ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมแล้ว โจทก์ยังขายสินค้าให้กับผู้ค้ารายย่อยด้วยปรากฏตามภาพถ่ายใบส่งของของโจทก์เอกสารหมาย ล.1
ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่า นอกจากโจทก์จะไม่ปฏิเสธใบส่งของตามที่จำเลยนำสืบแล้ว นายสุโชติ สวัสดิรักษ์ พยานโจทก์เบิกความว่าลูกค้าซื้อสินค้าของโจทก์ไปใช้ทาปูปาเก้ ปูกระเบื้อยางติดวัตถุระหว่างไม้กับซิเมนต์ และติดไม้กับไม้ก็ได้ และคดีได้ความจากคำเบิกความของนายบรรจง ภัทรเชียรไชย ผู้จัดการฝ่ายผลิตสินค้าของโจทก์ด้วยว่าสินค้าบางสูตรของโจทก์ ลูกค้าสามารถนำไปใช้งานได้ทันทีโดยไม่ต้องผสมกับวัสดุอื่นอีกเหตุผลตามรูปคดี จึงแสดงว่านอกจากโจทก์ผลิตสินค้าโพลีไวนิล อาซิเตด ลาเท็กซ์ ที่ใช้ในการอุตสาหกรรมแล้วโจทก์ยังได้ผลิตสินค้าชนิดนี้เป็นสินค้าสำเร็จรูปจำหน่ายอีกด้วยจึงมีปัญหาว่า โจทก์ได้รับยกเว้นภาษีการค้าหรือจะต้องเสียภาษีการค้าสำหรับสินค้าที่โจทก์ผลิตหรือไม่เพียงใด ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วโจทก์ยอมรับข้อเท็จจริงมาตามที่โจทก์ฎีกาว่าสินค้าที่โจทก์ผลิตและขาย แม้จะไม่ใช่กาวแต่ก็เป็นสินค้าอันมีลักษณะทำนองเดียวกับกาวซึ่งตามบัญชีที่ 1 หมวด 5 เครื่องมือ เครื่องใช้ ของใช้ (26)แห่งบัญชีท้ายพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นภาษีการค้า (ฉบับที่ 54) พ.ศ. 2517บัญญัติว่า "กาวหรือสินค้าอันมีลักษณะทำนองเดียวกัน นอกจากที่ใช้ในการอุตสาหกรรม" ฉะนั้นกาวหรือสินค้าอันมีลักษณะทำนองเดียวกันที่กล่าวถึงในที่นี้จึงหมายถึงสิ่งของที่เป็นเครื่องมือเครื่องใช้ และของใช้ ดังที่ระบุไว้ในตอนต้นของหมวด สินค้าโพลีไวนิล อาซิเตด ลาเท็กซ์ ของโจทก์ที่เป็นสินค้าสำเร็จรูปจึงต้องเสียภาษีการค้าตามกฎหมาย เพราะไม่เข้าข่ายที่จะได้รับการยกเว้นหรือลดภาษีการค้าตามที่บัญญัติไว้ในพระราชกฤษฎีกาที่กล่าวมาแล้ว ส่วนโพลีไวนิล อาซิเตด ลาเท็กซ์ ที่โจทก์ผลิตเพื่อเป็นวัตถุดิบในการประกอบอุตสาหกรรมนั้น เนื่องจากบัญชีที่ 1 หมวด 5 (26)ตามบัญชีท้ายพระราชกฤษฎีกาข้างต้นบัญญัติไว้ดังกล่าวมาแล้วจึงแสดงว่าสินค้าโพลีไวนิล อาซิเตด ลาเท็กซ์ ของโจทก์เป็นสินค้าที่มิได้ระบุไว้ในบัญชีท้ายพระราชกฤษฎีกาที่กล่าวถึงและเมื่อเป็นสินค้าที่ผลิตในราชอาณาจักรทั้งเป็นสินค้าตามประเภทการค้า1 ชนิด 1(ก) ของบัญชีอัตราภาษีการค้าท้ายหมวด 4 ลักษณะ 2แห่งประมวลรัษฎากรแล้ว โจทก์ย่อมได้รับยกเว้นภาษีการค้าสำหรับการขายสินค้าของโจทก์ ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 5(8)แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นภาษีการค้า (ฉบับที่ 54) พ.ศ. 2517 เมื่อโจทก์มีหน้าที่ต้องเสียภาษีการค้าและได้รับการยกเว้นภาษีการค้าดังกล่าวมาแล้วมีปัญหาว่าจำเลยจะต้องคืนภาษีการค้าที่รับชำระไว้ให้โจทก์หรือไม่เพียงใด ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่ได้โต้เถียงกันฟังได้ว่า ภาษีการค้าที่โจทก์ขอคืน เป็นภาษีการค้าที่โจทก์ชำระตามหนังสือลงวันที่ 20 มีนาคม 2527 ของจำเลย ซึ่งหนังสือดังกล่าวระบุไว้แจ้งชัดให้โจทก์จัดการชำระภาษีการค้าให้ถูกต้องทั้งนี้ตั้งแต่รายรับของเดือนกุมภาพันธ์ 2527 เป็นต้นไปซึ่งโจทก์นำสืบว่า รายรับที่โจทก์ใช้คำนวณภาษีการค้าเป็นรายรับที่โจทก์ขายสินค้าให้กับลูกค้าที่ซื้อไปใช้ในการอุตสาหกรรมโจทก์ไม่มีหน้าที่ต้องเสียภาษีการค้าเมื่อจำเลยนำสืบหักล้างไม่ได้และที่นำสืบว่าโจทก์ขายสินค้าสำเร็จรูปให้กับลูกค้ารายย่อยตามใบส่งของเอกสารหมาย ล.1 นั้น ก็ปรากฏว่าเป็นการขายในปี 2524คนละเรื่องกับภาษีการค้าปี 2527 ที่โจทก์ขอคืน จำเลยจึงมีหน้าที่ต้องคืนภาษีการค้าที่รับชำระไว้ทั้งหมดให้โจทก์ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกาฎีกาโจทก์ฟังขึ้น"
พิพากษากลับให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
หมายเลขคดีดำศาลฎีกา nan
แหล่งที่มา เนติบัณฑิตยสภา
ชื่อคู่ความ โจทก์ - บริษัท ยูเนียนคาร์ไบด์ไทยแลนด์ จำกัด จำเลย - กรมสรรพากร
ชื่อองค์คณะ เดชา สุวรรณโณ วิฑูรย์ ตั้งตรงจิตต์ ประวิทย์ ขัมภรัตน์
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ที่ตัดสิน nan