สารบัญ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 42/2518

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 42/2518

ประมวลรัษฎากร ม. 18, 30, 77 ทวิ, 84, 88 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 16) พ.ศ.2502 ม. 9 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 55

ภาษีการค้าอันเป็นภาษีอากรประเมินตามประมวลรัษฎากร มาตรา 77 ทวิ ซึ่งตามมาตรา 84 วรรค 2 ผู้ประกอบการค้าในการนำสินค้าเข้ามาในราชอาณาจักรต้องยื่นแบบแสดงรายการการค้าตามแบบที่อธิบดีกำหนดทุกครั้งนั้น เจ้าพนักงานประเมินเป็นผู้ประเมินตามรายการที่ยื่นเพื่อเสียภาษีอากรนั้นแล้วแจ้งจำนวนภาษีอากรที่ประเมินไปยังผู้ต้องเสียภาษีอากรตามมาตรา18 หากผู้ประกอบการค้ามิได้ยื่นแบบแสดงรายการการค้าเจ้าพนักงานประเมินก็มีอำนาจประเมินภาษีได้เองตามมาตรา 87(1) และต้องแจ้งการประเมินไปยังผู้ประกอบการค้าตามมาตรา 88 เมื่อได้มีการประเมินภาษีอากรและแจ้งการประเมินไปยังผู้ประกอบการค้าแล้ว ผู้ประกอบการค้ามีสิทธิที่จะอุทธรณ์การประเมินได้ดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 18,88 การอุทธรณ์นั้นให้อุทธรณ์ตามแบบที่อธิบดีกำหนดและอุทธรณ์ได้ภายในกำหนด 30 วันตามมาตรา 30 เมื่อไม่พอใจคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์จึงจะมีสิทธิอุทธรณ์ต่อศาลได้ตามมาตรา 30(2) โจทก์สั่งเครื่องอะไหล่ของเครื่องจักรจากต่างประเทศเข้ามาเพื่อใช้แทนของเก่าเมื่อชำรุด ได้ยื่นแบบแสดงรายการการค้าและได้ชำระเงินค่าภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลแก่จำเลยไปแล้ว แต่โจทก์เห็นว่าสินค้าที่นำเข้ามานั้นเป็นส่วนประกอบของเครื่องจักรที่ใช้ในการผลิตสินค้าของโจทก์เอง ได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลตามมาตรา 79 ตรี(11) จึงได้ยื่นหนังสือต่อจำเลยขอเงินค่าภาษีอากรนั้นคืน จำเลยยังมิได้พิจารณา ดังนี้แม้เป็นกรณีที่อ้างว่าได้รับยกเว้นตามประมวลรัษฎากรก็ตาม เมื่อเจ้าพนักงานประเมินได้ประเมินให้เสียภาษีอากรและแจ้งให้โจทก์ทราบแล้ว โจทก์ก็ต้องอุทธรณ์ตามขั้นตอนที่บัญญัติไว้ในประมวลรัษฎากร เมื่อโจทก์มิได้ยื่นอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์โจทก์จึงไม่มีสิทธิอุทธรณ์ต่อศาล

เนื้อหาฉบับเต็ม

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้นำส่วนประกอบของเครื่องจักรที่ใช้ในการผลิตซีเมนต์ คือเครื่องเกียร์ สลักเกลียวเหล็กพร้อมแป้นและถ่านแปรงไฟฟ้าเข้ามาใช้ในโรงงานของโจทก์ จึงได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลตามมาตรา 79 ตรี (11) แห่งประมวลรัษฎากร แต่กรมศุลกากรจำเลยที่ 1 กลับเรียกเก็บภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลของดังกล่าวจากโจทก์ไปก่อนปล่อยของเป็นเงิน10,682.99 บาท โจทก์จำต้องจ่ายไปก่อน มิฉะนั้นจำเลยที่ 1 จะไม่ปล่อยของ โจทก์ได้มีหนังสือขอคืนเงินภาษีจากจำเลยที่ 1 จำเลยทั้งสองไม่ยอมคืน จึงขอให้ศาลบังคับให้จำเลยทั้งสองคืนเงินดังกล่าวพร้อมด้วยดอกเบี้ยให้แก่โจทก์

จำเลยให้การร่วมกันว่า จำเลยที่ 2 มอบให้จำเลยที่ 1 เป็นผู้รับเงินค่าภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลแทน โจทก์ได้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีการค้าและได้ชำระภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลให้จำเลยรับไปถูกต้องแล้ว โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องเรียกคืน ถ้าสินค้าที่โจทก์นำเข้ามาในราชอาณาจักรได้รับการยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีแล้ว โจทก์ก็ไม่ต้องยื่นแบบแสดงรายการ การที่โจทก์ยื่นก็แสดงว่าสินค้านั้นไม่ได้รับการยกเว้น โจทก์สมัครใจเสียภาษีเอง จำเลยรับไว้โดยสุจริตและส่งเป็นรายได้ของแผ่นดินไปหมดแล้วจำเลยจึงไม่ต้องคืน

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยร่วมกันคืนเงินตามฟ้องพร้อมด้วยดอกเบี้ยให้แก่โจทก์

จำเลยทั้งสองอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์สั่งเครื่องเกียร์ สลักเกลียวเหล็กพร้อมแป้นและถ่านแปรงไฟฟ้ามาจากประเทศเดนมาร์ค ของเหล่านี้เป็นเครื่องอะไหล่ของเครื่องจักรซึ่งจะนำมาใช้แทนของเก่าที่ชำรุด โจทก์ได้ยื่นแบบแสดงรายการและชำระภาษีไปแล้วเป็นเงินรวม 10,682.99 บาท โจทก์ยื่นคำร้องขอคืนเงินจำนวนนี้แล้ว แต่จำเลยยังมิได้พิจารณาให้ โจทก์จึงฟ้องคดีนี้

ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ภาษีการค้าซึ่งโจทก์ฟ้องคดีนี้เป็นภาษีอากรประเมินตามประมวลรัษฎากร มาตรา 77 ทวิ ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 84 วรรคสองผู้ประกอบการค้าในการนำสินค้าเข้ามาในราชอาณาจักรต้องยื่นแบบแสดงรายการการค้าตามแบบที่อธิบดีกำหนดทุกครั้งที่มีการนำสินค้าเข้า รายการที่ยื่นเพื่อเสียภาษีอากรนั้น เจ้าพนักงานประเมินเป็นผู้ประเมินแล้วแจ้งจำนวนภาษีอากรที่ประเมินไปยังผู้ต้องเสียภาษีอากรตามประมวลรัษฎากร มาตรา 18 หากผู้ประกอบการค้ามิได้ยื่นแบบแสดงรายการการค้า เจ้าพนักงานประเมินก็มีอำนาจประเมินภาษีได้เองตามประมวลรัษฎากร มาตรา 87(1) และต้องแจ้งการประเมินไปยังผู้ประกอบการค้าตามประมวลรัษฎากร มาตรา 88 เมื่อได้มีการประเมินภาษีอากรและแจ้งการประเมินไปยังผู้ประกอบการค้าแล้ว ผู้ประกอบการค้ามีสิทธิที่จะอุทธรณ์การประเมินได้ดังบัญญัติไว้ในประมวลรัษฎากร มาตรา 18, 88 การอุทธรณ์นั้นให้อุทธรณ์ตามแบบที่อธิบดีกำหนด (ประมวลรัษฎากร มาตรา 28) และอุทธรณ์ได้ภายในกำหนด 30 วันตามมาตรา 30 เมื่อไม่พอใจคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์จึงจะมีสิทธิอุทธรณ์ต่อศาลได้ตามมาตรา 30(2) การอุทธรณ์ดังกล่าวประมวลรัษฎากรมิได้บัญญัติไว้ว่าจะอุทธรณ์ได้ในกรณีใดบ้าง ดังนั้น แม้กรณีได้รับยกเว้นตามประมวลรัษฎากรก็ตาม เมื่อเจ้าพนักงานประเมินได้ประเมินให้เสียภาษีอากรและได้แจ้งให้โจทก์ทราบแล้ว โจทก์ก็ต้องอุทธรณ์ตามขั้นตอนที่บัญญัติไว้ในประมวลรัษฎากร คดีนี้ตามฟ้องโจทก์แสดงว่าโจทก์มิได้ยื่นอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ โจทก์จึงไม่มีสิทธิอุทธรณ์ต่อศาล ปัญหานี้แม้จำเลยจะมิได้ยกขึ้นต่อสู้ไว้โดยชัดแจ้งในคำให้การ แต่เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกขึ้นมาวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(5) ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้นศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผลแห่งคดี

พิพากษายืน

หมายเลขคดีดำศาลฎีกา nan

แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ชื่อคู่ความ โจทก์ - บริษัท ปูนซีเมนต์ไทย จำกัด โดยนายจ่าง รัตนะรัต โจทก์ - กับ หม่อมหลวงอุดม สนิทวงศ์ กรรมการ จำเลย - กรมศุลกากร ที่ 1 กรมสรรพากร ที่ 2

ชื่อองค์คณะ รื่น วิไลชนม์ สนับ คัมภีรยส สรรเสริญ ไกรจิตติ

ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ที่ตัดสิน nan

ข้อจำกัดความรับผิดชอบ: ข้อมูลเหล่านี้อาจไม่ใช่เวอร์ชันล่าสุด รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจมีข้อมูลที่เป็นปัจจุบันหรือแม่นยำกว่า เราไม่รับประกันหรือรับประกันเกี่ยวกับความถูกต้อง ความสมบูรณ์ หรือความเพียงพอของข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้หรือข้อมูลที่เชื่อมโยงกับเว็บไซต์ของรัฐ โปรดตรวจสอบแหล่งที่มาอย่างเป็นทางการ
ข้อมูลอ้างอิงจากเว็บไซต์ : www.krisdika.go.th, deka.supremecourt.or.th
ติดต่อเราทาง LINE